Reiko พิธีกรสาวสวย มั่น อารมณ์ดี
สารบัญ
- Q. ชื่อ ‘เรโกะ’ มีที่มาอย่างไร
- Q. อะไรคือแรงบันดาลใจให้เลือกทำงานเกี่ยวกับญี่ปุ่น
- Q. ตอนนี้รับงานด้านใดอะไรบ้าง
- Q. ช่วยเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับงานบรรณาธิการให้ฟังหน่อยได้ไหม
- Q. เนื้อหานิตยสารในส่วนภาษาไทย เป็นคนคิด content เองทั้งหมดเลยหรือเปล่า
- Q. Cawaii! กับ SCawaii! ต่างกันอย่างไรบ้าง
- Q. ช่วยอัพเดทเทรนในช่วงนี้หน่อยได้ไหม
- Q. นอกจากงานนิตยสารแล้ว ยังรับงานด้านไหนอีกบ้าง
- Q. รายการ Kimochiii in Japan จะมีโอกาสได้ออกอากาศทางช่องรายการโทรทัศน์ไหม
- Q. คิดอย่างไรกับผลตอบรับเทป ‘สาวญี่ปุ่นนมสวยที่สุด’ บ้าง
- Q. คิดอย่างไรหากมีการประกวดลักษณะนี้ในประเทศไทย
- Q. มีวิธีการนัดสัมภาษณ์คนญี่ปุ่นอย่างไร
- Q. ภาพลักษณ์ตอนเป็น บ.ก.ดูสวยหวานและนำเทรนด์แฟชั่น แต่ในรายการ Kimochiii in Japan ดูทะมัดทะแมง คิดว่าตัวเองเป็นแบบไหน
- Q. มีโอกาสได้มาร่วมงานกับ DJ.พล่ากุ้งและ DJ.แดนนี่อย่างไร
- Q. มีเกณฑ์การเลือกธีมหรือสถานที่ถ่ายทำรายการ Kimochiii in Japan อย่างไร
- Q. ทำไมถึงเลือกคำว่า ‘Kimochii’ เป็นชื่อรายการ
- Q. ตอนนี้มีบล็อกเป็นของตัวเองด้วย คิดว่าตัวเองเป็นบล็อกเกอร์แบบไหน
- Q. ศึกษาหาความรู้จากช่องทางไหนบ้าง
- Q. มีแฟนคลับชาวต่างชาติติดตามบ้างไหม
- Q. งานอะไรที่ทำแล้วรู้สึกสนุกมาก
- Q. ในบรรดางานที่ทำมาทั้งหมด คิดว่างานไหนเหนื่อยที่สุด
- Q. ในฐานะที่ทำงานวงการญี่ปุ่น มีอะไรที่คิดว่าตัวเองคล้ายกับคนญี่ปุ่นบ้าง
- Q. ไปเที่ยวญี่ปุ่นครั้งล่าสุดเมื่อไร
- Q. ซื้ออะไรกลับมาบ้าง
- Q. ได้ยินมาว่าเคยไปแลกเปลี่ยนที่ญี่ปุ่น
- Q. ตอนนั้นยังไม่ได้เรียนภาษาญี่ปุ่นเลยใช่ไหม
- Q. มีการเตรียมตัวอย่างไรก่อนไปญี่ปุ่นอย่างไร
- Q. มีโอกาได้ไปใช้ชีวิตในญี่ปุ่นอย่างไรบ้าง
- Q. มีโอกาสไปญี่ปุ่นอีกไหมหลังกลับมาจากโครงการ AFS แล้ว
- Q. ช่วยเล่าประสบการณ์สมัยมหาวิทยาลัยให้ฟังหน่อยได้ไหม
- Q. อยากแนะนำคนที่มองเราเป็นไอดอลให้เขามีแรงบันดาลใจอย่างไรบ้าง
- Q. ชอบเมืองไหนในญี่ปุ่นมากที่สุด
- Q. สถานที่ท่องเที่ยวที่อยากแนะนำมากที่สุดคือที่ไหน
หากพูดถึงพิธีกรหญิงที่กำลังเป็นที่จับตามองอันดับต้นของเมืองไทยในเวลานี้ นิตยสาร KIJI มั่นใจว่าหนึ่งในนั้นต้องมีรายชื่อของ ‘เรโกะ’ หรือคุณเหมียว พิธีกรสาวอารมณ์ดีที่พาเราไปรู้จักประเทศญี่ปุ่นในแง่มุมต่างๆ ได้อย่างรู้ลึก รู้จริง ซึ่งไม่ได้มีเพียงแค่บทบาทพิธีกรเท่านั้นที่เธอสามารถนำเสนอผ่านสื่อออกมาได้สมกับความเป็นมืออาชีพ แต่ยังพ่วงตำแหน่งบรรณาธิการสาวสวยมาดมั่น ผู้นำเทรนด์แฟชั่นญี่ปุ่น ซึ่งทำให้แฟนคลับหลายคนจำเธอได้ในฐานะ ‘บ.ก.เรโกะ’ อีกด้วย
ด้วยสไตล์สวยมั่นและทะมัดทะแมงเช่นนี้ ทำให้ KIJI มิอาจห้ามใจ ยกให้เธอเป็นหนึ่งในบุคคลที่อยากถ่ายทอดแง่มุมการใช้ชีวิตและการทำงานในด้านต่างๆ มาให้ทุกคนได้สัมผัส หากคุณยังไม่เคยรู้จักเรโกะมาก่อน ลองมาร่วมฟังประสบการณ์ของเธอไปพร้อมๆกันนะคะ
Q. ชื่อ ‘เรโกะ’ มีที่มาอย่างไร
อาจารย์สมัยมหาวิทยาลัยเป็นคนตั้งให้ค่ะ ท่านตั้งให้ตามชื่อจริงของเรา คือ ‘วรจรรย์’ หมายถึง หญิงผู้มีจรรยาเรียบร้อย แล้วตัวคันจิก็ตรงกับคำว่า ‘เรโกะ’ เราเลยใช้ชื่อนี้ในการทำงานค่ะ พอทำงานในเมืองไทยก็จะใช้ ‘เรโกะ’ เพราะฟังดูแปลกและยังสื่อถึงความเป็นญี่ปุ่น คนก็จะรู้ว่าเราทำงานเกี่ยวกับความเป็นญี่ปุ่น แต่พอทำงานกับคนญี่ปุ่นก็จะใช้ชื่อว่า ‘เหมียว’ เพื่อสื่อถึงความเป็นคนไทยค่ะ
Q. อะไรคือแรงบันดาลใจให้เลือกทำงานเกี่ยวกับญี่ปุ่น
ความจริงรู้ตัวตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยแล้วละค่ะ สมัยนั้นเราเรียนไปด้วยทำงานพิเศษไปด้วย ซึ่งต่างกับสมัยนี้ เพราะสมัยก่อนนักศึกษาทำงานพิเศษกันน้อยนะ ตอนนั้นมีโอกาสได้ถ่ายแบบบ้าง ถ่ายโฆษณาบ้าง และยังมีงานแปลคอลัมน์ในนิตยสาร J-SPY งานเขียนคอลัมน์ญี่ปุ่นลงนิตยสาร The BOY ทำให้รู้สึกว่าเหมือนได้ฝึกงานด้านนี้มาตั้งแต่สมัยมหาวิทยาลัย แล้วบัญเอิญช่วงที่กำลังใกล้เรียนจบ บรรณาธิการนิตยสาร Cawaii! ซึ่งเขาเป็นเพื่อนกับอาจารย์ที่สอนเรากำลังหาผู้ช่วยบรรณาธิการ พออาจารย์รู้ว่าเราสนใจและเคยทำงานด้านนี้มา เลยช่วยแนะนำให้ค่ะ
Q. ตอนนี้รับงานด้านใดอะไรบ้าง
ทำหลายอย่างมากค่ะ แต่สถานะก็มีเปลี่ยนไปบ้างเพราะนิตยสารปิดตัวลงแล้ว ถึงอย่างนั้นก็ยังสังกัดออฟฟิศเดิมอยู่ เพียงแค่ย้ายแผนกไปทำงานด้านอื่น ซึ่งแล้วแต่เขาจะมอบหมายงานให้เราทำค่ะ ส่วนใหญ่เป็นงานด้าน Digital นอกจากนี้เรายังรับงานฟรีแลนซ์ด้านอื่นด้วย ก็ต้องขอบคุณบริษัทนะคะที่เปิดโอกาสให้ทำงานตรงนี้
Q. ช่วยเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับงานบรรณาธิการให้ฟังหน่อยได้ไหม
งานบรรณาธิการที่เคยรับผิดชอบก็มี SCawaii!, Ray และ ViVi ค่ะ เป็นนิตยสารที่บริษัทซื้อลิขสิทธิ์มาจากญี่ปุ่น ซึ่ง SCawaii! กับ Ray เนี่ยจะเป็นของชุฟุโนะโทะโมะ (Shufunotomo Co., Ltd.) ส่วน ViVi เป็นของโคะดันชะ (Kodansha Ltd.) เราเอาเนื้อหามาทำเป็นเวอร์ชั่นภาษาไทย ซึ่งมีเงื่อนไขว่านิตยสารนั้นจะต้องมีเนื้อหาส่วนของญี่ปุ่น 70% และส่วนของไทย 30% ไม่ได้อิงตามต้นฉบับทั้งหมด ซึ่งเป็นแบบนี้ทุกประเทศที่เขาซื้อลิขสิทธิ์ไปทำนะคะ อย่าง Ray ก็มีที่ประเทศไทย ประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ ไต้หวัน ส่วน SCawaii! ก็เคยมีที่มาเลเซียด้วยค่ะ
Q. เนื้อหานิตยสารในส่วนภาษาไทย เป็นคนคิด content เองทั้งหมดเลยหรือเปล่า
ส่วนที่เป็นของไทย 30% ปกติจะมีคอลัมนิสคอยดูแลอยู่ค่ะ อันที่จริงไม่ว่าจะเป็นเวอร์ชั่นไทยหรือญี่ปุ่น มันจะแบ่งหมวดเป็นแฟชั่น บิวตี้ ไลฟ์สไตล์ ซึ่งจะมีคอลัมนิสต์ที่ถนัดด้านนั้นๆ คอยทำคอลัมน์มาลง ส่วนเราเป็น บ.ก. คอยดูภาพรวมหรือบางครั้งก็อาจจะลงไปทำเองด้วย แต่ในส่วนหน้าที่เป็นญี่ปุ่นนั้นจะส่งแปล ซึ่งทั้งหมดก่อนจะตีพิมพ์เป็นเล่มเราต้องตรวจทานเนื้อหา และคอยประสานงานกับฝ่ายอื่นๆค่ะ
Q. Cawaii! กับ SCawaii! ต่างกันอย่างไรบ้าง
Cawaii! กับ SCawaii! เป็นของ Shufunutomo Co, Ltd. เหมือนกัน ซึ่งกลุ่มเป้าหมายของ Cawaii! คือเด็กวัยมัธยมถึงอายุไม่เกิน 20 ปี แต่ SCawaii! เนี่ยอายุผู้อ่านจะโตจากนั้นขึ้นมาหน่อย สเต็ปมันจะเป็นแบบนี้ค่ะ พออ่าน Cawaii! จบปุ๊บก็มาอ่าน SCawaii! ต่อได้เลย
ที่ญี่ปุ่นเขาจะทำนิตยสารตามช่วงวัยค่ะ แต่ระยะหลังเศรษฐกิจเริ่มซบเซา เขาก็เลยเลือกที่จะปิดเล่ม Cawaii! แล้วทำเล่ม SCawaii! อย่างเดียว แต่ตอนนั้นเวอร์ชั่นภาษาไทยเราทำเล่ม Cawaii! พอปิดตัวแล้วเขาก็เลยให้เล่ม SCawaii! มาทำต่อ จากนั้นมานิตยสารเราเลยเปลี่ยนมาเป็น SCawaii! ค่ะ
แต่ถึงยังไงมุมมองของคนไทย ณ ตอนนั้น ก็ยังมองว่าเป็นเล่ม Cawaii! อยู่ดี ซึ่งทางผู้บริหารของไทยเองก็อยากให้รักษาภาพตรงนี้ไว้ อยากให้เก็บความรู้สึกต่อเนื่องจากนิตยสารที่เคยอ่าน อีกเหตุผลหนึ่งคือเราจะขายโฆษณาได้ง่ายกว่าด้วยค่ะ อีกทั้งเรายังทำเล่ม Ray ซึ่งกลุ่มเป้าหมายคือวัยสาวโตอยู่แล้ว พอมี SCawaii! เข้ามากลายเป็นว่ามีกลุ่มเป้าหมายเดียวกัน การขายโฆษณาก็อาจจะทำได้ยากขึ้นด้วยค่ะ
Q. ช่วยอัพเดทเทรนในช่วงนี้หน่อยได้ไหม
อืม…คิดว่าแฟชั่นไทยกับญี่ปุ่นตอนนี้แทบไม่ค่อยต่างกันเท่าไรนะคะ เมื่อเทียบกับสมัยที่ยังทำ Cawaii! มันจะต่างกันอย่างเห็นได้ชัดเลยเพราะนั่นเป็นหนังสือแกล แต่พอมาเป็น Ray หรือ SCawaii! เนี่ย แฟชั่นไม่ได้จัดขนาดนั้นแล้ว เลยคิดว่าคนไทยกับคนญี่ปุ่นตอนนี้แต่งตัวใกล้เคียงกันมาก อาจเพราะมีโซเชียลเน็ตเวิร์กด้วยมั้งคะ แบรนด์หรือเทรนด์ญี่ปุ่นที่นางแบบนายแบบญี่ปุ่นเขาใส่ในวันนี้หรือเป็นคอลเล็คชั่นใหม่ๆ เราก็เห็นได้แบบเรียลไทม์ ทุกอย่างดูเร็วขึ้น ไม่เหมือนสมัยก่อนที่ต้องรอหนังสือวางแผง
Q. นอกจากงานนิตยสารแล้ว ยังรับงานด้านไหนอีกบ้าง
ถ้าเป็นงานที่เกี่ยวข้องกับภาษาญี่ปุ่นก็เคยเป็นนักแปล คอลัมนิสต์ และล่ามฟรีแลนซ์ค่ะ หนังสือที่แปลมีทั้งพ็อกเก็ตบุ๊คและไลท์โนเวล เคยแปลหนังสือพ็อกเก็ตบุ๊กมา 2 เล่ม เป็นคอลัมนิสต์ให้กับ DACO และโพสต์ ทูเดย์ แต่ตอนนี้ไม่ได้ทำให้โพสต์ ทูเดย์แล้ว และรับงานล่ามฟรีแลนซ์บ้างค่ะ ตอนนี้มีบล็อกของตัวเองด้วย เอาไว้เล่าประสบการณ์การท่องเที่ยว ซึ่งบล็อกนี้เพิ่งมาทำจริงจังช่วงหลังๆ ที่งานนิตยสารเริ่มซาลงค่ะ
ส่วนรายการโทรทัศน์หรือสื่อโซเชียลมีเดียที่ทำอยู่ตอนนี้คือ Kimochiii in Japan เป็นรายการท่องเที่ยวญี่ปุ่น มีเราเป็นพิธีกรกับ DJ.พล่ากุ้ง และ DJ.แดนนี่ แต่ก่อนหน้านี้ก็มีรายการอื่นด้วย อย่าง Beauty Versus สวยสั่งได้ เป็นรายการที่ทำร่วมกันระหว่างช่อง 7 กับ Fuji TV (ค.ศ. 2015-2016) รายการ Wezaa Cool Japan เก่งยกครัวทัวร์ยกบ้าน เป็นพิธีกรคู่กับปั้นจั่น ทางช่อง 3SD ออกอากาศเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งเป็นรายการ Quiz Show สำหรับครอบครัวโดยให้เด็กวัยประถมรวมตัวกับครอบครัว 3 คน มาแข่งกันเป็นทีม ทีมไหนชนะก็จะได้ไปญี่ปุ่นทั้งครอบครัวเลย ประมาณนี้ แล้วก็มีรายการ Many Many Japan (ค.ศ. 2015) ทางช่อง Nation TV เป็นรายการท่องเที่ยวญี่ปุ่นแบบผู้หญิงๆ ตอนนั้นเป็นพิธีกรคู่กับนางแบบสาวญี่ปุ่นคนหนึ่ง พากันแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดโอะคะยะมะ (Okayama) ค่ะ รายการทั้งหมดที่ว่ามานี้มีเพียง Kimochiii in Japan ที่ไม่ได้ออกอากาศทางช่องรายการโทรทัศน์ ติดตามได้ทาง Youtube อย่างเดียวค่ะ แต่รายการนี้ทำให้คนดูรู้จักเรามากขึ้น
Q. รายการ Kimochiii in Japan จะมีโอกาสได้ออกอากาศทางช่องรายการโทรทัศน์ไหม
ก็ขึ้นอยู่กับทาง ihereTV ว่าเขาจะนำไปเสนอช่องรายการไหนหรือเปล่าค่ะ แต่ถ้าได้มีโอกาสลงช่องจริงๆ อาจต้องคัดเลือกลงบางตอน เพราะบางตอนลงได้ บางตอนลงไม่ได้ สื่อโทรทัศน์ของไทยค่อนข้างมีเงื่อนไขมากอยู่ อย่างเทป ‘สาวญี่ปุ่นนมสวยที่สุด’ นี่ก็ไม่น่าจะออกอากาศได้ค่ะ แม้ว่าเทปนี้จะมียอดวิวทะลุ 2 ล้านใน 2 วัน แต่พอเป็น Youtube ปุ๊บ มันค่อนข้างฟรี ในอีกมุมหนึ่ง ถ้าออกอากาศทางโทรทัศน์ตั้งแต่แรก รายการอาจจะไม่สดเท่าขนาดนี้ก็ได้
Q. คิดอย่างไรกับผลตอบรับเทป ‘สาวญี่ปุ่นนมสวยที่สุด’ บ้าง
คิดยังไงเหรอคะ ส่วนใหญ่ก็คงเป็นผู้ชายดูแหละ ดีไม่ดีดูซ้ำหลายรอบอีก (หัวเราะ) คือเข้าใจว่าผู้ชายไทยชอบอะไรแบบนี้อยู่แล้ว ชอบความหวือหวา แล้วพอเป็นสาวญี่ปุ่นปุ๊บ เขาก็อาจจะมองเป็นแนวนั้นไป โชว์นิดโชว์หน่อย เขาก็ให้ความสนใจแล้ว ก็เข้าใจได้นะคะ เพราะนี่ก็เป็นหนึ่งในเรื่องราวเกี่ยวกับญี่ปุ่นที่เรานำเสนอ ซึ่งจริงๆแล้วรายการเรานำเสนออะไรที่มันเป็นวาไรตี้มาก เทปนี้คือหนึ่งในนั้น ซึ่งคนสนใจมากที่สุดเท่านั้นเองค่ะ
Q. คิดอย่างไรหากมีการประกวดลักษณะนี้ในประเทศไทย
คงไม่เหมาะหรอกค่ะ มีดราม่าแน่นอน แต่เราไม่ได้บอกว่าอะไรมันดีหรือไม่ดีนะคะ เพราะเราไม่สามารถไปตัดสินตรงนั้นได้ ในโลกนี้มันมีความหลายหลายมากกว่าที่จะบอกว่าอันไหนดีหรือไม่ดี แต่สิ่งที่เราจะมองคือมันเหมาะสมหรือเปล่า มันอาจจะเหมาะสมสำหรับที่นั่น แต่อาจไม่เหมาะสมสำหรับที่นี่ค่ะ
Q. มีวิธีการนัดสัมภาษณ์คนญี่ปุ่นอย่างไร
เรามีทีมผู้ประสานงานที่เก่งมากอยู่ที่ญี่ปุ่นค่ะ ชื่อ บุญจัง เป็นนักแสดงชาวไทยที่ทำงานอยู่ที่ญี่ปุ่น เขาเป็นคนติดต่อให้ อันที่จริงมันไม่ได้ยากมากมายขนาดนั้น เพราะว่าส่วนใหญ่แขกรับเชิญจะมีต้นสังกัดค่ะ พอมีต้นสังกัด เขาก็อยากจะโปรโมตตัวเองอยู่แล้ว หากติดต่อไปที่ต้นสังกัดได้ปุ๊บ ก็นัดวันเวลาสัมภาษณ์ได้หมดเลยค่ะ แต่ถ้าเป็นบางเคสที่ไม่ใช่คนออกสื่อบ่อยๆ ก็ต้องใช้เวลาในการติดต่อนานหน่อย ต้องขอบคุณพี่บุญจังผู้ประสานงานคนเก่งของเราค่ะ
Q. ภาพลักษณ์ตอนเป็น บ.ก.ดูสวยหวานและนำเทรนด์แฟชั่น แต่ในรายการ Kimochiii in Japan ดูทะมัดทะแมง คิดว่าตัวเองเป็นแบบไหน
เรียกว่าปรับตัวตามสิ่งที่ทำดีกว่าค่ะ เพราะเราเป็นคนที่มีหลายคาแรคเตอร์ได้ แต่ในรายการ Kimochiii in Japan มันคือความเป็นตัวเราโดยไม่ต้องปรับอะไรมากเท่านั้นเอง
Q. มีโอกาสได้มาร่วมงานกับ DJ.พล่ากุ้งและ DJ.แดนนี่อย่างไร
จริงๆ รู้จักกันมาบ้างแล้ว พอได้มาทำงานร่วมกันก็เลยสนิทกันมากขึ้นค่ะ
Q. มีเกณฑ์การเลือกธีมหรือสถานที่ถ่ายทำรายการ Kimochiii in Japan อย่างไร
บางส่วนจะดูจากคอมเมนต์ผู้ชมด้วยค่ะ แล้วก็จะศึกษาว่าตอนนี้มีอะไรใหม่ๆ ออกมาบ้าง ซึ่งเราต้องนำเรื่องไปเสนอสปอนเซอร์ด้วย เพราะสปอนเซอร์คอยดูแลเรื่องค่าเดินทางให้ค่ะ
Q. ทำไมถึงเลือกคำว่า ‘Kimochii’ เป็นชื่อรายการ
เพราะเป็นคำที่หลายคนรู้จักค่ะ คำนี้หมายถึง “อ้า รู้สึกดีจังเลย~” ประมาณนี้ แล้วคิดว่าถ้าเป็นคำอื่นอย่าง Kawaii หรือ Oishii ก็คงดูไม่ค่อยเข้ากับรายการเท่าไหร่
Q. ตอนนี้มีบล็อกเป็นของตัวเองด้วย คิดว่าตัวเองเป็นบล็อกเกอร์แบบไหน
คิดว่าตัวเองคือบล็อกเกอร์ไลฟ์สไตล์หรือท่องเที่ยวมากกว่าค่ะ จะไม่ใช่แนวบิวตี้ ตอนนี้บิวตี้บล็อกเกอร์ในเมืองไทยมีเยอะมาก ซึ่งแต่ละคนก็มีแนวแตกต่างกันไป สาวไทยสมัยนี้แต่งหน้ากันเก่งมากๆ แต่สำหรับเรา ตอนนี้คลั่งไคล้เรื่องการท่องเที่ยวและอัพเดตไลฟ์สไตล์มากกว่า ก็เลยขอทุ่มเทกันตรงนี้ก่อนค่ะ ในอนาคตอาจจะมีอัพเดตเรื่องสวยๆ งามๆ แฟชั่นแต่งหน้าตามสไตล์เราบ้าง แต่คงไม่เน้นเป็นหลักค่ะ
Q. ศึกษาหาความรู้จากช่องทางไหนบ้าง
ช่วงนี้จะติดตามข่าวสารผ่านโซเชียลมีเดียค่ะ เพราะกำลังใส่ใจกับการทำคลิปและบล็อกอยู่ พยายามจะนำที่ถ่ายเก็บไว้มาลงบล็อก ทำให้ตอนนี้มีคนรู้จักเรามากขึ้นเรื่อยๆค่ะ ที่เล่นอยู่ก็มี Facebook Youtube Instagram และ Twitter ซึ่งโซเชียล 4 กลุ่มนี้มีกลุ่มเป้าหมายคนละกลุ่มกันนะคะ เพราะบางคนก็เล่นไม่ครบ
การที่เราเล่นทุกช่องทางเหมือนได้ขยายกลุ่มให้กว้างขึ้น เดี๋ยวนี้คนทำเพจบางคนเน้นไปที่ Facebook อย่างเดียว ไม่ได้ทำเว็บไซต์ มันก็ดีค่ะ เพราะเขาจะได้มุ่งเป้าหมายไปที่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งไปเลย แต่เรากลัวว่าถ้าวันหนึ่งเกิดอะไรกับโซเชียลช่องทางนั้นๆ ขึ้นมา ทุกอย่างที่ทำไปจะสูญเปล่า เลยคิดว่าทำไว้หลายช่องทางดีกว่า ส่วนเนื้อหาที่ลงนั้นก็ใกล้เคียงกันค่ะ บางเรื่องลงทุกช่องทาง บางเรื่องลงบางช่อง ดูให้เขากับกลุ่มคน อย่างเช่นใน Instagram ก็จะมีรูปส่วนตัวด้วยอย่างรูปออกกำลังกาย เราก็จะไม่เอาลง Facebook เพราะมันดูไม่เข้ากันค่ะ
Q. มีแฟนคลับชาวต่างชาติติดตามบ้างไหม
ก็มีบ้างค่ะ แต่เขาจะไม่ค่อยคอมเมนต์เท่าไหร่ อาจเป็นเพราะเราใช้ภาษาไทยเป็นหลักด้วยแหละ แต่ทุกวันนี้รูปที่อัพลง Facebook หรือ Instagram จะอัพเป็น 2 ภาษานะคะ ไทย-ญี่ปุ่น ก่อนหน้านี้เคยลงภาษาอังกฤษด้วย แต่คิดว่าคงไม่มีฝรั่งตามเท่าไร เลยเอาออกค่ะ
Q. งานอะไรที่ทำแล้วรู้สึกสนุกมาก
ทำแล้วสนุกมากๆ เหรอคะ คงเป็น Kimochiii in Japan นี่แหละค่ะ เพราะได้ใช้ทักษะภาษาญี่ปุ่นและยังได้แสดงความเป็นตัวของตัวเองผ่านสื่อด้วย มันเป็นงานที่ดึงความเป็นตัวเราออกมาได้มากที่สุด เรายังได้เพื่อนๆ จากรายการที่ทำด้วยกัน มีแฟนรายการมากขึ้น ทำให้คนดูรู้ว่าเราเป็นคนมีคาแรคเตอร์แบบไหน ได้เห็นคนชื่นชมในผลงานเรา ตรงนี้เป็นสิ่งที่คิดว่าสุดยอดแล้วค่ะ
Q. ในบรรดางานที่ทำมาทั้งหมด คิดว่างานไหนเหนื่อยที่สุด
ถ้าพูดถึงความเหนื่อยและลำบาก ก็มีหลายครั้งนะคะ ส่วนตัวแล้วเป็นคนที่คิดว่าอะไรไม่โอเค ก็เลือกที่จะไม่จำสิ่งนั้น ค่อนข้างเป็นคนลืมง่ายเหมือนกันค่ะ ถ้าปรี๊ดก็จะขึ้นตอนนั้นแล้วหายเลย คิดว่าตัวเองค่อนข้างเป็นคนมีเหตุผลค่ะ ถ้าได้ฟังเหตุผลที่มันสมเหตุสมผล อารมณ์ก็จะเย็นลงได้อย่างรวดเร็ว แต่จะไม่ชอบคนแก้ตัว พูดเลี่ยง ไม่ยอมรับความผิดนะคะ ปัญหาส่วนใหญ่ที่พบไม่ได้อยู่ที่งานค่ะแต่อยู่ที่คน ขึ้นอยู่กับว่าตอนนั้นเราเจอคนแบบไหน คือถ้ามัน “เยอะ” เกินไป ตรงนั้นแหละจะทำให้เราลำบากใจค่ะ
Q. ในฐานะที่ทำงานวงการญี่ปุ่น มีอะไรที่คิดว่าตัวเองคล้ายกับคนญี่ปุ่นบ้าง
เราอาจจะติดเขามาด้วยแหละ โดยเฉพาะเรื่องการให้เกียรติและการไม่เบียดเบียนผู้อื่น รู้จักสิทธิของแต่ละคน เราไม่ละเมิดเขา เขาไม่ละเมิดเรา แบบนี้ค่ะ บางครั้งตอนอยู่เมืองไทยก็รู้สึกขัดใจเหมือนกันนะคะเวลาเจออะไรที่มันตรงข้ามกับที่เราคิดและปฏิบัติ แต่เราก็ต้องปรับตัวไปตามสถานที่ บางครั้งเวลาเจออะไรที่รู้สึกไม่โอเค ก็พยายามปล่อยวาง ไม่งั้นอาจจะอยู่ลำบากค่ะ
Q. ไปเที่ยวญี่ปุ่นครั้งล่าสุดเมื่อไร
ล่าสุดไป Universal Studios Japan เมื่อปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมาค่ะ ตอนนั้นไปโปรโมต Minions Park ซึ่งเป็นโซนเปิดใหม่ โดยทางสื่อเขาจะเชิญบล็อกเกอร์จากประเทศต่างๆไปค่ะ
Q. ซื้ออะไรกลับมาบ้าง
ปกติจะซื้อของบริโภคประจำวันค่ะ หลักๆ เลยก็มี Meiji Amino Collagen เพราะชงดื่มทุกวัน ดื่มมาหลายปีแล้วค่ะ ไม่เคยเปลี่ยนใจไปยี่ห้ออื่นเลย เพราะเคยเปลี่ยนแล้วแพ้ อีกอย่างที่ชอบซื้อคือชาเขียวผงของอิโตะเอ็น (Itoen) ค่ะ ห่อละ 500 เยน อ่อ…มีชานมผงด้วย แล้วก็มีขนมที่ซื้อมาฝากญาติหรือเพื่อนๆที่ทำงาน
พวกสกินแคร์จะไม่ค่อยได้ซื้อเพราะเป็นคนแพ้ง่าย ส่วนใหญ่เลยใช้ของคลีนิกที่ดูแลผิวหน้ากับคุณหมอโดยตรงค่ะ ส่วนเมคอัพต่างๆ ถ้าชอบก็จะซื้อค่ะ เราไม่ได้คลั่งไคล้ขนาดที่ว่าอะไรออกใหม่จะต้องซื้อ ไม่ใช่คนสไตล์นั้นเลย ที่ผ่านมาอาจด้วยหน้าที่การงานของบ.ก.นิตยสารเลยต้องคอยอัพเดทเรื่องเหล่านี้อยู่เสมอ ต้องรู้เทรนด์ใหม่ๆ อัพเดตสินค้าออกใหมทุกซีซั่นจากแบรนด์ดัง แต่งานด้านนั้นก็เริ่มซาลงแล้ว ตอนนี้ก็เลยเลือกติดตามเฉพาะสิ่งที่ตัวเองสนใจจริงๆ ค่ะ
Q. ได้ยินมาว่าเคยไปแลกเปลี่ยนที่ญี่ปุ่น
เคยไปสมัยเรียน ม. 5 ค่ะ เป็นของโครงการ AFS ซึ่งมีมานานแล้ว เราเห็นคนที่เคยไปแล้วประสบความสำเสร็จกลับมามีเยอะ เลยอยากไปบ้าง ประกอบกับที่โรงเรียนมีโปรโมตโครงการนี้พอดี เลยลองไปสอบดู รู้สึกโชคดีมากเลยที่มีโอกาสได้ไปแลกเปลี่ยนค่ะ
Q. ตอนนั้นยังไม่ได้เรียนภาษาญี่ปุ่นเลยใช่ไหม
เราไม่ใช่เด็กสายศิลป์ญี่ปุ่นเลยค่ะ ตอนนั้นเรียนสายศิลป์ฝรั่งเศส ซึ่งไม่ได้ชอบเลย คือเรียนเลขไม่ได้ก็เลยเบนเข็มมาทางศิลป์ภาษา แล้วศิลป์ภาษาที่มีให้เลือกกลับไม่มีภาษาญี่ปุ่น ถ้ามีก็คงเรียนไปแล้ว ก็เลยเรียนศิลป์ฝรั่งเศสแทน ทั้งๆ ที่ภาษาฝรั่งเศสไม่ใช่ตัวเราเลย ก็แอบคิดนะคะ นี่ภาษาอะไร ทำไมต้องแยกเพศกันด้วยล่ะ ฟังไม่รู้เรื่องด้วย ขนาดตัวหนังสือเบื้องต้นยังไม่เข้าหัวเลย จะสอบทุกครั้งต้องร้องไห้ แถมยังสอบตกด้วย คิดว่าคงหมดอนาคตแน่ๆหากเรียนสายนี้ต่อไป แต่เราก็ไม่ได้เรียนแย่ขนาดนั้นนะคะ วิชาอื่นยังโอเคอยู่ค่ะ อย่างวิชาสังคม ภาษาอังกฤษ ภาษาไทย แต่ปัญหาคือภาษาฝรั่งเศสเนี่ยแหละ ซึ่งเราไม่มั่นใจกับมันเลย
พอขึ้น ม.5 ปุ๊บ แล้วรู้ว่ามีโครงการ AFS เราก็เลยไปสอบ ซึ่งบังเอิญสอบรอบแรกผ่านค่ะ เลยรอสอบสัมภาษณ์รอบที่สอง ตอนนั้นเราเลือกแล้วว่าจะไปญี่ปุ่นเพราะชอบมาก ชอบการ์ตูนมาตั้งแต่เด็กๆ พอโตขึ้นมาหน่อยก็เริ่มชอบดารา นักร้อง ปรากฏว่าเราสอบสัมภาษณ์ผ่านแล้วได้ไปจริงๆ ค่ะ
Q. มีการเตรียมตัวอย่างไรก่อนไปญี่ปุ่นอย่างไร
พอสอบได้ปุ๊บ ทางโครงการเขาจะมีเวลาให้เราเตรียมตัวครึ่งปีก่อนไปค่ะ เราเลยไปลงเรียนคอร์สพื้นฐานที่โรงเรียนสอนภาษาญี่ปุ่น ตอนนั้นเรียนคอร์สภาษาเบื้องต้น 30 ชั่วโมง เรียนจบแล้วไปเลยค่ะ มันเป็นเรื่องดีนะคะที่ได้ไปตั้งแต่ตอนเด็ก เพราะทำให้เราปรับตัวเข้ากับที่นู่นได้เร็วขึ้น และเพราะเราชอบอยู่แล้วด้วย ผ่านไป 2-3 เดือน แป๊บเดียวก็พูดได้แล้ว
Q. มีโอกาได้ไปใช้ชีวิตในญี่ปุ่นอย่างไรบ้าง
เด็กในโครงการทุกคนจะถูกส่งไปอยู่กับโฮสต์แฟมิลี่ในจังหวัดต่างๆทั่วญี่ปุ่นค่ะ เป็นการพักแบบโฮมสเตย์ ซึ่งเราจะไม่ได้อยู่ใกล้กันนะคะ โดนจับแยกกันหมดเลย ยกเว้นช่วงที่มีประชุมประจำเขตเราก็จะได้พบเพื่อนสักครั้งหนึ่งค่ะ ตอนนั้นไปอยู่ประมาณ 1 ปี พอกลับมาประเทศไทยจึงนำคะแนนสอบสมัยเรียนที่ญี่ปุ่นกลับมาให้โรงเรียนที่เมืองไทยช่วยเทียบคะแนนให้ จนเทียบวุฒิ ม.6 ได้ แล้วเราก็นำคะแนนนี้ไปใช้สอบเข้ามหาวิทยาลัยค่ะ
Q. มีโอกาสไปญี่ปุ่นอีกไหมหลังกลับมาจากโครงการ AFS แล้ว
มีค่ะ เป็นช่วงสมัยเรียนมหาวิทยาลัย คือมหาวิทยาลัยเขาจะมีเครือข่ายมหาวิทยาลัยพี่น้องค่ะ แล้วเขาก็มีโครงการแลกเปลี่ยนทุกปี โควต้าตอนนั้นน่าจะประมาณ 20 กว่าคนต่อปี เราเห็นโอกาสตรงนี้เลยสมัครไปตอนปีสุดท้าย แล้วก็สอบได้ที่มหาวิทยาลัยวะเซะดะ ไปอยู่อีก 1 ปีค่ะ
Q. ช่วยเล่าประสบการณ์สมัยมหาวิทยาลัยให้ฟังหน่อยได้ไหม
ชอบตอนที่ได้อยู่หอร่วมกับเพื่อนชาวต่างชาติค่ะ มันเป็นคนละประสบการณ์กับสมัยมัธยมที่ต้องอยู่กับครอบครัวโฮสในต่างจังหวัดเลย พอเป็นมหาวิทยาลัยปุ๊บ เหมือนสังคมของเราโตขึ้น ได้มาอยู่หอกับเพื่อนที่โตเกียว และยิ่งเป็นกลุ่มเพื่อนหลากหลายชาติ เหมือนยิ่งได้เปิดโลกเข้าไปอีก เพราะเราไม่ใช่เด็กอินเตอร์ไงคะ โอกาสที่จะได้คุยกับฝรั่งจึงมีน้อยมาก พอได้มาอยู่ตรงนี้เลยรู้สึกว่านี่คือประสบการณ์ที่ดีอย่างหนึ่งเลยค่ะ
Q. อยากแนะนำคนที่มองเราเป็นไอดอลให้เขามีแรงบันดาลใจอย่างไรบ้าง
เรื่องโอกาสเนี่ย บางครั้งมันมักจะมาแบบไม่ให้รู้ตัวหรอก ดังนั้นเราต้องทำตัวเองให้พร้อมอยู่เสมอ ขัดเกลาตัวเองตลอดเวลา อย่าหยุดการเรียนรู้ เพราะถ้าโอกาสมันมาตอนที่เรายังไม่พร้อม เราจะเสียโอกาสนั้นไปทันที เรื่องเหล่านี้มันอยู่ที่ตัวเราเองด้วยค่ะ
ลองเปรียบเทียบเรื่องงานกับเรื่องผู้ชายดูก็ได้ สมมุติว่าเรามีชายในฝันใช่ไหมคะ อยากได้ผู้ชายแบบนี้ หน้าตาแบบนี้ซึ่งเขาค่อนข้างมีเลเวลสูง ผู้หญิงที่ชอบเค้า มองว่าเป็นชายในฝันก็ต้องมีมากมายแน่นอน แต่ถ้าเราไม่ขัดเกลาตัวเอง ไม่ทำตัวเองให้เป็นผู้หญิงที่คู่ควรกับเขา สมมุติวันหนึ่งเจอผู้ชายคนนั้นจริงๆ ผู้ชายเขาก็ไม่มองเราใช่ไหมล่ะ จะไปว่าผู้ชายเค้ามองที่หน้าตาหรือสถานภาพทางสังคม ไม่มองที่ใจก็ไม่ได้นะคะ เพราะทุกคนก็คงอยากได้คนที่ “เหมาะสม” กับตัวเองในทุกๆ ด้านทั้งนั้นแหละ ทั้งหน้าตา ฐานะ นิสัยใจคอ รวมไปถึง “ศีล” ด้วยค่ะ (เราเชื่อในคำว่า ศีลเสมอกัน นะ)
ดังนั้น ถ้าเกิดเราอยากได้งานแบบไหน เราก็ต้องทำตัวเองให้เหมาะสมกับงานแบบนั้น ต้องมีความพยายามตลอดเวลาค่ะ ในเมืองไทย คนที่เก่งภาษาญี่ปุ่น เชี่ยวชาญเรื่องญี่ปุ่นมีเยอะค่ะ ซึ่งแต่ละคนก็รับผิดชอบงานภาษาญี่ปุ่นในสาขาที่ตัวเองถนัด แต่โอกาสที่จะได้มาออกเบื้องหน้าแบบเรามันมีไม่บ่อยหรอก ถือเป็นเรื่องที่พิเศษมากๆ ดังนั้นถ้าโอกาสมาถึง เราจึงต้องทำให้ดีที่สุด และทำตัวให้มีคุณภาพพร้อมรับงานตลอดเวลาค่ะ
Q. ชอบเมืองไหนในญี่ปุ่นมากที่สุด
ชอบคิวชูค่ะเพราะว่าอากาศไม่หนาวเกินไป รู้สึกว่าเป็นเมืองที่อยู่ง่าย กะทัดรัด สถานที่แบ่งแยกโซนชัดเจน อันที่จริงชอบอยู่หลายเมืองค่ะ เลือกไม่ได้เลยเพราะชอบหมด (หัวเราะ) แต่ถ้าเน้นเที่ยวสะดวกก็คงเป็นฟุกุโอะกะ ซึ่งเป็นเมืองหลวงของคิวชู จากฟุกุโอะกะเราสามารถนั่งรถไปต่อตรงไหนก็ได้ เหตุผลหนึ่งที่เลือกภูมิภาคนี้เพราะมีความรู้สึกว่าคนคิวชูใกล้เคียงกับคนไทยมาก บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าอย่างไรแต่เรารู้สึกได้ เมื่อไม่นานมานี้ ฟุกุโอกะ-กรุงเทพฯ ก็เพิ่งจะครบรอบความสัมพันธ์ 10 ปีด้วยนะคะ
Q. สถานที่ท่องเที่ยวที่อยากแนะนำมากที่สุดคือที่ไหน
สำหรับคนที่เบื่อโตเกียว โอซาก้า หรือฟุกุโอะกะ อยากแนะนำให้ลองมาเที่ยวแถวภูมิภาคโทโฮะกุ (Tohoku) ค่ะ หลายคนรู้จักโทโฮะกุในด้านที่เป็นเขตได้รับอุทกภัยจากสึนามิหรือแผ่นดินไหวเมื่อ 6 ปีก่อน แต่ตอนนี้เมืองมีการฟื้นฟูการท่องเที่ยวและพัฒนาอุตสาหกรรมแล้ว ไม่ต้องกลัวค่ะ ไปได้ ปลอดภัย เมื่อต้นปีก็เพิ่งมีโอกาสได้ไปมา ไปทั้งอิวะเตะ (Iwate) อะกิตะ (Akita) แล้วก็อะโอะโมะริ (Aomori) แต่ละจังหวัดมีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจและมีเอกลักษณ์มากค่ะ
อย่างที่อิวะเตะเนี่ยเป็นจังหวัดที่มีมรดกโลกเยอะมาก ที่ประทับใจเป็นพิเศษคือวัดจูซนจิ (Chuson-ji) ถ้าเปรียบเทียบให้เห็นภาพ คือเหมือนเป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่ที่ข้างในมีวัดรวมกันอยู่เยอะมาก มีวัดเล็กวัดน้อยเต็มไปหมด แล้วผู้คนแถวนั้นเขาใช้เป็นพื้นที่พักผ่อนหย่อนใจ พาหมามาจูงเดินเล่นได้ ข้างในบริเวณนั้นยังมีจุดรับยันต์ลงบนสมุดสะสมที่เรียกว่า “โกะชุอิน” ซึ่งตอนนี้กำลังฮิตมากในหมู่สาวญี่ปุ่น แต่ละวัดก็จะมีลายที่แตกต่างกันไป (มีค่าใช้จ่ายในการให้พระวาดยันตร์ให้) อารมณ์ประมาณสายทำบุญ 9 วัดอยุธยา ใครที่ชอบแนวนี้ ที่นี่น่าจะตอบโจทย์ได้ดีที่สุดค่ะ
อีกหนึ่งสถานที่คือเมืองคะมะอิชิ (Kamaishi) ซึ่งอยู่ในอิวะเตะ เป็นเมืองที่โดนสึนามิถล่มราบเลยค่ะ ตอนนั้นได้มีโอกาศไปพักที่เรียวกังชื่อโฮไรคัง (Horaikan) คุณป้าเจ้าของที่รอดชีวิตจากภัยสึนามิครั้งนั้นมาได้ ได้มารีโนเวทเรียวกังแห่งนี้ใหม่ กลายเป็นเรียวกังริมทะเลที่มีน้ำแร่ สวยงามและประทับใจมากค่ะ
ถ้าเป็นที่จังหวัดอะโอะโมะรินี่ แนะนำให้ไปที่ปราสาทฮิโระซะกิ (Hirosaki Castle) เลยค่ะ เดี๋ยวนี้เขามีวิธีการแนะนำเวลาเที่ยวชมปราสาทโดยใช้เทคนิค VR ค่ะ มีแว่นให้สวมเดินตลอด ระหว่างนั้นจะมีเสียงไกด์คอยแนะนำความเป็นมาแต่ละจุด ที่พิเศษสุดๆคือภาพที่เราเห็นผ่านแว่นนี้เปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาลด้วยค่ะ ถ้าเป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิเนี่ย เราจะเห็นซากุระบานสะพรั่งเลย แต่ตอนนั้นไปช่วงฤดูหนาว แบ็กกราวนด์เลยเปลี่ยนเป็นอีกแบบค่ะ
ส่วนจังหวัดอะกิตะ ชื่อเขาจะพร้องเสียงกับสุนัขสายพันธุ์อะกิตะใช่ไหมคะ แถมสุนัขอะกิตะมีต้นกำเนิดมาจากจังหวัดนี้ จังหวัดนี้เขาประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวเป็นรูปหน้าน้องหมาอะกิตะโดยทำโลโก้ในเข็มกลัด แล้วติดให้พนักงานตามร้านอาหารที่มีนักท่องเที่ยวมาใช้บริการเยอะๆ ที่เข็มกลัดจะเขียนไว้ว่า ‘AKITA KEN’ ซึ่งสื่อความหมายได้ทั้งชื่อจังหวัดและชื่อสายพันธุ์สุนัขเลย เราคิดว่าเป็นไอเดียที่ดีมาก และเพิ่งได้รู้ว่าสุนัขอะกิตะกับสุนัขชิบะต่างกันที่ขนาด ชิบะจะตัวแค่นี้ (หดมือ) ส่วนอะกิตะจะตัวเท่านี้ (ขยายมือ) ขนหนาและใหญ่กว่าด้วย น่ารักมากเลยค่ะ
**PHOTO By Reiko.ws
ติดตามผลงานได้ที่
Facebook: Reiko.ws
Youtube: @reiko_ws
Twitter: @reiko_ws
IG: @reiko_ws
Website: www.ReikoBangkokNeko.com