โดย イノシシ

เมื่อเอ่ยถึง “อาราชิยาม่า (Arashiyama)” ย่านชานเมืองของจังหวัดเกียวโต (Kyoto) นั้นมีชื่อเสียงในเรื่องทิวทัศน์ที่สวยงาม โดยมีรถไฟสายพิเศษซึ่งใช้รถจักรไอน้ำโบราณสุดคลาสสิกชื่อว่า ซากาโนะ โทรอคโค (Sagano Torokko) หรืออีกชื่อว่า ซากาโนะ โรแมนติก (Sagono Romantic) โดยจะวิ่งคู่ขนานไปกับแม่น้ำโฮซุกาว่า (Hozugawa River) เป็นระยะทาง 7.3 กิโลเมตร เพื่อชมทัศนียภาพภูเขาที่มีสีสันของใบไม้เปลี่ยนสี และถ้ามาในช่วงต้นซากุระกำลังออกดอกบานสะพรั่งก็จะตรงกับฤดูกาลการท่องเที่ยวของเมืองนี้เลย

แม้จะไปเกียวโตบ่อยๆ แต่ก็ไม่เคยมา อาราชิยาม่า เลยสักครั้ง นั่นเพราะเวลาที่อยู่ญี่ปุ่นมักเป็นช่วงต้นปีที่มีอากาศหนาว และไม่ใช่ฤดูกาลท่องเที่ยวของที่นี่ เราจึงเลือกใช้เวลาไปเที่ยวที่อื่นมากกว่า แต่ก็คิดเสมอว่าจะหาโอกาสไปเยือนสักครั้ง จนเมื่อต้นปี ค.ศ. 2019 ก็ตัดสินใจไป อาราชิยาม่า เพราะมีเวลาช่วงเช้าของวันแรกที่เดินทางไปถึงญี่ปุ่นพอดี จากเดิมที่มักใช้เวลาเดินเที่ยวในเมืองรอเวลาเช็คอินห้องพัก มาครั้งนี้คิดว่าลองเปลี่ยนไปนอกเมืองบ้างก็น่าจะดี อีกทั้งที่นี่ก็ไม่ไกลจากตัวเมือง ไปเช้าเย็นกลับมาก็คงไม่มืดค่ำอะไรนัก เท่าที่รู้ที่นั่นมีร้านคาเฟ่ที่น่าสนใจหลายร้าน อย่างน้อยก็คงได้ทานมื้อเที่ยง หรือได้จิบชายามบ่ายก็น่าจะดีเหมือนกัน จึงนั่งรถไฟจากสถานีรถไฟเกียวโตไปยังสถานีอาราชิยาม่าใช้เวลาเพียง 30 นาทีก็ถึงแล้ว

ป่าไผ่ (Bamboo Forest) ที่ อาราชิยาม่า (Arashiyama) จ.เกียวโต

เมื่อเอ่ยถึงชื่อ อาราชิยาม่า ก็จะคิดถึงภาพสวนป่าไผ่ (Bamboo Groves) สีเขียวขจีลำต้นใหญ่ตั้งลำสูงชะลูดตลอดแนวสองข้างทาง บรรยากาศดูน่าตื่นตา และงดงาม เป็นภาพที่การท่องเที่ยวญี่ปุ่นใช้ในการประชาสัมพันธ์ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยือน จนกลายเป็นสัญลักษณ์ประจำเมืองนี้ไปแล้ว แม้ในวันที่ไปจะไม่ใช่ฤดูกาลท่องเที่ยว แต่เราก็พบว่ามีนักท่องเที่ยวมากพอสมควร อย่างไรก็ตามมาแล้วก็ต้องมาเดินชมป่าไผ่ ไม่อย่างนั้นก็คงเหมือนมาไม่ถึง!

Bamboo Groves จะมีฝั่งหนึ่งเป็นไฮไลท์สวยที่สุด แน่นอนว่าใครๆ ต่างก็อยากมาบริเวณนี้ ทำให้มีคนมาเดินชมจำนวนมาก ซึ่งเป็นเรื่องยากในการเก็บภาพที่ไม่มีคนเดินไปมาได้ แต่ในจังหวะที่สายตาไล่มองตามดงทิวไผ่สูงใหญ่จากด้านล่างที่แสงแดดส่องลงมาไม่ถึง ขึ้นไปจนถึงสุดปลายยอดก็พลันเห็นยอดสีเขียวอ่อนดูโดดเด่น และสดใส ตัดกับสีของท้องฟ้าที่มาช่วยเสริมเลยรู้สึกอยากเก็บภาพความทรงจำนี้ไว้!

ตอนนั้นคนค่อนข้างพลุกพล่าน มีทั้งตัวเราและนักท่องเที่ยวอื่นๆ เดินตามๆ กันไปบนทางเดิน เราจึงไม่อยากหยุดเพื่อหามุมถ่ายภาพ เพราะรู้สึกว่าอาจไปกีดขวางการเดินของคนอื่น จึงเดินต่อไปเรื่อยๆ แต่มีจังหวะหนึ่ง…เรายกกล้อง Ricoh GR ขึ้นกดชัตเตอร์ (โดยไม่หยุดเดินและในใจก็ลุ้นว่าจะชัดไหม) แล้วเราก็ไม่ผิดหวังตามเคย! คงเป็นเพราะระบบ Snap ที่รวดเร็ว มีระบบกันสั่นประสิทธิภาพดี และด้วยขนาดตัวที่เล็กของกล้องทำให้สามารถคล้องไว้ที่คอได้ตลอดเวลาโดยไม่เมื่อย อารมณ์ว่าอยากหยิบกล้องขึ้นถ่ายรูปตอนไหนก็ได้ทันที 

ตอนนั้นเราคิดว่าหากหยุดเดินเพื่อยืนถ่ายรูป คนที่เดินตามมาก็คงสะดุดกัน และคงสร้างความรู้สึกที่ไม่ดีกับคนอื่น ซึ่งเราก็เคยเจอเหตุการณ์ที่นักท่องเที่ยวกลุ่มหน้าหยุดเดินกะทันหันเพื่อถ่ายรูป (โชคดีที่เราเบรกทัน) เหตุการณ์แบบนี้พบเห็นอยู่เรื่อยๆ จึงอยากจะเล่าสู่กันฟังว่าการหยุดถ่ายภาพ การกีดขวางทางเดินของคนอื่น หรือแม้แต่การยึดมุมถ่ายภาพใดมุมหนึ่งไว้โดยไม่เผื่อให้คนอื่นได้ถ่ายรูปบ้าง เป็นพฤติกรรมที่ไม่น่ารักเท่าไรนัก เราอยากให้ทุกคนคิดถึงคนอื่นๆ ไปเที่ยวแบบถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน! 

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ก็ชวนให้คิดถึงเวลารอรถเมล์ที่ญี่ปุ่นแม้ว่าคน (ญี่ปุ่น) ที่มารอไม่ได้ยืนเข้าแถวกัน แต่พอรถเมล์มาถึงต่างก็ค่อยๆ ทยอยเดินขึ้นไปตามลำดับไม่มีลักษณะของการต้องรีบแย่งชิงความเป็นหนึ่ง การได้มีโอกาสพบและสัมผัสวัฒนธรรมแบบนี้แล้วรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่อยากให้เกิดขึ้นกับทุกที่บนโลกใบนี้เลย!

อาราชิยาม่า (Arashiyama) จ.เกียวโต

เมื่อเดินผ่านมาระยะหนึ่งคนเริ่มน้อยลง เราสังเกตเห็นบริเวณด้านข้างมีการนำกิ่งไผ่แห้งมาวางเรียงเป็นแนวกำแพง กิ่งก้านสีน้ำตาลที่ชวนดูแห้งแล้งแต่พอมีแสงแดดส่องผ่านลงมากระทบก็ทำให้เกิดภาพในอีกมุมมองหนึ่งที่น่าสนใจ มันช่วยเติมสีสันของป่าไผ่ในวันนั้นได้มากทีเดียว

รถลากที่จอดรอให้บริการผู้โดยสารที่ อาราชิยาม่า (Arashiyama) จ.เกียวโต

ที่นี่เราจะเห็นรถลากจอดเรียงเป็นระเบียบอยู่ริมทางเดิน รอผู้โดยสารที่อยากสัมผัสความงดงามของป่าไผ่แบบสบายๆ ส่วนเราเลือกที่จะเดิน เพราะตั้งใจเอาไว้ว่าจะแวะถ่ายรูปจุดไหนก็ได้ตามใจตัวเอง

แม้จะเป็นเพียงแค่ใบไม้ริมทาง แต่พอเจอแสงแดดสวยๆ ก็อดไม่ได้ที่จะเก็บภาพไว้ เราคิดว่าอยากได้ภาพใบไม้สีเหลืองเด่นสะดุดตาท่ามกลางใบไม้สีแดงที่รายล้อมไว้ หากเป็นกล้องขนาดเล็กทั่วไปหรือโทรศัพท์มือถือ เราก็คงได้ภาพที่สว่างทั่วทั้งใบจนไม่ได้มิติภาพอย่างที่เห็น ตอนที่ถ่ายเรามีภาพในหัวว่าอยากให้ฉากหลังมืดเพื่อชูจุดเด่นที่ใบไม้สีเหลือง แต่ก็ไม่อยากจะให้มืดจนไม่เห็นรายละเอียดอื่นๆ ซึ่งกล้อง Ricoh GR เป็นกล้องที่เด่นในเรื่องการเก็บรายละเอียดทั้งในส่วนที่มืดและสว่างของภาพได้ดีอยู่แล้ว แถมยังปรับค่าการรับแสงต่างๆ ได้เหมือนกล้องตัวใหญ่แบบมืออาชีพ ทุกครั้งที่กลับมาดูภาพจากการเดินทางท่องเที่ยวจะรู้สึกเสมอว่าการเลือกกล้อง Ricoh GR คือคำตอบที่ใช่เลยสำหรับเรา เพราะสามารถเก็บภาพได้อย่างใจ…เหมือนเกิดมาคู่กัน

สะพานโทเก็ตสึเคียว (Togetsukyo Bridge) ที่ อาราชิยาม่า จ.เกียวโต

จากป่าไผ่เราเดินต่อมายังสะพานโทเก็ตสึเคียว (Togetsukyo Bridge) เป็นสะพานข้ามแม่น้ำคัตสึระ (Katsura River) มีความยาว 155 เมตร ถือเป็นสะพานเก่าแก่ที่มีมาตั้งแต่สมัยเฮอันของญี่ปุ่น หรือมีอายุราว 800 ปีมาแล้ว ชื่อโทเก็ตสึเคียวมีความหมายว่า สะพานที่พระจันทร์ข้าม (Moon Crossing Bridge) เมื่อลองนึกภาพตามความหมายนี้ ทำให้รู้สึกว่าถ้าได้มายืนชมวิวในช่วงคืนวันพระจันทร์เต็มดวงก็คงจะงดงามไม่น้อย ขนาดตอนนี้ที่เป็นช่วงกลางวันมีแสงอาทิตย์เจิดจ้า แต่แสงแดดที่สาดกระทบกับผิวน้ำก็ยังชวนสัมผัสได้ถึงความงดงาม และยิ่งไปกว่านั้นกล้องตัวเล็กอย่าง Ricoh GR ยังเก็บภาพถ่ายได้อย่างน่าชื่นใจ ภาพของก้อนเมฆสีขาวที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า กับแสงแดดที่ส่องประกายราวกับแสงสีทองเป็นภาพที่มีสีสันสดใส จนอดคิดไม่ได้ว่าภาพนี้ให้ความรู้สึกว่าสวยงามกว่าความจริงเสียอีก…

บรรยากาศรอบๆ Togetsukyo Bridge ที่ อาราชิยาม่า จ.เกียวโต

เมื่อเดินข้ามมาอีกฟากหนึ่งจะเห็นว่ามีเรือจอดอยู่ริมแม่น้ำ กล้อง Ricoh ก็ให้โทนภาพที่มีความสมดุล ปกติแล้วสายตาของคนเรามีความพิเศษในการมองเห็นรายละเอียดต่างๆ ได้ดี โดยเฉพาะในสภาพที่มีความแตกต่างของแสงสูง คือหมายถึงการที่มีส่วนมืดในบริเวณร่มเงากับส่วนที่สว่างมากบริเวณฉากหลังอย่างภาพนี้ แต่เป็นเรื่องยากมากสำหรับกล้องที่จะเก็บรายละเอียดได้ครบตามที่ตาเห็น แต่ว่ากล้อง Ricoh GR ก็มีคุณสมบัติพิเศษในการเก็บรายละเอียดได้ครบในสถานการณ์ยากๆ เช่นนี้ได้

เราชอบภาพนี้เพราะดูแล้วเหมือนได้ย้อนไปสัมผัสอารมณ์ ความรู้สึกที่สงบ และร่มเย็น ณ ตอนนั้น ยิ่งเห็นสายน้ำที่พริ้วไหวเป็นระลอกเล็กๆ ยามที่สายลมเย็นๆ พัดผ่าน ยิ่งชวนให้เราคิดถึงญี่ปุ่นขึ้นมาอีกแล้ว

วัดเทนริวจิ (Tenryuji Temple) ที่ อาราชิยาม่า เป็นวัดสำคัญของเกียวโต

เมื่อเวลาผ่านไปแสงอาทิตย์ก็เริ่มร้อนแรงขึ้น แต่กลับเป็นเรื่องดีในช่วงอากาศหนาว เพราะช่วยให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นมาบ้าง เราเดินทางมาถึงวัดเทนริวจิ (Tenryuji Temple) เป็นวัดสำคัญของเกียวโต ในปี ค.ศ. 1339 โชกุนอาชิคากะ (Ashikaga Takauji) สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับจักรพรรดิโกไดโงะ (Go-Daigo) ภายในมีสวนโซเก็นจิ (Sogen-chi) ออกแบบโดยนักจัดสวนชื่อดังมุโซ โซเซกิ (Muso Soseki) ที่นี่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโกเมื่อปี ค.ศ 1994 ด้วย

สวนโซเก็นจิ (Sogen-chi) ตั้งอยู่ภายในบริเวณวัดเทนริวจิ (Tenryuji Temple) อาราชิยาม่า จ.เกียวโต

สวนโซเก็นจิยังคงลักษณะเดิมไม่เปลี่ยนแปลงเหมือนในอดีต ฤดูใบไม้เปลี่ยนสีจะเป็นช่วงที่สวยที่สุดของวัดเทนริวจิ แม้วันที่เรามาจะผ่านฤดูกาลใบไม้เปลี่ยนสีไปแล้ว แต่ภายในวัดก็ยังคงความงดงามอยู่ โดยเฉพาะบริเวณสวนหินที่เป็นเอกลักษณ์ของวัดในนิกายเซน เมื่อมองภาพต่อเนื่องไปจะพบกับสระน้ำผืนใหญ่สีเขียวสดใส ถัดไปจะเป็นต้นไม้ในสวนที่ได้รับการดูแลตัดแต่งอย่างประณีต และตัวช่วยสำคัญอีกอย่าง คือท้องฟ้าสีเข้มกับก้อนเมฆสีขาวที่เข้ามาช่วยเติมเต็มให้ภาพโดยรวมดูสดใสสวยงามยิ่งขึ้น แต่หากไม่มีกล้องคุณภาพดีเข้ามาช่วยเก็บสีสันก็คงไม่ได้ภาพที่ดูนุ่มนวลเป็นธรรมชาติเช่นนี้

และเมื่อดวงอาทิตย์เริ่มส่องแสงมากขึ้นเรื่อยๆ การถ่ายภาพย้อนแสงก็ทำให้เกิดภาพในแนวที่เรียกว่าซิลลูเอท (Silhouette) ปกติมักจะให้ฉากหน้าเป็นภาพเงาดำ แต่เราชอบให้ภาพยังคงรายละเอียดไว้บ้าง ซึ่งจะทำได้แบบนี้ได้ก็จำเป็นต้องใช้กล้องที่มีคุณสมบัติในการถ่ายทอดสีสัน และรายละเอียดได้ดีมากๆ จึงขอยกความดีความชอบให้กับ Ricoh GR ตัวนี้เลย

Ricoh GR เป็นกล้องคอมแพค Hi-end ที่ใส่ใจในการออกแบบเพื่อนักถ่ายภาพ Ricoh จะใช้คำว่านักถ่ายภาพมากกว่าคำว่าช่างภาพ อาจเพราะคำว่าช่างภาพดูเป็นเรื่องของมืออาชีพที่ต้องมีความรู้ด้านการถ่ายภาพอยู่แล้วก็ได้ เพราะ Ricoh ตั้งใจออกแบบกล้อง GR ให้ทุกคนเข้าถึงได้ง่าย ไม่จำเป็นต้องเป็นช่างภาพมืออาชีพที่มีความรู้ ไม่ต้องเป็นคนที่ถ่ายรูปเก่งก็สามารถใช้กล้อง Ricoh GR ถ่ายได้สวยถูกใจ หรือได้ภาพตามที่จินตนาการได้ง่ายๆ จากแนวคิดนี้ทำให้นอกจากออกแบบตัวกล้องภายนอกให้ดูเรียบเท่แล้ว ยังเติมคุณสมบัติเก่งๆ ไว้ด้านในตัวกล้องมากมายภายใต้ขนาดเล็ก หน้าตามินิมอล ดูญี่ปุ่นๆ

อย่างการถ่ายรูปแบบไฟล์ RAW ก็เป็นหนึ่งในคุณสมบัติของกล้องระดับมืออาชีพ ยามที่เราอยากใช้งานก็มีให้เลือกใช้ เช่น รูปนี้เราลองบันทึกภาพเป็นไฟล์ RAW คู่กับไฟล์ Jpeg เผื่อว่าอาจจะนำไฟล์ RAW มาลองปรับแต่งแสงสีบ้าง เพราะเคยได้ยินว่าไฟล์ RAW มันดึงได้ (ตอนนี้ถึงเข้าใจว่าดึงได้ คืออะไร)

ไฟล์ RAW แปลตามตัวก็คือ ไฟล์ภาพดิบ หรือภาพที่บันทึกตามสภาพตามจริงไม่มีการประมวลผลและการปรับแต่งจากโปรแกรมใดๆ ดังนั้นกล้องและเลนส์จึงต้องมีประสิทธิภาพที่ดีในการบันทึกรายละเอียดต่างๆ ได้อย่างมีคุณภาพ เพราะเราจะได้ไฟล์ภาพดิบที่มีคุณสมบัติที่ดีในการนำมาปรับแต่งได้ง่าย หรือที่เรียกว่าเอามาดึงต่อได้ง่าย เพื่อผลลัพธ์ที่ดี เราจึงโชคดีที่ถ่ายภาพแบบไฟล์ RAW เผื่อไว้ด้วยความที่เป็นนักถ่ายภาพที่ชอบเดินเที่ยวเล่นแบบชิลล์ๆ และชอบถ่ายภาพไปตามอารมณ์ความรู้สึก และมักมีภาพในจินตนาการ การที่กล้องคอมแพคตัวเล็กๆ อย่าง Ricoh GR ตอบโจทย์เราได้ดี จึงเสมือนตัวช่วยที่มาเติมความฝันให้เป็นจริง

บ่อยครั้งเวลาดูรูปแล้วอมยิ้มเพราะมีความสุขเมื่อเห็นภาพสวยๆ จากทริปของเรา บางภาพที่เราคิดว่ามันคงออกมาไม่ดี แต่กลับได้ภาพสวยๆ มาราวกับปาฏิหาริย์ สำหรับเราแล้วกล้อง Ricoh GR ไม่เคยทำให้ผิดหวัง

สินค้าน่ารักที่ขายตามร้านรวงใน อาราชิยาม่า จ.เกียวโต

สำหรับ อาราชิยาม่า นอกจากการเดินชมทิวทัศน์ ที่นี่ยังเป็นแหล่งรวมร้านขายสินค้าเก๋ๆ ร้านอาหาร และร้านคาเฟ่ที่น่าสนใจมากมาย หลายๆ แห่งได้รับความนิยมจนต้องเข้าแถวรอคิวยาวมาก ซึ่งเราก็ได้ทำรายชื่อร้านที่น่าสนใจมาด้วย พอมาถึงก็พบว่าแต่ละร้านมีคิวแน่นจนแทบถอดใจ เพราะสำหรับวันแรกที่เพิ่งเดินทางถึงญี่ปุ่นแบบนี้ แล้วไม่ได้พักผ่อนบนเครื่องบินอย่างเพียงพอทำให้คิดในใจว่าไว้วันหลังเถอะ แต่ในขณะที่กำลังคิดว่ากลับเข้าเกียวโตดีกว่า สองเท้าก็ก้าวมาหยุดที่หน้าร้านคาเฟ่แห่งหนึ่ง…

Saganoyu Cafe Style Resort คาเฟ่ใน อาราชิยาม่า (Arashiyama) จ.เกียวโต

Saganoyu Cafe Style Resort เป็นคาเฟ่ที่ด้านหน้าร้านไม่มีต่อคิว ก็เลยตัดสินใจเดินเข้าไป ก็พบว่ามีคนรออยู่ แต่ว่าเราได้คิวที่ 2 ก็นับว่าโชคดีมาก เพราะเป็นร้านที่ได้รับความนิยมมากพอสมควร ซึ่งความน่าสนใจของที่นี่เริ่มตั้งแต่ตัวร้านซึ่งเดิมเคยเป็นโรงอาบน้ำสาธารณะมาก่อน ได้รับการปรับปรุงให้เป็นคาเฟ่ตั้งแต่เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2549 ชั้นแรกประกอบด้วยที่นั่งประเภทต่างๆ มีห้องครัวและร้านขายของกระจุกกระจิก บนชั้นสองมีที่นั่ง และบางส่วนใช้เป็นห้องจัดแสดงเครื่องถ้วยของช่างฝีมือ ตัวอาคารทั้งภายนอก และภายในใช้สีขาวดูสะอาดตา สะท้อนภาพในอดีตที่เป็นโรงอาบน้ำ

ชมวิวเมือง "อาราชิยาม่า" จาก Saganoyu Cafe Style Resort

ระหว่างรอเมนูที่สั่งมาเสิร์ฟเราก็สำรวจการตกแต่งของร้าน ที่นี่ให้บรรยากาศที่ผสมผสานความเก่าและใหม่ได้อย่างลงตัว ทั้งความโบราณจากโครงสร้างไม้ของอาคารเดิม การนำเครื่องเรือนอย่างโต๊ะ และเก้าอี้ไม้เก่าที่ทิ้งร่องรอยจากการใช้งาน และอุปกรณ์เครื่องใช้ที่สะท้อนความเป็นญี่ปุ่นในปัจจุบัน!

ตอนนี้เป็นเวลาราวบ่ายสามโมง เราเลือกเติมพลังด้วยเมนูสปาเก็ตตี้ที่เมื่อนำมาเสิร์ฟก็รู้สึกแปลกใจ ยิ่งพอได้ลิ้มลองก็ชวนเพิ่มความน่าสนใจในการสร้างสรรค์เมนูที่ดูเรียบง่ายทว่าอร่อยมาก ที่สำคัญคือ เราไม่คิดว่ารสชาติจะลงตัวได้ขนาดนี้ สร้างมิติการรับรสใหม่ให้แก่เรา การใช้หัวไชเท้าดองมาสไลด์เป็นแผ่น ให้สัมผัสนุ่มลื่นพร้อมรสหวานอมเปรี้ยวเล็กน้อยช่วยตัดรสมันเลี่ยนจากเส้นสปาเก็ตตี้ที่ผัดด้วยน้ำมันมะกอกกับกระเทียม ที่สำคัญเส้นสปาเก็ตตี้สุกกำลังดีรสชาติกลมกล่อมมากๆ เลยจานนี้

สิ่งที่ขาดไม่ได้เมื่อมาร้านคาเฟ่ คือ ขนมหวาน เราเลือกเมนูแนะนำของวันนี้ เพื่อประสบการณ์และจะได้ทำความรู้จักสไตล์ของร้าน…

เมนูแนะนำเป็นของหวานปิดท้ายมื้อว่างยามบ่ายนี้ คือ แพนเค้กสไตล์ญี่ปุ่นที่ดูน่าสนใจ หรูหราด้วยแผ่นทองคำเปลวท็อปที่ด้านบน ส่วนรสชาติล่ะ! เมนูนี้ผสมผสานความหวาน และความนุ่มจากส่วนผสมที่เป็นองค์ประกอบหลายอย่างในจานนี้เข้าด้วยกัน ในครั้งแรกที่เห็นที่เห็นคิดว่าทั้งเกาลัคเชื่อม และถั่วแดงเชื่อมคงให้รสชาติคล้ายๆ กัน เพราะน่าจะให้เนื้อสัมผัสนุ่มๆ หวานๆ เหมือนกัน แต่พอได้ชิมก็กลับสร้างความแตกต่างได้อย่างลงตัว รสสัมผัสของเกาลัคสีเหลือง และถัวดำเชื่อมที่ถูกเชื่อมมาอย่างดีมีความกลมกล่อมมาก และทั้งสองอย่างนี้ต่างก็มีรสชาติเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของตนเอง จึงสร้างรสสัมผัสที่แตกต่างอันช่วยเสริมรสชาติซึ่งกันและกันได้อย่างลงตัว เป็นของหวานที่มีรสชาติอร่อย และละเอียดอ่อนมากทีเดียว!

นอกจากนี้ตัวแป้งแพนเค้กที่เป็นองค์ประกอบหลักก็ทำมาได้ดีมาก เนื้อแพนเค้กมีความนุ่มเนียนและมีสัมผัสความกรอบบางๆ ที่ผิวด้านนอกด้วย (จากการเพิ่งทำสดใหม่) เมื่อกินคู่กับครีมสดนุ่มๆ รสหวานอ่อนๆ แถมได้ความหอมจากผงงาดำ และงาขาวที่โรยมาด้านบนก็ยิ่งเพิ่มความกลมกล่อมมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังมีขนมเคียงมาให้ด้วยเป็นดังโงะ (ลูกกลมสีขาวทำจากข้าวเหนียว) ให้สัมผัสนุ่มเหนียวมาพร้อมซอสที่ทำจากน้ำตาลทรายแดง ซึ่งจะราดที่แพนเค้กด้วยก็ได้ หรือจะแยกทานแบบไหนก็ได้ตามใจชอบ ทำให้เราสามารถลิ้มรสได้หลากหลายรูปแบบตามใจที่ต้องการ ถือว่าเป็นเมนูที่ปิดท้ายมื้อได้อย่างสวยงามทีเดียว

การได้มาเดินเที่ยวเล่นที่อาราชิยาม่า เพียงเพราะอยากหาสถานที่ใช้เวลาก่อนเช็คอินห้องพักในเกียวโต แต่สำหรับคนชอบชิลล์อย่างเราพอได้มาสัมผัสก็รู้สึกติดใจมาก ชวนให้คิดได้ว่า อาราชิยาม่าไม่ได้มีดีแค่ป่าไผ่… รู้สึกว่าได้ใช้เวลาของวันแรกไปอย่างคุ้มค่าจริงๆ ที่สำคัญทุกภาพได้จากกล้อง Ricoh GR ตัวเก่งของเราก็ชวนให้คิดถึงที่นี่มากขึ้น

ข้อมูลเพิ่มเติม: Saganoyu Cafe Style Resort www.sagano-yu.com

ออกเดินทางเที่ยว "อาราชิยาม่า (Arashiyama)" กับกล้อง Ricoh GR

LIKE & SHARE

ชอบเรื่องนี้จนต้องบอกต่อ