Paradise Ishigaki ใต้สุดเขตร้อนโอกินาว่า [EP.1]: เริ่มออกเดินทาง
Paradise “Ishigaki” :
รับลมทะเลเย็นฉ่ำสดชื่น ฟังเสียงวาฬพ่นน้ำ ยืดเหยียดแขนขาในน้ำใสกลางฝูงปลาหลากสี เขย่งปลายเท้าบนหาดทรายรูปดาว ดื่มด่ำช่วงเวลาของการนั่งเกวียนเทียมควายพร้อมฟังเสียงดีดซันชิน สัมผัสวัฒนธรรมริวกิวแท้ ที่
‘อิชิงะกิ’ เกาะทางตอนใต้สุดของโอะกินะวะ ประเทศญี่ปุ่น
เริ่มออกเดินทาง…⇒
หลายคนอาจเคยได้ไปนะฮะ (Naha) เมืองหลวงของโอะกินะวะกันแล้ว แต่การจะไปเกาะอิชิงะกิ เกาะที่มีพลเมืองมากเป็นอันดับสองของโอะกินะวะ รองจากเมืองหลวงนะฮะ และเป็นหนึ่งในหมู่เกาะยะเอะยะมะ (Yaeyama Islands) เพื่อไปนั่งเกวียนเทียมควายข้ามเกาะ สัญลักษณ์ทางการค้าของที่นี่ อาจเป็นเรื่องยากเย็นกว่านั้น สมัยก่อนยังสามารถเดินทางมายังเกาะแห่งนี้โดยทางเรือได้ แต่ปัจจุบันการเดินทางทางน้ำได้ถูกยกเลิกไปแล้ว เราจึงสามารถเดินทางมายังเกาะแห่งนี้ได้โดยทางอากาศอย่างเดียวเท่านั้น
โดยมีสายการบินให้เลือกหลายสาย ไม่ว่าจะเป็น Japan Airlines (JAL) All Nippon Airways (ANA) หรือ Solaseed Air (SNA) ซึ่งเป็นสายการบินภายในประเทศของ All Nippon Airways ที่คุณภาพไม่โลว์เลย และอันที่จริงไม่ว่าจะเป็นไฟลท์ของ All Nippon Airways หรือ Solaseed Air ต่างก็ใช้เครื่องบินลำใหม่เหมือนกัน โดยทั่วไปราคาตั๋วของแต่ละสายการบินจะไม่แตกต่างกันมากนัก อยู่ที่ประมาณ 7,000-8,000 เยน/เที่ยว จะว่าไปแล้วราคาก็พอๆกับสายการบิน Peach Airline ซึ่งมีเที่ยวบินตรงจากสนามบินสุวรรรภูมิมายังโอะกินะวะเลย
ยังมีเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจคือ ประเทศไต้หวันอยู่ใกล้กับโอะกินะวะมาก ทำให้ตั๋วเครื่องบินระหว่างไทเป-โอะกินะวะราคาถูกกว่าการบินภายในประเทศเสียอีก ดังนั้นจึงไม่แปลกใจที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ในอิชิงะกิเป็นชาวไต้หวัน บ้างก็จีนกวางตุ้ง ส่วนชาวตะวันตกนั้นก็มีให้เห็นประปราย อีกทั้งเกาะแห่งนี้ยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จักสำหรับคนไทยนัก ทำให้นอกเหนือจากบนเครื่องบิน Peach Airline ที่เราเดินทางจากไทยทั้งขาไปและขากลับแล้ว ตลอดเวลาที่เราอยู่อิชิงะกิ ก็ไม่เคยเจอคนไทยคนอื่นๆอีกเลย
สายการบิน Peach Airline จะลงจอดบริเวณ LCC Terminal (ย่อมาจาก Low Cost Carrier) ของท่าอากาศยานนะฮะ (Naha Airport) ซึ่งมีเพียง Peach Airline กับ Vanilla Air สองสายการบินโลว์คอสชื่อน่ารักน่ากินเท่านั้นที่ใช้เทอร์มินอลแห่งนี้ จากนั้นชัตเตอร์บัสจะพาไปส่งยังเทอร์มินอลเดินทางภายในประเทศ ซึ่งเราต้องเดินทะลุต่อไปยังบริเวณเทอร์มินอลเดินทางระหว่างประเทศเพื่อรับ Pocket WiFi จากนั้นจึงเริ่มเดินหาบัตร Okinawa IC Card กันต่อ
Okinawa IC Card คือบัตรที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการเดินทางภายในโอะกินะวะ แต่ใครที่มีบัตร Suica หรือ Pasmo อยู่แล้ว ก็ไม่ต้องซื้อบัตรก็ได้นะคะ เพราะใช้ได้เหมือนกัน จะต่างกันแค่ตรงที่ Okinawa IC Card ใช้ได้แค่บริการรสบัสกับโมโนเรลในโอะกินะวะเท่านั้น และใช้ซื้อของในมินิมาร์ทไม่ได้อีกด้วย ในขณะที่บัตร Suica หรือ Pasmo สามารถใช้ได้กับทุกบริการ แต่เจ้า 2 ใบที่ว่านี้ ไม่มีขายในโอะกินะวะน่ะสิ อีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจคือ เช่ารถขับเองบนเกาะ เท่านี้ก็ไม่ต้องพึ่งบัตรอะไรแล้วค่ะ
หลังจากเตรียมตัวพร้อมแล้ว คราวนี้เราจะบินแบบภายในประเทศไปยังเกาะอิชิงะกิกันค่ะ เมื่อเราเช็กอินที่เคาน์เตอร์ของสายการบิน ANA เพื่อโหลดกระเป๋า (ฟรี) เรียบร้อยแล้ว ก็มาเดินเล่นรอระหว่างขึ้นเครื่องและถือโอกาสกินข้าวเช้าเสียเลย ก่อนออกเดินทางต่อไปยังเป้าหมายของเราค่ะ
พนักงานต้อนรับแต่งตัวด้วยชุดโทนสีกรมท่า เรียบร้อยตามแบบฉบับของญี่ปุ่นมาก (เปลี่ยนฟีลไปเลยค่ะ เพราะยูนิฟอร์มของสาวๆ Peach Airline เป็นสีเดียวกับลูกพีชสมชื่อสายการบินเลย) เมื่อขึ้นเครื่องมา สิ่งแรกที่เราเห็นคือหนังสือสำหรับเด็กหลายเล่ม ให้ผู้โดยสารตัวน้อยได้เพลิดเพลินเวลาอยู่บนเครื่อง นับเป็นไอเดียที่น่ารักดีเหมือนกัน การนั่งริมหน้าต่าง ทำให้เห็นความงามของท้องทะเลและชายหาดของโอะกินะวะจากมุมบนได้อย่างเต็มที่ ทะเลเป็นสีฟ้าใสในบริเวณน้ำตื้นตัดกับทรายสีขาว ส่วนตรงน้ำลึกก็เป็นสีฟ้าเข้ม แค่เห็นก็รู้สึกผ่อนคลาย สวยสมกับที่โอะกินะวะได้รับการยกย่องให้เป็นแหล่งดำน้ำที่สวยเป็นอันดับ 3 ของโลกจริงๆ การเดินทางด้วยสายการบิน ANA เป็นอีกหนึ่งชั่วโมงแห่งการเดินทางที่น่าประทับใจมาก
ความประทับใจแรกเมื่อมาถึงเกาะอิชิงะกิก็คือสนามบินอิชิงะกิใหม่ (New Ishigaki Airport) ที่สวยงามและใหม่เอี่ยม การตกแต่งดูโมเดิร์นและสะอาดตาด้วยโทนสีขาว ไม้สีอ่อน ร้านสตาร์บัคส์ตกแต่งได้เข้ากับสถานที่ ดูสวยงาม ส่วนร้านขายของที่ระลึกในนี้ล้วนมีแต่ของดีไซน์เก๋ไก๋
จากสนามบินมีรถบัสคอยบริการรับส่งถึงที่พักอยู่ 2 แบบคือ รถสีฟ้าและรสสีส้ม ทั้งสองแบบมีราคาบริการใกล้เคียงกัน ซึ่งทริปนี้เราเลือกพักบริเวณท่าเรือและอยู่ที่ศูนย์กลางของเมือง จึงเลือกแบบสีฟ้า (Express Bus) เนื่องจากรถไม่ได้จอดทุกป้ายและวิ่งถึงใจกลางเมือง จึงช่วยประหยัดเวลาจากหนึ่งชั่วโมงเหลือเพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้นเอง
–
Tip: เที่ยวโอะกินะวะฤดูไหนดี
หากเดินทางช่วงเดือนพฤษภาคมถึงเดือนมิถุนายน (เราเดินทางช่วงนี้) อาจต้องทำใจ เพราะอากาศจะไม่ได้เย็นชื่นฉ่ำใจ ให้ความรู้สึกเหมือนเดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศ (อย่างที่คาดหวัง) แต่ก็ไม่ถึงกับร้อนจนเกินไป โดยอุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ 26-29 องศาเซลเซียส และเย็นเป็นพิเศษในตอนกลางคืนและเช้าตรู่ หากยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือด้านนอกที่กำลังแล่นฉิวรับลม ก็อาจหนาวหรืออาจปลิวไปตามลมได้เลยทีเดียว ในฤดูนี้ ในบางวันก็มีสายฝนเย็นฉ่ำโปรยลงมาให้ชื่นใจ แต่ก็ไม่ได้ตกยาวนานจนอดออกไปเดินเที่ยวเล่นชมเมือง ถึงอย่างนั้นเราอาจพบบางวันที่มีอากาศสดใสตลอดทั้งวันก็ได้เช่นกัน นอกจากนี้ราคาที่พัก รวมถึงตั๋วเครื่องบินก็ยังถูกลงอีกด้วย
แต่ถ้าใครชอบอากาศเย็นสบายอีกนิด ราวสัก 20 องศาเซลเซียสล่ะก็ ขอแนะนำให้มาเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์ ช่วงนี้ไม่ได้เย็นธรรมดานะ แต่เย็นมาก น้ำจะเย็นเยือกจนลงไปว่ายหรือดำน้ำไม่ได้เลย ไม่ต้องเสียใจไปนะคะ เพราะทิวทัศน์สวยๆก็ยังเป็นของคุณอยู่เช่นเดิม อีกทั้งราคาโรงแรมในช่วงนี้ยังลดลงกว่าครึ่งเลยละ โดยเฉพาะโรงแรมสุดหรูอย่าง ANA Inter Continental Ishigaki Resort ที่มีโซนอาบแดดในเรือนกระจกที่โรงแรมออกแบบมาสำหรับช่วงฤดูหนาวโดยเฉพาะ ให้คุณรู้สึกผ่อนคลาย ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ ตลอดเดือนมกราคมถึงเดือนมีนาคม คุณยังสามารถซื้อทัวร์ หนึ่งในโปรแกรมไฮไลต์ที่หลายคนตั้งตารอ คือ ล่องเรือออกไปชมวาฬหลังค่อมและโลมาที่บริเวณเกาะชิบิชิ (Chibishi Islands) หรือหมู่เกาะเคะระมะ (Kerama Islands) ยังไงล่ะ
ช่วงที่ควรหลีกเลี่ยงมาเยือนโอะกินะวะคือ Golden Week ของญี่ปุ่น เริ่มตั้งแต่ปลายเดือนเมษายนไปจนถึงต้นเดือนพฤษภาคม เพราะคุณจะได้พบกับคณะทัวร์ญี่ปุ่นที่เหมากันมาตากอากาศหลังทำงานหนักมาตลอดปี แถมราคาที่พักเองก็พุ่งขึ้นสูง และยังต้องรอต่อคิวใช้บริการเรือข้ามไปเกาะต่างๆอีก ดีไม่ดีก็อาจเต็มจนอดไปก็ได้
อีกหนึ่งฤดูท่องเที่ยวยอดนิยมของโอะกินะวะคือ ฤดูร้อน เริ่มตั้งแต่เดือนกรกฎาคมไปจนถึงเดือนสิงหาคม อากาศจะร้อนและชื้น น้ำทะเลใสแจ๋ว สามารถแหวกว่ายหรือดำลงไปชมปะการังได้อย่างไม่ต้องกลัวหนาว ส่วนเดือนที่ควรหลีกเลี่ยงก็คือเดือนกันยายน เพราะมีพายุไต้ฝุ่นเข้า คราวนี้ได้นั่งเหงาฟังเสียงฝนอยู่ในห้องอย่างเดียวแน่นอน
(อ่านต่อ EP.2: เดินเล่นรอบเมือง > คลิก)