ติดใจบามคูเฮนแสนอร่อยจนต้องมาหา Club Harie @ Omihachiman
โดย イノシシ
Club Harie มีขนมขึ้นชื่อเรียกว่า บามคูเฮน (Baumkuchen) เป็นการประสมคำศัพท์สองคำในภาษาเยอรมัน คือ Baum แปลว่า “ต้นไม้” และ Kuchen แปลว่า “ขนมอบหรือเค้ก” ขนมเค้กชนิดนี้เป็นที่นิยมมากในญี่ปุ่นและมีหลายยี่ห้อให้เลือกชิม แต่หลังจากได้ลิ้มรสชาติของ Club Harie ระหว่างที่ไปเที่ยวที่นาโกย่า (Nagoya) เพราะไปเจอร้านสาขาที่มีจำหน่ายแบบอบใหม่สดๆ ที่ระบุไว้ว่าต้องกินให้หมดภายในวันนี้เท่านั้นก็ติดใจในรสชาติที่ได้ลิ้มลองจนอยากรู้จักแบรนด์ขนม Club Harie ให้มากยิ่งขึ้น นี่คือแรงบันดาลใจในการเริ่มต้นทริปนี้ และการหาข้อมูลที่เกี่ยวกับร้านก็เริ่มต้นขึ้น…
Shiga (ชิกะ)
Club Harie มีร้านสาขากระจายตามเมืองต่างๆ และยังปรับรูปแบบการวางจำหน่ายของแต่ละสาขาให้แตกต่างกันไปด้วย นั่นหมายความว่ามีการทำคอนเซ็ปต์ร้านให้ต่างกันออกไปในแต่ละสาขา เป็นการสร้างความน่าสนใจและทำให้มีการสร้างสรรค์เมนูขนมต่างๆ เพิ่มมากขึ้น ความน่าสนใจเหล่านี้ทำให้ยิ่งอยากไปสาขาแรกที่เป็นร้านต้นตำรับในเมือง โอมิฮาจิมัง (Omihachiman) ในจังหวัดชิกะ (Shiga) และจากการหาข้อมูลทำให้ทราบว่า Club Harie เป็นแบรนด์ในเครือทาเนยะ (Teneya) ซึ่งเป็นร้านขนมญี่ปุ่นที่มีประวัติยาวนานกว่า 148 ปี และเราก็หลงใหลขนมญี่ปุ่นของร้านนี้อยู่ด้วย จึงยิ่งเพิ่มแรงจูงใจสำหรับเราเป็นทวีคูณ
วางแผนทริปและการเดินทาง
การมีเป้าหมายทำให้เราสามารถปักหมุดแผนที่เมืองที่เราจะไปกัน ซึ่งเป็นเรื่องจำเป็นและสำคัญมากต่อการวางแผนเที่ยวเอง สำหรับทริปนี้เราจะไปที่โอมิฮาจิมังในจังหวัดชิกะ ตั้งอยู่ด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ของทะเลสาบบิวะ (Lake Biwa) ที่เป็นทะเลสาบขนาดใหญ่ของญี่ปุ่น รายล้อมด้วยเมืองต่างๆ ที่น่าสนใจ ซึ่งเราก็มีแผนที่จะเที่ยวเมืองอื่นด้วย และความที่ชอบเที่ยวแบบสบายๆ ไม่เร่งรีบ เรากำหนดไว้ว่าจะใช้เวลากับที่นี่ 4 วัน 3 คืน !
จากกรุงเทพเราลงเครื่องที่สนามบินคันไซและเดินทางต่อด้วยรถไฟไปเกียวโต (Kyoto) ตั้งใจว่าพักที่นี่ 2 คืน เพื่อจะได้เดินเที่ยวในเกียวโต และไปชิมเมนูร้านอาหารที่จองมานานจากกรุงเทพ แล้วจึงเดินทางไปชิกะ โดยเราจะนั่งรถไฟไปเมืองโอตสึ (Otsu) ที่อยู่ใกล้กับเกียวโต ซึ่งใช้เวลานั่งรถไฟเพียง 20 นาทีก็ถึงแล้ว ที่นี่เป็นเมืองพักตากอากาศยอดนิยมของญี่ปุ่นในช่วงฤดูใบไม้ผลิหรือฤดูร้อน แต่ว่าช่วงที่ไปเป็นฤดูหนาว ก็เลยทำให้มีตัวเลือกที่พักดีๆ ในราคาไม่แพง เราจึงเลือกโรงแรมระดับ 5 ดาวที่อยู่ติดกับทะเลสาบบิวะ ห้องพักเห็นวิวสวยในราคาเบาๆ พร้อมมีบริการรถรับส่งระหว่างหน้าสถานีรถไฟกับโรงแรมสำหรับแขกที่มาพัก โดยมีตารางเวลารอบบริการแจ้งไว้ นอกจากนี้จากโอตสึยังสามารถเดินทางไปยังเมืองต่างๆ ที่น่าสนใจได้อย่างสะดวกสบาย
วันแรกหลังจากนำกระเป๋าสัมภาระไปฝากที่โรงแรมเรียบร้อย เราก็มุ่งหน้าไปยังโอมิฮาจิมัง เมืองนี้เป็นที่รู้จักในฐานะเมืองแห่งสายน้ำที่เป็นมรดกทางประวัติศาสตร์ และเป็นฐานะเมืองแห่งการค้าที่เจริญรุ่งเรืองเมื่อกว่า 500 ปีที่แล้ว
นั่งรถไฟจากสถานี Otsu ไปลงที่สถานี Omihachiman จากนั้นก็นั่งรถเมล์ไปลงที่ ฮาชิมังโบริ (Hachiman-bori) ที่นี่เป็นเขตอนุรักษ์ที่สำคัญ มีบ้านเรือนโบราณแบบชุมชนริมน้ำที่มีชื่อเสียง และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในช่วงฤดูใบไม้ผลิ เพื่อมาชมดอกซากุระบานสะพรั่งอยู่ 2 ฝั่งคลอง แต่ช่วงหน้าหนาวต้นเดือนมกราคมที่เรามานั้น ที่นี่ดูสงบเงียบราวกับไม่มีผู้คนอาศัยอยู่เลย !
แต่เมื่อสังเกตระหว่างที่เราเดินเลียบไปตามริมคลองผ่านบ้านเรือนแบบโบราณ ก็พบว่าอาคารแต่ละเรือนเปิดให้บริการอยู่ ซึ่งมีทั้งร้านค้าและร้านอาหารที่ดูมีระดับทีเดียว โดยเฉพาะร้านเนื้อย่าง เพราะที่เมืองนี้มีชื่อเสียงโด่งดังในเรื่องเนื้อวัวคุณภาพดีรสชาติอร่อยของญี่ปุ่น แต่บางหลังก็เป็นบ้านพักอาศัยที่ดูสวยงามคลาสสิกมาก
บ้านเรือนญี่ปุ่นโบราณที่สร้างขนานไปกับ 2 ฝั่งคลอง จะมีต้นไม้ใหญ่ที่แม้วันนี้จะแลดูมีเพียงกิ่งก้าน แต่ชวนให้คิดว่าหากมาในช่วงใบไม้ผลิที่ต้นไม้ผลิใบออกดอกจะสวยงามเพียงใด คงไม่เหมือนตอนนี้ที่เดินอยู่ท่ามกลางความหนาวเย็น ถึงแม้จะเตรียมตัวมาอย่างดี เพราะได้ตรวจสอบพยากรณ์อากาศมาแล้ว แต่พอมาถึงจริงๆ อากาศวันนี้หนาวกว่าที่คิดไว้มาก ทำให้ต้องเดินซุกมือในกระเป๋าเสื้อขนเป็ดตลอดทาง แต่โชคดีที่เรามีกล้อง Ricoh GR คุณภาพดีขนาดเล็กซุกไว้ในกระเป๋าเสื้อด้วย จึงพร้อมที่จะหยิบออกมา Snap ภาพอย่างรวดเร็ว ก่อนจะรีบเอามือซุกกลับไว้ในกระเป๋าเสื้อตามเดิม ทำให้เราได้ถ่ายรูปบันทึกการเดินทางท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็นมาจนถึงที่ตั้งเป้าหมายของเราในที่สุด
Club Harie & Teneya
ก่อนอื่นเราตั้งใจไปที่ทาเนยะ (Taneya) ในช่วงเวลามื้อเที่ยง เพราะทราบว่าที่ทาเนยะเปิดบริการเป็นร้านอาหารญี่ปุ่นด้วย ที่นี่เป็นบ้านโบราณหลังใหญ่แบบญี่ปุ่นที่ดูสวยสง่า เมื่อเดินเข้ามาในร้าน พนักงานสอบถามว่าเราต้องการรับประทานอาหารหรือขนม ถ้าต้องการขนมก็จะต้องขึ้นไปชั้น 2 แต่เมื่อเราตอบรับว่าอาหาร พนักงานก็เชิญเข้ามาด้านในตรงโถงห้องที่มีโต๊ะไม้และเก้าอี้แบบญี่ปุ่น
หลังเลือกดูเมนูและสั่งอาหารเสร็จแล้ว สักครู่พนักงานนำชาร้อนพร้อมขนมโมจิไส้ถั่วแดงบดรสหวานมาเสิร์ฟ พอเห็นก็รู้สึกชื่นชมในมุมมองความคิดที่มีรายละเอียดเหล่านี้ เพราะโดยปกติร้านอาหารจะเสิร์ฟของว่างเป็นอาหารคาว หรือเป็นกับแกล้มรสเค็ม แต่ที่นี่ใช้โมจิที่เป็นขนมหวานแทนก็สร้างความประทับใจได้ดี และตอกย้ำถึงเอกลักษณ์ของร้านที่เป็นร้านขนมญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม !
บรรยากาศในร้านเป็นเรือนญี่ปุ่นประดับตกแต่งแบบโบราณ ที่น่าสนใจคือเตาโบราณขนาดใหญ่ที่ยังใช้งานได้ดี ทางร้านใช้ต้มน้ำร้อนสำหรับชงชาเสิร์ฟให้กับแขกที่มารับประทานอาหาร
เราสั่งชุดอาหารแนะนำของวันนี้ และเหมือนว่าที่นี่ภูมิใจนำเสนอ คอนยักคุ (Konnyaku) ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญอย่างหนึ่งที่ใช้ในการทำขนมญี่ปุ่นที่ทางร้านนำไปปรุงแบบอาหารคาวเป็นกับข้าวเครื่องเคียงที่จัดมาเป็นสำรับ และในถ้วยข้าวที่เสิร์ฟมาในชุดก็มีคอนยักคุด้วย เมื่อเห็นก็ชวนน่าอร่อยและน่าสนใจว่ารสชาติจะเป็นอย่างไร เมนูชุดนี้เน้นเรื่องความสดใหม่ของวัตถุดิบท้องถิ่น การปรุงรสแต่น้อย ให้รสชาติเบาๆ ที่กินแล้วรู้สึกสดชื่น แม้จานหลักที่เราเลือกเป็นเนื้อหมูย่างมิโซะที่ดูเข้มข้น แต่เมื่อกินด้วยกันกับอาหารข้างเคียงที่จัดมาในสำรับก็ให้รสชาติที่สมดุลเข้ากันเป็นอย่างดี
และของหวานตบท้าย คือ โมจิลูกกลมๆ ที่ชวนคิดถึงทาโกยากิ ของว่างยอดนิยมของโอซาก้า แต่ว่าลูกกลมๆ นี้เป็นขนมหวาน ทำจากแป้งโมจิรสสัมผัสกรอบนอกนุ่มใน สอดไส้ถั่วแดงบดรสชาติดีมาก สมแล้วที่ทาเนยะเป็นร้านขนมญี่ปุ่นเลืองชื่อ
กินอิ่มแล้วก็เดินเที่ยวรอบๆ บริเวณนี้ ซึ่งใกล้ๆ ร้านจะมีศาลเจ้าชื่อ ศาลเจ้าฮิมุเระฮะจิมังงู (Himure Hachiman-gu Shrine) ที่ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของโอมิฮาจิมัง นับถือว่าเป็นที่สถิตของเทพเจ้าที่ผู้คนท้องถิ่นเคารพบูชาตั้งแต่สมัยโบราณ และยังมีกระเช้าไฟฟ้าที่เราสามารถซื้อตั๋วเพื่อขึ้นไปยังยอดเขาฮะจิมังยามะ อันเป็นจุดชมวิวเห็นได้ทั่วทั้งเมืองอีกด้วย !
แต่เราเลือกที่จะเดินเที่ยวชมบริเวณรอบๆ ร้านก่อนไปยัง Club Harie ที่อยู่ตรงข้ามกัน เพื่อให้มีเวลาไปชิมขนม และดื่มด่ำกับบรรยากาศในร้านคาเฟ่ของ Club Harie ซึ่งเป็นจุดหมายของเราในวันนี้ !
สำหรับ Club Harie สาขาในเมืองโอมิฮาจิมัง (Omihachiman) ตั้งอยู่ในอาคารขนาดใหญ่แบบยุโรป ซึ่งในร้านจะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนด้านหน้าจำหน่ายขนมต่างๆ แบบกลับบ้าน ส่วนด้านหลังเปิดเป็นคาเฟ่บริการขนมและเครื่องดื่ม ซึ่งบรรยากาศในร้านก็ค่อนข้างเงียบสงบ มีความสบายๆ เป็นกันเอง
หลังจากที่ได้ลิ้มรสขนมในคาเฟ่แล้วก็ต้องซื้อขนมติดมือกลับไปเพื่อเป็นเสบียงระหว่างท่องเที่ยว และก่อนกลับกรุงเทพเราไปซื้อขนมเพื่อเป็นของฝากที่ร้านสาขาในโอซาก้า (Osaka) ที่ตึก Abeno Harukas Kintetsu ซึ่งจะเปิดภายใต้ชื่อว่า B-studio ขนมของร้านนี้จะมีอายุ 7 วันนับจากวันที่ซื้อ จึงควรซื้อก่อนวันเดินทางกลับ
- GRist Snap Thailand official Group
www.facebook.com/groups/GRistSnap
- EEPblog
eepblog.com
และหากใครที่อ่านมาถึงตรงนี้แล้วเกิดคำถามว่า แล้วหน้าตาขนมบามคูเฮน (Baumkuchen) ล่ะเป็นอย่างไร ทำไมไม่มีรูปเลย นั่นก็เพราะว่าพอรับประทานขนมก็อร่อยเพลินจนลืมบันทึกภาพสวยๆ ทุกครั้ง แต่ว่าถ้าหากสนใจสามารถเข้าไปดูข้อมูลได้ที่ www.clubharie.jp
- ข้อมูลของร้าน Taneya
- ข้อมูลการท่องเที่ยวอื่นๆ