Aomori Nature and Art Guide : สัมผัสธรรมชาติ เสพงานอาร์ตที่อาโอโมริ
สารบัญ
จังหวัดอาโอโมริ (Aomori) ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของภูมิภาคโทโฮคุ ที่นี่มีสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติมากมายและอุดมไปด้วยพิพิธภัณฑ์ศิลปะดีๆ ที่รวบรวมงานของศิลปินจากทั่วโลก จากโตเกียวเพียงแค่พก JR East Pass Tohoku Area ก็สามารถนั่งชินคันเซ็นมายังอาโอโมริได้ง่ายๆ และถ้าจะเที่ยวให้ทั่วแนะนำว่าเช่ารถขับนั้นก็สะดวกมากแค่ตั้ง GPS โดยใช้เบอร์โทรศัพท์ของจุดหมายปลายทางก็สามารถไปได้ทุกที่และที่สำคัญวิวระหว่างทางก็สวยจนเพลินเลยล่ะ แพ็คกระเป๋าให้พร้อม แล้วไปเที่ยวอาโอโมริกัน : )
01 Oirase Gorge
ย้อนกลับไปเมื่อ 200,000 ปีที่แล้ว พื้นที่บริเวณนี้เป็นแหล่งภูเขาไฟที่เกิดการปะทุบ่อยครั้ง ทำให้เกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่และเกิดการกัดเซาะจนกลายเป็นลำธาร Oirase แห่งนี้ ความอุดมสมบูรณ์ทาธรรมชาติของที่นี่ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวจากทั่วสารทิศแวะเวียนมาไม่ขาดสาย เส้นทางเดินเทรลยาวกว่า 14 กิโลเมตร ทำให้เราสามารถเดินลัดเลาะสัมผัสธรรมชาติอย่างใกล้ชิด ใครที่รักการเดินระยะไกลสามารถมาเดินเล่น ฟังเสียงสายน้ำกันเพลินๆ ได้ เป็นทางตรงเลียบลำธารเรื่อยๆ ไม่ซับซ้อน มีจุดพักเป็นระยะ ระหว่างทางมีน้ำตกอยู่หลายจุด หรือถ้าใครกลัวเดินไม่ไหวก็สามารถขับรถไปตามจุดจอดใหญ่ๆ และแวะเที่ยวเล่นได้เช่นกัน ซึ่งบรรยากาศที่นี่ก็จะเปลี่ยนมู้ดไปตามฤดูกาล
ฉันเริ่มจากจุดพักแรก Yakeyama (ถ้าเห็น Oirase Stream Museum เดินถัดไปอีกนิดก็จะเป็นป้าย Yakeyama) มุ่งสู่จุดพักปลายทาง Nenokuchi สิ่งที่ต้องเตรียมคือรองเท้าที่ใส่สบายที่สุด บวกกับขนมและน้ำดื่มเพื่อเติมพลังระหว่างทาง เพราะบางโซนกว่าจะถึงจุดพักก็ไกลอยู่ ตลอด 14 กิโลเมตร มีจุดที่ไฮไลท์ที่เราอยากแนะนำให้แวะ สำหรับคนที่ไม่เดินเทรลยาวๆ ก็สามารถขับรถเที่ยวแวะได้ 2 จุดใหญ่ๆ ด้วยกันคือ Kumoinotaki Falls และ Choshi-otaki Falls
Kumoinotaki Falls
น้ำตกสูงใหญ่ที่ไม่น่าเชื่อว่าจะอยู่ชิดติดถนนขนาดนี้ ไม่ต้องเดินไกลเลย ที่มาของชื่อน้ำตกนี้ Kumo แปลว่าก้อนเมฆ เป็นการเปรียบเทียบน้ำตกที่กระทบลงบนหินจะเป็นละอองเหมือนก้อนเมฆนั่นเอง แค่ชื่อก็น่ารักแล้ว เราเดินเข้าไปสำรวจรอบๆ สัมผัสกับความชื้นจากละอองน้ำ เสียงสายน้ำที่กระทบกับก้อนหิน ความเขียวชอุ่ม ทำให้ผ่อนคลายความเมื่อยล้าที่เดินมาครึ่งค่อนวันได้บ้าง ฉันนั่งสูดอากาศสดชื่นจนเต็มปอด ฟังเสียงจากธรรมชาติเพลินๆ รู้ตัวอีกทีเวลาก็ล่วงเลยไป คงต้องออกเดินทางต่อ ฉันหันไปขอบคุณเจ้าน้ำตกก้อนเมฆที่ช่วยเติมความสดชื่นระหว่างวันให้กัน
Choshi-otaki Falls
น้ำตกนี้เป็นจุดที่ทำให้ใครหลายๆ คนอยากมา Oirase ภาพน้ำตกที่ดูนุ่มละมุนในหน้าโบรชัวร์ท่องเที่ยวทำให้ฉันยอมเดินทางมาถึงที่นี่ และก็ไม่ทำให้ผิดหวังจริงๆ สายน้ำสีขาวกระทบกับลำธารที่มีฉากหลังล้อมรอบด้วยต้นไม้สีเขียวสดชื่น ช่วยให้วันร้อนๆ สดใสขึ้นมา ใครที่มาในช่วงใบไม้ร่วงก็น่าจะสวยไปอีกแบบ ความฮอตฮิตของที่นี่สังเกตได้จากผู้คนที่แวะเวียนมาถ่ายรูปด้วยอย่างไม่ขาดสาย ที่นี่จึงเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์คที่ต้องมา ใครที่ไม่อยากเหนื่อยเกินไปเริ่มเดินจากฝั่ง Nenokuchi จะใกล้กว่า หรือขับรถมาจอดแวะก็ได้เหมือนกัน
แผนที่เส้นทางเดินเทรลที่ Oirase
02 Lake Towada
ที่นี่เป็นจุดเริ่มต้นของลำธาร Oirase ห่างจากป้าย Nenokuchi เพียงเล็กน้อยก็จะพบกับทะเลสาบ Towada บริเวณนี้จะเป็นจุดชมวิวทะเลสาบและจุดจอดรถบัส มีร้านอาหารและร้านขายของฝากอยู่บ้างใครที่เดินเหนื่อยมาจาก Oirase ก็แวะมาฝากท้องที่นี่ได้นอกจากนี้ยังมีท่าเรือ Sightseeing Boat สามารถนั่งเรือชมวิวแล้วข้ามไปเที่ยวอีกฟากฝั่งของทะเลสาบได้เหมือนกัน ใครที่อยากมาเดินเล่นรับลมชิลๆ ชมพระอาทิตย์ตก ที่นี่ก็เป็นอีกหนึ่งจุดที่เราอยากแนะนำ
Info
Lake Towada
Hours : เปิด 24 ชม.
Entrance Fee: ฟรี
Tel. : 0176-75-2425
Website : www.towadako.or.jp/en
03 Mt.Hakkoda
ภูเขา Hakkoda เป็นส่วนหนึ่งในอุทยานแห่งชาติ Towada Hachimantai เป็นอีกเส้นทางที่สายเดินเขามักจะแวะเวียนกันมาพิชิตความสูง 1,584.4 เมตรจากระดับน้ำทะเล นอกเหนือจากเส้นทางเดินเทรลระยะยาวแล้ว สำหรับนักท่องเที่ยวเวลาน้อยอย่างเรา ก็มีเส้นทางเดินสัมผัสธรรมชาติแบบสั้นๆ ให้ได้เดินเล่นกันอีกด้วย
โรปเวย์พาเรามาถึง Summit Wood Deck จุดชมวิวจุดแรกที่ทำให้เราเห็นวิวภูเขาในแบบพาโนรามา ความสูงและวิวทิวเขาที่สลับซับซ้อนหลายเลเยอร์ทำให้ฉันใช้เวลาอยู่ตรงนี้นานพอสมควร เมื่อผ่อนคลายกับจุดชมวิวกันพอสมควรก็ถึงเวลาต้องออกเดินต่อแล้วล่ะ
ฉันเลือกเดินเส้นทาง Hakkoda Gourd Line แบบระยะทาง 1.8 กิโลเมตร ที่เดินเป็นวงกลม ใช้เวลาประมาณ 60 นาที เส้นทางนี้เราจะได้ชมพื้นที่ลุ่มน้ำ Tamoyachi ที่มีพื้นหลังเป็นทิวเขา Hakkoda ระหว่างทางเดินมีป้ายบอกทางเป็นระยะ เส้นทางเดินง่ายชัดเจนไม่มีหลง ระหว่างทางเราจะได้เห็นพรรณไม้นานาชนิด และดอกไม้หลากหลายสายพันธุ์ตลอดทาง เดินเพลินๆ เผลอแป๊บเดียวเราก็มาถึงจุดชมพื้นที่ลุ่มน้ำ ฉันนั่งเล่นแถวนี้ชมวิวไปสักพัก ก็ออกเดินต่อไปเรื่อยๆ จนวนครบรอบมาถึงจุดขึ้นโรปเวย์ที่เดิม
เส้นทางนี้ถึงแม้จะเป็นระยะสั้นๆ ใช้เวลาไม่มาก แต่วิวระหว่างทางขอบอกเลยว่าสวยทุกจุด และที่นี่สามารถมาเที่ยวได้ในทุกฤดู ใครที่รักการเดินเขาสัมผัสสีเขียวสดชื่นก็ต้องฤดูร้อนนี่แหละ หรือถ้าอยากเห็นวิวใบไม้เปลี่ยนสี ที่นี่คือสุดยอดจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่พลาดไม่ได้เลย เราจะได้เห็นวิวภูเขาสีแดงสลับสีส้มเหลืองไปสุดลูกหูลูกตา และสำหรับฤดูหนาวนั้นจะได้พบ Snow Monster (ปรากฏการณ์น้ำแข็งเกาะต้นไม้หรือที่เรียกกันว่า “จุเฮียว”) กับหิมะที่ปกคลุมไปทั่วภูเขา ใครชอบโทนสีไหนก็ลองเลือกช่วงเวลามาเที่ยวกันได้เลย
เกือบลืมไป แวะชิมน้ำแอปเปิ้ลอาโอโมริคั้นสด หรือหอยเชลล์ได้ที่หน้าสถานีโรปเวย์นะ อร่อยแหละ ต้องลอง 🙂
Info
Mt. Hakkoda Ropeway
Hours : มีนาคม-ต้นพฤศจิกายน 9:00-16:20 น., กลางพฤศจิกายน-กุมภาพันธ์ 9:00-15:40 น.
Entrance Fee : ไป-กลับ ผู้ใหญ่ 2,000 เยน เด็กต่ำกว่า 13 ปี 700 เยน
เที่ยวเดียว ผู้ใหญ่ 1,250 เยน เด็กต่ำกว่า 13 ปี 450 เยน (เด็กอนุบาลไม่เสียค่าใช้จ่าย)
Tel. : 0177-38-0343
Website : www.hakkoda-ropeway.jp/english
Suiren-numa Pond
ที่นี่เป็นอีกหนึ่งจุดชมวิวภูเขา Hakkoda แบบพาโนรามา แต่เป็นมุมมองจากด้านล่าง ทำให้เราเห็นทิวเขาเรียงเป็นแนวนอนยาวออกไป โดยมีสระน้ำเล็กๆ ประกอบฉาก ใครที่ผ่านมาทางนี้เราอยากให้มาแวะถ่ายรูปกัน อยู่ในเส้นทางไปภูเขา Hakkoda เป็นมุมที่สวยไปอีกแบบล่ะ
04 Towada Art Center
พิพิธภัณฑ์เล็กๆ แห่งนี้อัดแน่นไปด้วยงานศิลปะคุณภาพมากมาย โดยศิลปินชื่อดังจากทั่วทุกมุมโลก ซึ่งคอนเซ็ปต์ของที่นี่คือการผสมผสานกันระหว่างศิลปะกับสถาปัตยกรรม ผลงานหลายๆ ชิ้นนั้นมีวิธีการนำเสนอและการติดตั้งที่กลมกลืนเป็นส่วนหนึ่งของตัวอาคาร ซึ่งเพียงแค่ก้าวเข้ามาในส่วนทางเข้า ดูเผินๆ อาจจะเป็นแค่ทางเข้าพิพิธภัณฑ์ธรรมดา แต่เมื่อก้มมองพื้นห้องก็จะได้สัมผัสกับงานของ Jim Lambie ศิลปินจากสกอตแลนด์ เป็นการใช้เทปไวนิลสีสันสดใสสร้างเป็นแพทเทิร์นทำให้เกิดมิติบนพื้น ซึ่งงานชิ้นนี้สามารถชมจากด้านนอกอาคารได้ด้วย เป็นประสบการณ์ครั้งแรกที่เราได้ยืนซื้อตั๋วบนงานศิลปะแหละ
ตัวอาคารนั้นเชื่อมด้วยทางเดินผนังกระจก ทำให้เราสามารถชมชิ้นงานต่างๆ ได้จากทั้งในและนอกอาคาร ทั่วทุกมุมแทรกซึมไปด้วยงานศิลปะถาวรจำนวน 38 ชิ้นงาน โดย 33 ศิลปิน ซึ่งนอกเหนือจากชิ้นงานที่อยู่ในพิพิธภัณฑ์แล้ว ยังมีงานศิลปะกระจายอยู่รอบๆ พิพิธภัณฑ์มากมายรวมถึงงาน Street Furniture จะได้เห็นงานอาร์ตมาเป็นเก้าอี้ดีไซน์เก๋ๆ สามารถมานั่งเล่นพักผ่อนได้อีกด้วย ทั่วทุกอณูของที่นี่คือศิลปะจริงๆ
ฉันเดินชมงานไปเรื่อยๆ อย่างเพลิดเพลินจนมาถึงชั้นบนสุดของอาคารที่เป็นดาดฟ้า ซึ่งแม้กระทั่งพื้นที่ตรงนี้ก็ยังเป็นชิ้นงานของศิลปินชาวคอสตาริกา ชื่อว่า Federico Herrero เมื่อมาถึงตรงนี้ยืนมองทุกสิ่งรอบตัวจากมุมสูงของอาคาร พลางนึกย้อนไปถึงชิ้นงานต่างๆ ที่ฉันสัมผัสมา ทำให้รู้สึกว่าศิลปะไม่ใช่เรื่องไกลตัวหรือเป็นเรื่องเข้าใจยาก ที่นี่ทำให้งานอาร์ตเป็นเรื่องที่เข้าถึงได้ในชีวิตประจำวัน และสามารถสื่อสารได้กับทุกคน
นอกเหนือจากการดีไซน์อาคารและคอนเซ็ปต์ที่น่าสนใจแล้ว ชื่อเสียงของศิลปินก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ดึงดูดให้ผู้คนเดินทางมาที่นี่ ไม่ว่าจะเป็น Yoko Ono,Yayoi Kusama, Ron Mueck, Erwin Wurm, Yoshitomo Nara, Choi JeongHwa และอื่นๆ อีกมากมาย ที่นี่จึงเป็นอีกหนึ่งเช็คลิสต์ที่หากมีโอกาสได้มาเมืองโทวาดะแล้วต้องมาเยือน
Info
Towada Art Center
Hours : 9:00-17:00 น.
Holiday : วันจันทร์
Entrance Fee : ผู้ใหญ่ Collection: 520 เยน, Exhibition: 800 เยน, Collection + Exhibition: 1,200 เยน, เด็กต่ำกว่า 18 ปี ฟรี
Tel. : 0176-20-1127
Website : www.towadaartcenter.com/en
Kiji’s Picks
Standing Woman by Ron Mueck
ฉันเดินมาถึงที่ห้องแรกของส่วนนิทรรศการเพื่อพบกับงานประติมากรรมของ Ron Mueck หญิงสูงวัยความสูง 4 เมตร ตั้งตระหง่านอยู่ในพื้นที่จัดแสดง ฉันยืนมองเธอด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย สีหน้าที่บางมุมก็ดูเศร้าโศก บางมุมก็เหมือนเคร่งเครียดบึ้งตึง ทำให้ฉันยืนจินตนาการว่าอะไรนะที่ทำให้เธอมีสีหน้าแบบนั้น
Ron Mueck ศิลปินชาวออสเตรเลียที่ผลงานของเขาโดดเด่นในเรื่องของประติมากรรมรูปคนแบบไฮเปอร์เรียลลิซึ่ม เป็นรูปแบบประติมากรรมที่มีความเหมือนจริงทั้งในเรื่องของผิว, ริ้วรอยและส่วนต่างๆ ของร่างกาย โดยงานของรอนมักจะมีสเกลที่แตกต่างจากความเป็นจริง มีทั้งเล็กกว่าขนาดจริงและใหญ่โตมหึมาอย่างงานชิ้นนี้ Standing Woman จึงไม่ได้เป็นเพียงประติมากรรมธรรมดา แต่เปี่ยมไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกที่ส่งผ่านทางสีหน้าและสายตาของเธอ และมันก็ถูกส่งต่อมายังผู้ชมอย่างฉันเข้าอย่างจัง
Wish Tree for Towada by Yoko Ono
“Wish Tree” เป็นโปรเจกต์งาน Interactive Art (ศิลปะปฏิสัมพันธ์) ของ Yoko Ono ศิลปินชาวญี่ปุ่นชื่อดังและเป็นที่รู้จักในฐานะภรรยาของ John Lennon ซึ่งคอนเซ็ปต์คือการอธิษฐานเพื่อสันติภาพของโลก โดยเชิญชวนผู้คนมาเขียนคำอธิษฐานและนำไปผูกไว้กับ Wish Tree ซึ่งต้นไม้แห่งสันติภาพนี้ถูกกระจายไปตามพิพิธภัณฑ์ต่างๆ ทั่วโลก ซึ่งต้นไม้ที่ใช้ก็มีหลากหลายชนิดขึ้นอยู่กับสถานที่ตั้ง และคำอธิฐานก็จะถูกฝังไว้ที่ Imagine Peach เมืองเรคยาวิก ประเทศไอซ์แลนด์
สำหรับ Wish Tree ของที่นี่คือต้นแอปเปิ้ล เพราะเป็นผลไม้ชื่อดังของจังหวัดอาโอโมริ ชิ้นงานถูกตั้งไว้ภายนอกอาคาร และก็สามารถชมจากภายในอาคารผ่านทางเดินเชื่อมกระจกได้เช่นกัน นอกเหนือจากนี้ผลงานของเธอยังมี Riverbed และ Bell of Peace ซึ่งอยู่ในบริเวณใกล้ๆ กัน ใครที่แวะเวียนไปก็ลองไปอธิษฐานกันได้ ไม่แน่นะ คำขอของพวกเราอาจจะเป็นจริงก็ได้
Fat House & Fat Car by Erwin Wurm
บ้านรูปทรงแปลกประหลาดและรถที่มีรูปทรงผิดเพี้ยนนี้ตั้งอยู่นอกอาคารตรงข้ามกับพิพิธภัณฑ์ ผลงานของศิลปินชาวออสเตรียชื่อดัง Erwin Wurm เป็นประติมากรรมที่ฉีกกฎรูปทรงในแบบเดิมๆ เขาใช้รถยนต์ของจริงนำมาดัดแปลง ส่วนบ้านนั้นทำจากวัสดุ Polystyrene (พอลิสไตรีน) ประกอบขึ้นมา ถึงแม้บ้านและรถนี้จะดูน่าขบขันและผิดเพี้ยนบวมปูดแต่แฝงไปด้วยเรื่องราวเสียดสีสังคม ที่เขาเลือกนำเสนอของสองสิ่งนี้เพราะเป็นสิ่งที่แสดงฐานะทางสังคมในยุคนี้ชัดเจนที่สุดว่าคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตนั้นจะต้องมีบ้านและรถ Fat House & Fat Car จึงเป็นสัญลักษณ์ของลัทธิบริโภคนิยมที่ถูกค่านิยมทับซ้อนกันจนบวมอ้วนและล้นออกมา
Erwin Wurm มักจะใช้ข้าวของในชีวิตประจำวันใกล้ตัวนำมาสร้างสรรค์ผลงานและที่สำคัญผู้ชมสามารถเข้าไปมีส่วนร่วมกับชิ้นงานของเขาได้เสมอ ทำให้การเดินดูงานศิลปะไม่ใช่เรื่องน่าเบื่อ ผลงานของเขากระจายตัวอยู่ที่หอศิลป์ชั้นนำทั่วโลกใครที่สนใจก็สามารถแวะเวียนมาชมผลงานของเขาได้ที่นี่เช่นกัน
05 Aomori Museum of Art
พิพิธภัณฑ์ศิลปะประจำจังหวัดอาโอโมริแห่งนี้เต็มไปด้วยผลงานศิลปะของศิลปินที่มีชื่อเสียงมากมายอาทิ Yoshitomo Nara ศิลปินร่วมสมัยชาวอาโอโมริอันโด่งดัง เจ้าของผลงานเด็กหญิงตาโตหน้าบึ้ง หรือน้องหมาหน้าตาง่วงๆ ที่หลายคนอาจจะคุ้นตามาบ้าง หรือ Marc Chagall ศิลปินชาวยิว-รัสเซีย ที่โดดเด่นทั้งงานภาพจิตรกรรมและงานประดับกระจกสี และ Shiko Munakata ศิลปินผู้เชี่ยวชาญงานภาพพิมพ์ชาวอาโอโมริอีกเช่นกัน
ตัวอาคารนั้นดีไซน์โดยสถาปนิก Aoki Jun โดยได้แรงบันดาลใจจาก Sannai-Maruyama แหล่งประวัติศาสตร์ที่อยู่ใกล้ๆ กับพิพิธภัณฑ์ โดยใช้สีขาวเป็นหลัก
พื้นที่จัดแสดงงานมีหลายโซนด้วยกัน ใครที่สนใจอยากมาเที่ยวชมอยากให้เผื่อเวลาไว้สักหน่อยเพราะที่นี่มีสิ่งที่น่าสนใจหลายจุดเช่นกัน เริ่มจาก Aleko Hall จุดศูนย์กลางของพิพิธภัณฑ์ เป็นห้องโถงขนาดใหญ่ที่จัดแสดงผลงานของ Marc Chagall ภาพวาดที่มีสีสันและลายเส้นเป็นเอกลักษณ์ขนาดใหญ่ซึ่งเป็นภาพประกอบฉากบัลเล่ต์เรื่อง Aleko ที่อดไม่ได้จะหยุดดู
และโซนที่เป็นไฮไลท์ที่ใครมาต้องแวะไปหาคือ Aomori-ken รูปปั้นน้องหมาหน้าง่วงสูง 8.5 เมตร ผลงานของ Yoshitomo Nara ความพิเศษคือเราจะได้สัมผัสอารมณ์ของน้องที่จะเปลี่ยนไปตามสภาพแสงและฤดูกาล ทางเดินไปเข้าไปชมอาจจะซับซ้อนสักนิด แต่ไม่ต้องห่วงเพราะทางพิพิธภัณฑ์มีแผนที่แจกและป้ายบอกทางชัดเจน นอกเหนือจาก Aomori-ken แล้วยังมีผลงานของ Yoshitomo Nara อีกมากมายทั้งในและนอกอาคาร ใครเป็นแฟนผลงานของเขาจะต้องรักที่นี่แน่นอน บอกเลยว่าคุ้ม น่าเสียดายที่พื้นที่ในอาคารจะถ่ายรูปได้บางจุดเท่านั้น แต่ด้านนอกอาคารสามารถถ่ายได้ปกติ ซึ่งขอบอกว่ามีมุมสวยๆ เพียบ ชาร์จแบตเตรียมเมมโมรี่การ์ดให้พร้อมได้เลย
Info
Aomori Museum of Art
Hours : มิถุนายนถึงกันยายน 9:00-18:00 น., ตุลาคมถึงพฤษภาคม 9:30-17:00 น.
Holiday : วันจันทร์ที่ 2 และ 4 ของเดือน, วันที่ 27 ธันวาคมถึง 1 มกราคม
Entrance Fee : ผู้ใหญ่ 510 เยน, นักศึกษาและนักเรียนชั้นมัธยมปลาย 300 เยน, นักเรียนชั้นประถมและมัธยมต้น 100 เยน
Tel. : 0177-83-3000
Website : www.aomori-museum.jp/en/
แผนที่เที่ยวอาโอโมริ
คลิกที่รูปเพื่อดาวน์โหลดแผนที่
วิธีการเดินทาง
รถยนต์
ถ้าอยากจะเที่ยวอาโอโมริให้ทั่วในเวลาจำกัด รถยนต์ก็ถือเป็นทางเลือกที่เหมาะที่สุดเพราะบางสถานที่รถสาธารณะไม่สามารถเข้าถึงได้ ซึ่งการเช่ารถในญี่ปุ่นก็แสนจะง่ายดายเพียงแค่เข้าเว็บไซต์ www2.tocoo.jp/th/ ก็สามารถเลือกรถได้ตามความต้องการ มีข้อมูลภาษาไทย ที่สำคัญมีส่วนลดราคาพิเศษเฉพาะผู้อ่านคิจิเพียงใส่โค้ด THKJ24 ก็รับส่วนลดไปเลย 1,000 เยน (อ่านเงื่อนไขและรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่) เพียงแค่มีใบขับขี่สากล เท่านี้ก็พร้อมตะลุยเที่ยวสัมผัสธรรมชาติสวยๆ ที่อาโอโมริกันได้เลย
รถไฟ
การเดินทางจากโตเกียวสามารถนั่งรถไฟชินคันเซนไปยังจังหวัดอาโอโมริได้ เพียงพกบัตรโดยสาร JR East Pass Tohoku Area ซึ่งสามารถซื้อได้จากประเทศไทยผ่านทาง JTB Thailand อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ www.jtbthailand.com/th/home/
Hotel Metropolitan Sendai
หลับเต็มอิ่ม เดินทางสะดวก ช็อปปิ้งสบาย
ใครที่กำลังมองหาที่พักในจังหวัดมิยากิอยู่และต้องการพักใจกลางเมืองเซนได มาที่นี่เลย Hotel Metropolitan Sendai โรงแรมที่มีโลเคชั่นเป็นเลิศ เพราะมีทางเชื่อมจากสถานีรถไฟ JR Sendai เข้าถึงตัวโรงแรม สามารถเดินจาก West Exit ของสถานี JR Sendai หรือสถานีรถไฟใต้ดิน Sendai เพียงแค่ 1 นาทีเท่านั้น ด้วยความที่โรงแรมอยู่ในย่านดาวน์ทาวน์ บริเวณรอบๆ จึงรายล้อมไปด้วยห้างสรรพสินค้าหลายแห่งให้ช็อปปิ้งอย่างเพลิดเพลิน เช่น S-PAL, Loft, Parco เป็นต้น เดินบนสกายวอร์คไปนิดเดียวก็เชื่อมเข้าถึงตัวห้างเลย จะช็อปหนักแค่ไหนเดินกลับโรงแรมได้อย่างชิลๆ ไม่มีเหนื่อย
ทางโรงแรมมีห้องพักให้บริการหลากหลายรูปแบบ พร้อมรองรับนักท่องเที่ยวทุกคนไม่ว่าจะมาเดี่ยว คู่ หรือมาเป็นครอบครัว หากต้องการความเป็นส่วนตัวมากๆ ขอแนะนำห้อง Executive Twin สุดพิเศษจะอยู่ที่ชั้น 19 และ 20 เท่านั้น ชั้น Executive จะมีประตูรักษาความปลอดภัยที่ทางเข้าต้องใช้คีย์การ์ดเพื่อผ่านเข้าออก ห้องพักสไตล์โมเดิร์นเรียบหรูโทนสีเข้ม เห็นวิวเมืองเซ็นได มีโต๊ะบิวท์อินตัวยาวที่ใช้วางของหรือนั่งทำงานได้อย่างสบาย ห้องน้ำมีทั้งฝักบัวและอ่างอาบน้ำซึ่งจะอยู่แยกกันกับห้องส้วม ตำแหน่งที่วางเฟอร์นิเจอร์และการแบ่งโซนของห้องน้ำนั้นเป็นการจัดสรรพื้นที่ใช้สอยในห้องได้อย่างลงตัวและมีประสิทธิภาพมาก ที่สำคัญมีสิ่งอำนวยความสะดวกหลายอย่าง อาทิ เครื่องชงกาแฟแคปซูล สมาร์ทโฟน ตู้เซฟคุ้มค่ากับราคาที่จ่ายไปอย่างแน่นอน
ห้อง Executive Twin
ที่ห้องอาหาร Serenity ชั้น 2 มีอาหารเช้าบุฟเฟ่ต์สไตล์ญี่ปุ่นและตะวันตกกว่า 80 รายการให้บริการเลือกรับประทานได้ไม่อั้น จ่ายเพิ่มจากราคาห้องเพียงแค่ 2,500 เยนต่อคนเท่านั้น ก็ได้กินอาหารเช้าคุณภาพดีของโรงแรม อิ่มท้องมีแรงพร้อมก่อนออกไปเที่ยวแน่นอน
ได้ยินมาว่าเทปปันยากิที่โรงแรมอร่อยมาก เพราะคัดสรรวัตถุดิบท้องถิ่นมาอย่างดีโดยเชฟมากฝีมือ ถ้ายังไม่เคยลองกินเนื้อเซนไดที่ละลายในปากอยากให้มาลองชิมที่นี่ นอกจากนี้ทางโรงแรมยังมีบาร์และห้องจัดเลี้ยงเหมาะสำหรับการเฉลิมฉลองและทุกโอกาสพิเศษ
คลิกที่นี่เพื่อจองโรงแรม Hotel Metropolitan Sendai
รายละเอียดเพิ่มเติม www.sendai.metropolitan.jp
เช่ารถพร้อมรับส่วนลดกับ ToCoo!
อยากไปเที่ยวญี่ปุ่นแต่ว่าโลเคชันที่จะไปรถไฟเข้าไม่ถึงรถบัสก็ไม่ผ่าน และอยากจัดทริปเองไม่อยากซื้อทัวร์อีก จะแก้ปัญหานี้ได้อย่างไร เรามีทางออกดีๆ มาแนะนำ ลองขับรถยนต์เที่ยวดูสิจะทำให้ทริปของคุณสะดวกสบายขึ้นมาทันที รู้ไหมว่าการขับรถในญี่ปุ่นง่ายกว่าที่คิดเยอะเพราะที่ญี่ปุ่นถนนหนทางดีมาก กฎจราจรก็เข้าใจง่ายไม่ซับซ้อน ขับรถทางด้านซ้ายของถนน พวงมาลัยคนขับอยู่ทางด้านขวาเหมือนไทยเลยนะ ถ้าอยากมีโรดทริปสุดเจ๋งเป็นของตัวเอง เช่ารถยนต์ขับเที่ยวดูสิเพลินแน่นอน
การเช่ารถยนต์ขับในประเทศญี่ปุ่นต้องทำอย่างไร เตรียมเอกสารอะไรบ้าง ค่าเช่าแพงไหม? เราจะมาตอบทุกคำถามที่ทุกคนสงสัยเกี่ยวกับการขับรถในญี่ปุ่นให้เองการจะขับรถยนต์ในญี่ปุ่นได้นั้นสิ่งแรกที่จะต้องทำจาก
ประเทศไทยไปคือ“ใบอนุญาตขับขี่ระหว่างประเทศ” ซึ่งสามารถติดต่อทำได้ที่สำนักงานขนส่งกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-5 และสำนักงานขนส่งจังหวัดทุกจังหวัด ใช้เวลาดำเนินการเพียงแค่ไม่ถึง 15 นาที ก็รับใบขับขี่ระหว่างประเทศกลับไปได้เลย รายละเอียดเพิ่มเติมที่ www.dlt.go.th
ขั้นตอนการ เช่า-รับ-คืน รถ
ควรเลือกเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถืออย่างที่เราใช้คือ ToCoo! ซึ่งเป็นเว็บไซต์จองรถเช่าสำหรับชาวต่างชาติที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น มีการทำสัญญากับบริษัทรถเช่ากว่า 55 แห่ง (บริษัทใหญ่ๆ เช่น : TOYOTA, Nippon, Nissan ฯลฯ) สามารถจองรถเช่าจากสาขาได้กว่า 3,000 แห่งทั่วญี่ปุ่น การจองจะเป็นแบบเรียลไทม์ มีออพชั่นเสริมให้เลือกมากมาย อาทิ WiFi Router และ ETC Card (สำหรับขึ้นทางด่วน) ที่สำคัญมีส่วนลดให้สูงสุดถึง 60% (ถือว่าถูกมากๆ) จองง่ายๆ ผ่านที่นี่ www2.tocoo.jp/th เว็บไซต์ภาษาไทยใช้งานสะดวก เลือกวัน-เวลา-สถานที่รับและจุดคืนรถเมื่อกรอกข้อมูลต่างๆ ในการเช่าเรียบร้อยจะมีอีเมลยืนยันการจองส่งมา วันที่รับรถให้นำบัตรเครดิต ใบขับขี่สากล พาสปอร์ตยื่นให้ กับพนักงานเพื่อเป็นการยืนยันตัวตนและชำระค่าเช่าก่อนรับรถพนักงานจะพาตรวจสภาพรถภายนอกโดยรอบคันและอธิบายการใช้งานต่างๆ พร้อมกับให้คู่มือการเช่ารถมาด้วย รายละเอียดและข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับการเช่ารถ จะอยู่ในคู่มือที่ได้รับมาทั้งหมดเมื่อถึงเวลาส่งรถคืนสิ่งที่ต้องทำก่อนคืนรถคือจะต้องเติมน้ำมันให้เต็มถังและแสดงใบเสร็จค่าน้ำมันให้กับร้านเช่ารถด้วย
วิธีใช้ GPS
ในรถเช่าจะมีเครื่อง GPS มาให้เป็นระบบนำทางสำหรับรถยนต์ทุกประเภทซึ่งไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ตัว GPS จะเซ็ตโลเคชั่นได้แค่เมื่อรถจอดอยู่เท่านั้น ระหว่างที่ขับรถจะไม่สามารถใช้งานได้ เพื่อเป็นการป้องกันการเกิดอุบัติเหตุระหว่างขับขี่นั่นเอง อันดับแรกก่อนออกรถต้องตั้งค่าการใช้งานเป็นภาษาอังกฤษก่อน GPS ของญี่ปุ่นใช้งานง่ายมากเพียงแค่ใส่เบอร์โทรศัพท์ของสถานที่ที่ต้องการจะไป GPS ก็จะแสดงโลเคชั่นของที่นั้นๆ ให้เลย เพราะง่ายและแม่นยำกว่ากรอกตัวอักษร *ที่สำคัญเลยผู้ขับขี่ห้ามใช้โทรศัพท์มือถือระหว่างขับรถยนต์นะ เพราะผิดกฎจราจรของญี่ปุ่น*