Asakusa Diary : 

ฉันจำอะไรเกี่ยวกับ “อาซากุสะ (Asakusa)” ไม่ได้เลยนอกจากโคมไฟสีแดงใบใหญ่ยักษ์ เพราะเป็นเวลากว่าสิบปีแล้วหลังจากที่ฉันได้มาเยือนที่นี่ครั้งแรก

ตอนที่ฉันรู้ตัวว่าได้รับมอบหมายให้กลับมาที่นี่อีกครั้งเพื่อเขียนคอลัมน์แนะนำการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ที่คนไทยยังไม่ค่อยรู้จัก ก็รู้สึกหนักใจอย่างบอกไม่ถูก เพราะคิดเอาเองว่าใครๆ ก็ล้วนเคยมาย่านนี้ ถ่ายรูปกับโคมไฟสีแดง เดินอยู่ท่ามกลางผู้คนแล้วซื้อขนมกลับไปฝากคนรู้จักที่เมืองไทย ไม่รู้เลยว่าจะเล่าอาซากุสะมุมไหนที่คนไทยยังไม่รู้จักอีก
“คงต้องทำการบ้านเยอะมาก” “คงต้องเดินสำรวจเยอะมาก” “คงต้องใช้เวลาหลายวันมาก” ฉันคิด…แล้วก็เก็บของจัดกระเป๋า จองโฮสเทลไม่ซ้ำกันเลยแต่ละวัน และหาหนังสือเกี่ยวกับอาซากุสะมาอ่านอย่างบ้าคลั่ง
 
ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันสุดท้ายที่ฉันทำงานอยู่ในย่านนี้เป็นเวลาเนิ่นนานหลายวัน ฉันพบเจอ อะไรหลายๆ อย่าง ทั้งความเหน็ดเหนื่อยจากการต้องแบกกระเป๋าหนักๆ เช้าเย็นเพื่อย้ายโรงแรมทุกคืน ลองใช้บริการจริงๆ อย่างนักท่องเที่ยวทั่วไป ไม่ใช่นักเขียนที่ได้รับการต้อนรับอย่างดีเหมือนตอนที่อยู่เมืองไทย เดินวนไปมาในอากาศหนาวศูนย์องศาเป็นระยะทางกว่าสิบกิโลเมตรทุกวันจนขาบวม สรุปงานกับทีมงานชาวญี่ปุ่นทุกวันจนถึงเที่ยงคืน เพื่อให้ได้ข้อมูลน่าสนใจจำนวนมากที่จะนำมาเล่าให้ผู้อ่านฟังได้โดยไม่ผิดหวัง
 
ประสบการณ์ที่ฉันได้รับในฐานะคนไทยที่มาเยือนอาซากุสะครั้งแรก (ครั้งที่สอง ไม่นับรวมครั้งแรกจริงๆ ที่ฉันจำอะไรไม่ได้เลย) มีเรื่องราวที่น่าสนใจ ทั้งดีและไม่ดี แต่ก็สร้างความประทับใจเป็นอย่างมาก ทีมงานจึงตัดสินใจกันว่าในฉบับนี้เราจะเปิดสมุดบันทึกของฉันในวันแรกให้ผู้อ่านได้ไปเที่ยวพร้อมๆ กัน ที่ไม่ใช่แค่เที่ยวเฉยๆ แต่เที่ยวแบบคนทำงานนิตยสารที่เหนื่อยนิดๆ แต่กลับสนุกกว่าที่คิด…
 
เรื่องราวของอาซากุสะจะมียาวนานต่อไปอีกถึง 4 ฉบับ ในฉบับต่อๆ ไปคุณจะได้พบกับคอลัมน์ปกติเกี่ยวกับร้านดีไซน์เก๋ของคนรุ่นใหม่ที่สร้างสรรค์ให้อาซากุสะมีเสน่ห์มากกว่าแค่ ความเก่า เรื่องราวของโฮสเทลราคาถูกที่สะอาดระดับห้าดาว คาเฟ่สุดเท่ทั้งที่คั่วกาแฟเอง จนถึงคั่วโกโก้เองก็มี และเวิร์กช็อปงานศิลปะเก่าแก่ของญี่ปุ่น อย่าลืมติดตามกันต่อไปนะคะ

 

อาซากุสะ (Asakusa) เป็นย่านการค้าเก่าแก่ทีสำคัญของกรุงโตเกียวAsakusa เป็นย่านการค้าเก่าแก่ทีสำคัญของกรุงโตเกียว และยังเป็นแหล่งที่ตั้งสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมอย่างวัดเซ็นโซจิและถนนนะกะมิเซะอันแสนคึกคัก

โคมไฟสีแดงใบใหญ่ยักษ์ ที่วัดเซ็นโซจิ (Sensoji)

ลายที่ก้นโคมไฟสีแดงใบใหญ่ ที่วัดเซ็นโซจิ (Sensoji)ใต้โคมไฟสีแดงประจำวัดเซ็นโซจิมีภาพแกะสลักเทพเจ้ามังกรอยู่ ซึ่งเชื่อกันว่าหากได้ถ่ายรูปคู่กับเทพเจ้ามังกรนี้จะโชคดี

 

ASAKUSA STORY Ep.01 | 24 ชั่วโมงแรกในอาซากุสะ

คอลัมน์ในฉบับนี้พิเศษกว่าฉบับอื่นเล็กน้อยเพราะมาในรูปแบบไดอะรี่ จากบันทึกการทำงานส่วนตัวของฉัน ในฐานะนักเขียนคนหนึ่งที่มาทำงานที่นี่ เป็นเรื่องราวตลอดหนึ่งวันแรกที่ฉันได้พบเจอ ซึ่งเต็มด้วยไปด้วยสถานที่น่าสนใจจากการออกเดินทางไปรอบๆ ย่านอาซากุสะ จนทำให้ฉันตื่นตาตื่นใจระคนแปลกใจและคิดว่า “บางทีอาซากุสะมันก็ดีนะ…”

อรุณสวัสดิ์ – กินอาหารเช้าแล้วเดินเที่ยววัดเซ็นโซจิ

เมื่อเช้า ฉันนัดเจอกับทีมงานคนอื่นๆ ที่ร้านขนมปังเพลิแกน (Pelican Bread) ในร้านเต็มไปด้วยขนมปังที่วางอยู่บนชั้นไม้ติดผนังเหมือนชั้นหนังสือ บรรยากาศจึงดูโฮมมี่เก่าๆ หน่อยแบบที่ฉันชอบ ที่นี่คนเยอะมากจนต้องสั่งจองล่วงหน้าถึงจะได้ขนมปังกลับไป แต่เราก็โชคดีได้ขนมปังปอนด์ชิ้นใหญ่มา 1 ก้อน ในราคา 480 เยน ทีมงานคนญี่ปุ่นแนะนำว่าให้มาลองชิมเพราะร้านนี้มีชื่อเสียงมากสำหรับคนในย่านนี้ มันเป็นขนมปังปอนด์ที่อร่อยที่สุดเท่าที่ฉันเคยกินมา ผิวด้านนอกกรอบแต่เนื้อด้านในเหนียวและนุ่มลงตัวที่สุด ทำไมขนมปังเปล่าๆ ถึงได้อร่อยแบบนี้นะ อยากได้กาแฟสักแก้วจัง
ตอนนี้เราอยู่ที่วัดเซ็นโชจิ ระหว่างทางที่เดินมาที่นี่ ฉันมัวแต่ถ่ายรูปโดยไม่ได้ระวังจนถูกหญิงชราชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งผลักให้พ้นทางเพราะฉันกำลังจะไปชนเธอ ฉันหันกลับมาทันได้เห็นสีหน้าของความหงุดหงิด จึงหลุดปากพูดขอโทษเป็นภาษาไทย จะแก้เป็นภาษาญี่ปุ่นก็ไม่ทันเสียแล้ว เธอเดินไปไกลแล้วพอนึกย้อนกลับไปฉันก็แอบสงสารคนท้องถิ่นที่นี่ ด้วยความที่อาซากุสะเป็นย่านเก่าแก่ จึงยังมีคนท้องถิ่นที่เป็นผู้สูงอายุอาศัยอยู่จำนวนมาก ความวุ่นวายของการท่องเที่ยวน่าจะสร้างความรำคาญใจไม่น้อยให้กับพวกเขา เราซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวจะคาดหวังให้คนท้องถิ่นต้อนรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้มตลอดเวลาเห็นจะไม่ได้ ต้องดูที่พฤติกรรมของตัวเองด้วย
เมื่อกี้ฉันเดินผ่านถนนนะกะมิเซะ ที่เต็มไปด้วยผู้คน กลิ่นหอมของขนมกับสินค้าหน้าตาน่ารักช่างยั่วยวนใจ ฉันเข้าใจแล้วว่าทำไมคนถึงชอบมาซื้อของที่นี่ บรรยากาศมันสนุกสนานจริงๆ ได้ยืนต่อคิวยาวๆ บังเอิญเจอคนไทยเหมือนกัน หรือได้แอบดูคนญี่ปุ่นซื้อของ เบียดกันบ้างนิดหน่อยแต่ก็สร้างความอบอุ่นให้ในวันที่อากาศหนาวๆ อย่างนี้ได้ไม่น้อย
พอเข้ามาในเขตวัดเซ็นโซจิ ชุดกิโมโนกลายเป็นเรื่องธรรมดา สร้างสีสันให้กับวัดโบราณจนบางจังหวะเหมือนฉันนั่งไทม์แมชชีนย้อนกลับไปหลายร้อยปี เพราะรอบๆ ตัวมีแต่คนแต่งชุดกิโมโน
ฉันได้ลองไหว้พระตามธรรมเนียม ตั้งแต่ล้างมือ ต่อแถวขึ้นไปไหว้ ปัดควันธูป แล้วก็เสี่ยงเซียมซี ฉันแอบขี้โกงด้วยการทาย 2 ครั้ง เพราะครั้งแรกนั้นแย่มากจนเหมือนเป็นลางว่าการทำงานครั้งนี้จะล้มไม่เป็นท่า ฉันจึงผูกกระดาษคืนกับเสาที่ทางวัดเตรียมไว้ให้ (คนโชคร้ายเยอะเชียว) แต่พอทายใหม่กลับได้คำทำนายที่ดีอย่างเหลือเชื่อ น่าจะพอลบล้างกันได้
ที่วัดนี้เราได้เจอคนน่าสนใจอยู่หลายกลุ่ม ทั้งชาวต่างชาติและคนญี่ปุ่น ตอนเดินไปรอบๆ วัดเพื่อหาคนมาสัมภาษณ์ ฉันได้เจอต้นซากุระที่เริ่มบานอยู่ท้ายวัดเพียงต้นเดียวด้วย โชคดีจัง

 

ร้านขนมปังเพลิแกน (Pelican Bread) ใกล้ๆกับวัดเซ็นโซจิ

ทางเข้าวัดเซ็นโซจิ (Sensoji)

ร้านรวงต่างๆ ตรงทางเข้าวัดเซ็นโซจิ (Sensoji)

ใบเซียมซีจากวัดเซ็นโซจิ (Sensoji)

บรรยากาศของวัดเซ็นโซจิ (Sensoji) ในย่านอาซากุสะ (Asakusa)

Sensoji Temple

 

หิวจัง! มื้อกลางวันของฉัน – นาเบะเนื้อในตำนาน กับเซ็มเบ 100 ปี

เรามากินข้าวกลางวันกันที่ร้านโยะเนะคิว (Yonekyu) เพราะตั้งใจจะแนะนำลงในนิตยสาร พอเข้ามาในร้าน ฉันก็สะดุ้งสุดตัวเพราะตกใจเสียงตีกลองต้อนรับดังลั่น (พออยู่ญี่ปุ่นก็กลายเป็นผู้หญิงขวัญอ่อน รีแอ็คชั่นเยอะขึ้นมาทันที) บรรยากาศร้านโบราณมาก มีสวนหย่อมแบบญี่ปุ่นดั้งเดิมอยู่กลางร้านด้วย เราเลือกโต๊ะนั่งแบบเสื่อทาทามิ พนักงานนำเมนูมาให้พร้อมกำชับว่าต้องสั่งอาหารขั้นต่ำ 1 ชุดต่อ 1 ท่าน นี่เป็นมารยาทในร้านอาหารแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่นที่ฉันเพิ่งรู้ อาหารของที่นี่มีอย่างเดียวคือ “นาเบะเนื้อ (Gyunabe)” มีเนื้อวัวให้เลือก 2 แบบ ราคาขั้นต่ำอยู่ที่ 3,160 เยนต่อชุด พอพนักงานนำเนื้อมาเสิร์ฟ ฉันถึงกับเข้าใจผิดเพราะเนื้อมาแค่จานเดียวทั้งๆ ที่สั่งไปหลายชุด เขาจึงชี้แจงว่าได้ใส่รวมกันมาให้แล้ว ฉันได้แต่ก้มหน้าพูดกับตัวเองว่า “เออ ก็จริงเนอะ จะเปลืองจานทำไม” พนักงานจะปรุงอาหารบนเตานาเบะให้ด้วย หน้าตาไม่ค่อยยิ้มแย้มเท่าไร แต่ก็บริการอย่างดีนะ ทีมงานญี่ปุ่นบอกว่าเป็นสไตล์ของร้านอาหารที่เก่าแก่มากๆ และที่นี่ก็เปิดมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1886 เจ้าของคนปัจจุบันก็เป็นรุ่นที่ 4 ไปแล้ว ที่นี่น่าจะตอบโจทย์คนที่ชอบความดั้งเดิมแบบญี่ปุ่นทั้งบรรยากาศและรสชาติอาหารต้องถูกปากคนรักเนื้อแน่นอน
เดินมาหน่อยเราบังเอิญเจอร้านขายเซ็มเบ (Senbei) ที่โบราณมากๆ นั่งย่างให้เห็นกันด้านหน้าร้านเลย ฉันหยุดถ่ายรูปไม่หยุด ป้ายด้านหน้าร้านเขียนเป็นภาษาญี่ปุ่นว่า “ขายอาหารชนิดเดียวมา 100 ปี” นั่นก็คือเซ็มเบกรอบรสเค็มอันนี้ เราซื้อมาชิมคนละ 1 ชิ้น ระหว่างที่นั่งกินก็ดูเขาย่างเซ็มเบไปด้วย เห็นเขาย่าง ทาซอส แล้วนำมาย่างอีก เอาขึ้นมาพักให้เย็นแล้วเรียงลงไหใบใหญ่ อยากลองทำบ้างเลย น่าสนุกดี

 

หน้าร้านโยะเนะคิว (Yonekyu) ในย่านอาซากุสะ (Asakusa)

บรรยากาศภายในร้านโยะเนะคิว (Yonekyu) ในย่านอาซากุสะ (Asakusa)

นาเบะเนื้อ (Gyunabe) จากร้านโยะเนะคิว (Yonekyu) ในย่านอาซากุสะ (Asakusa)

หน้าร้านขายเซ็มเบ (Senbei) ในย่านอาซากุสะ (Asakusa) ที่ทำการเปิดขายมานานถึง 100 ปี

พนักงานโชว์วิธีการทำเซมเบ้ แบบโบราณ

เซมเบ้ คละหลายรสชาติของร้านในย่านอาซากุสะ (Asakusa)

 

เดินเล่นบนถนนสายวัฒนธรรม – นั่นกิโมโน นี่รถลาก Hoppy Street สุดมันส์ แวะร้านพัดโบราณ

ฉันกับทีมงานใช้เวลาช่วงบ่ายหมดไปกับการเดินดูนั่นดูนี่รอบๆ วัดเซ็นโซจิ กิจกรรมน่าสนใจที่ฉันอยากลองทำจนเนื้อตัวสั่นแต่ไม่ได้ลอง คือการใส่ชุดกิโมโนน่ารักๆ เดินไปทั่วๆ ย่านนี้กับการนั่งรถที่ลากโดยชายหนุ่มญี่ปุ่นหล่อๆ สักคน จริงๆ สองอย่างนี้อาจจะเป็นกิจกรรมในฝันของสาวๆหลายคน แค่ฉันได้ยืนดูก็อมยิ้มตลอดแล้ว ถ้าไม่ติดว่าต้องสัมภาษณ์และทำงาน ฉันคงจะใช้เวลาครึ่งวันนี้หมดไปกับเรื่องนี้แน่ๆ ฉันขอสัญญากับตัวเองว่ามาญี่ปุ่น ครั้งหน้าฉันจะมาเที่ยวโดยไม่ทำงานเลย คอยดู!

เราเดินผ่านถนนฮ็อปปี้ (Hoppy Street) หลายรอบมาก ฉันสะดุดตากับเต็นท์พลาสติกที่คลุมกันอากาศหนาวตลอดสองข้างทางของร้านกินดื่มบนถนนสายนี้ คอยจินตนาการว่าถ้ามาช่วงอากาศไม่หนาวจัดขนาดนี้คงจะน่าตื่นตาตื่นใจกว่านี้อีก เพราะทุกร้านเชื่อมถึงกันหมด แล้วเสียงอึกทึกก็คงข้ามฝั่งไปมา สร้างสีสันให้กับช่วงเย็นของย่านนี้ แน่นอนว่าฉันอยากลองนั่งดูสักครั้ง คราวหน้าจะพลาดไม่ได้ ต้องกลับมาอีกแน่ๆ แต่คงไม่ใช่วันนี้

เราปิดท้ายถนนรอบๆ วัดเซ็นโซจิด้วยการแวะชมร้านขายพัดบุนเซ็นโด (Bunsendo) ที่เปิดให้บริการมานานกว่า 120 ปีแล้ว ในร้านเต็มไปด้วยพัดหลายแบบหลายลาย มีตั้งแต่พัดที่ใช้กระดาษ สี หรือลายแบบพรีเมี่ยมที่ดูพิเศษมาก และพัดธรรมดาหน่อยที่ซื้อเพื่อเป็นของที่ระลึกหรือใช้ในชีวิตประจำวัน เจ้าของร้านเล่าว่า ลูกค้าส่วนใหญ่คือนักแสดง เช่น การแสดงคาบูกิ ที่ต้องใช้พัดอย่างดีเท่านั้น ลายแต่ละเล่มของพัดก็มีความหมายแตกต่างกันไป แถมใช้ในสถานการณ์ที่ต่างกันออกไปในแต่ละฉากของการแสดงที่สำคัญพัดทุกเล่มเป็นงานแฮนด์เมด 100% อีกด้วย ตอนที่สัมภาษณ์อยู่ก็มีนักแสดงมาซื้อ พนักงานกระพือพัดให้ดูว่ากรีดออกและเก็บเข้าได้อย่างรวดเร็วและลื่นไหลแค่ไหน ฉันทึ่งมาก

 

สาวๆ ญี่ปุ่นใส่ชุดกิโมโนเดินเล่นกันที่วัดเซ็นโซจิ

คนญี่ปุ่นแต่งชุดกิโมโนกันทั้งครอบครัว ที่วัดเซ็นโซจิ ในย่านอาซากุสะ (Asakusa)

ร้านยะไต (Yatai) ที่ถนนฮ็อปปี้ (Hoppy Street)

บรรยากาศของร้านยะไต (Yatai) ที่ถนนฮ็อปปี้ (Hoppy Street)

พัดลวดลายต่างๆ ของร้านขายพัดบุนเซ็นโด (Bunsendo) ในย่านอาซากุสะ (Asakusa)

ร้านขายพัดบุนเซ็นโด (Bunsendo) ที่เปิดให้บริการมานานกว่า 120 ปี ในย่านอาซากุสะ (Asakusa)

 

ลองนั่งบาร์แห่งแรกของญี่ปุ่น – Kamiya Bar

วันนี้ทั้งวันฉันรู้สึกเหมือนตัวเองไม่ได้อยู่ในยุคปัจจุบันเลย อีกนิดหนึ่งก็จะกลายเป็นเกอิชาได้แล้ว ฮ่า ฮ่า ฮ่า จริงๆ นะ
มื้อเย็นของเราวันนี้จบลงที่ “คะมิยะ บาร์ (Kamiya Bar)” บาร์แห่งแรกของญี่ปุ่น มีเครื่องดื่มขึ้นชื่อคือเหล้าแก้วเล็กๆ ที่เรียกว่า “เด็งกิ บรัน (Denki Bran)” เห็นโต๊ะอื่นเขาชอบสั่งมาดื่มกับเบียร์ ที่นี่มีหลายชั้น อาหารของแต่ละชั้นก็ไม่เหมือนกัน แต่ละชั้นจะมีตู้กระจกที่โชว์อาหารของปลอมแต่น่ากินมาก ไว้ให้นักท่องเที่ยวเลือกได้ง่าย หน้าตาก็ออกมาเป็นอาหารฟิวชั่นที่ดูโบราณหน่อย แต่ที่น่าสนใจที่สุดก็คือ บรรยากาศวินเทจกับชุดสูทของชาวญี่ปุ่นข้างในนั้น ทำให้ฉันนึกถึงฉากขมุกขมัวที่ชาวต่างชาติใส่ชุดสูทเข้ามานั่งบาร์ของญี่ปุ่นในหนังพีเรียดหลายๆ เรื่องได้เลย
หลังกินข้าวเย็นเสร็จ ตอนที่กำลังเดินกลับมาที่พักที่ใหม่ ฉันเดินผ่านร้านผ้าสวยๆ ร้านหนึ่งจึงแวะเข้าไปซื้อมาเป็นของฝากให้กับตัวเองเล็กๆ น้อยๆ ก่อนจะมารู้ทีหลังว่าคือร้าน คะมะวะนุ (Kamawanu) ร้านขายผ้าที่มีชื่อเสียงของย่านนี้ มีลวดลายเฉพาะที่สวยงาม เนื้อผ้านุ่ม และมีวิธีทอแบบโบราณ แอบเสียดายน่าจะซื้อมาเยอะกว่านี้หน่อย เผื่อไปฝากคนอื่นด้วย

 

คะมิยะ บาร์ (Kamiya Bar) บาร์แห่งแรกของญี่ปุ่น มีเครื่องดื่มขึ้นชื่อคือเหล้าแก้วเล็กๆ ที่เรียกว่า “เด็งกิ บรัน (Denki Bran)”ภาพ: www.facebook.com/kamiya.bar

ร้าน คะมะวะนุ (Kamawanu) ร้านขายผ้าที่มีชื่อเสียงของย่านอาซากุสะ (Asakusa)

ผ้าลวดลายน่ารักๆ ของร้านคะมะวะนุ (Kamawanu) ย่านอาซากุสะ (Asakusa)

 

ลองนอนโฮสเทลในญี่ปุ่นครั้งแรก – Khaosan Samurai Capsule

คืนนี้ฉันได้พักในโฮสเทลชื่อไทยที่ ข้าวสาร โตเกียว ซามูไร แคปซูล (Khaosan Tokyo Samurai Capsule) คำถามแรกที่ฉันอดถามพนักงานไม่ได้เลยก็คือ ทำไมโฮสเทลที่นี่ถึงชื่อว่า “ข้าวสาร” เธอเล่าว่าเจ้าของเคยมาเที่ยวเมืองไทยแล้วชอบถนนข้าวสารมาก จึงนำมาทำเป็นคอนเซ็ปต์โรงแรม ฉันลองหาข้อมูลต่อและพบว่าที่นี่มีสาขามากถึง 6 สาขา แล้วก็ค่อนข้างมีชื่อเสียงอีกด้วย เป็นเรื่องน่าแปลกใจนิดหน่อยที่โฮสเทลมีชื่อเสียงมากๆในประเทศหนึ่ง มีนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกมารวมตัวกัน คือสถานที่ที่มีชื่อเดียวกับแลนด์มาร์กจากอีกประเทศหนึ่ง ถ้าอย่างนั้นพวกนักท่องเที่ยวที่พักที่นี่จะต้องรู้จักถนนข้าวสารกันหมดเลยหรือเปล่านะ แอบภูมิใจนิดๆ แฮะ
ห้องที่ฉันพักเป็นห้องนอนรวมสำหรับผู้หญิงที่มีบล็อกไม้เป็นของตัวเอง หรือที่เรียกกันว่าแคปซูล ด้านในมีพัดลมระบายอากาศ ตอนที่เลื่อนบานไม้ปิดล็อคกุญแจจึงทั้งรู้สึกปลอดภัยและอากาศก็ยังถ่ายเทได้สะดวก ฉันหิวรอบดึกจึงออกไปร้านสะดวกซื้อแล้วกลับมาพร้อมข้าวหมูอะไรสักอย่าง นม และเบียร์ 1 กระป๋อง หิ้วของขึ้นไปห้อง Common Room ส่วนกลางบนชั้น 5 แล้วนั่งลงบนเสื่อทาทามิ
ห้องกว้างดีจัง มีหญิงสาวญี่ปุ่นนั่งกินขนมดูโทรทัศน์อยู่เงียบๆ คนเดียว น่าจะเป็นรายการตลก เพราะเธอนั่งขำเป็นระยะๆ โต๊ะข้างๆ ฉันเหมือนชาวตะวันออกกลางหรือที่คนไทยชอบเรียกว่าแขกขาว กำลังเรียนคำศัพท์ภาษาญี่ปุ่นด้วยตัวเองอยู่คนเดียว โต๊ะฝั่งตรงข้ามค่อนข้างเสียงดังเพราะเป็นฝรั่งตัวใหญ่ 3 คนที่น่าจะเพิ่งรู้จักกันที่นี่ กำลังพูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องที่ท่องเที่ยวในญี่ปุ่นที่พวกเขาเคยไปมาแล้วการได้พักในโฮสเทลมันดีตรงนี้แหละเนอะ ถ้าเป็นคนคุยเก่งๆ ก็น่าจะได้เพื่อนกลับมาครั้งละสองสามคน แต่ฉันถนัดเขียนมากกว่า ขอแค่แอบดูก็แล้วกัน แต่พอรู้สึกตัวอีกที ฉันกลับรู้สึกว่าตัวเองกำลังสอดรู้สอดเห็นนิดๆ แต่ก็นั่นแหละ นี่คืองานของฉันละ
ก่อนนอนคืนนี้ฉันมานั่งคิดดู จริงๆ แล้วอาซากุสะเป็นย่านที่มีเสน่ห์มากๆ เพราะเราจะได้เห็นคนแต่งตัวแบบโบราณที่ไม่ใช่แค่ชุดยุกะตะหรือชุดกิโมโน แต่มันคือการผสมผสานความเก่าและความใหม่เข้าด้วยกัน ฉันเห็นชายหนุ่มที่ใส่เสื้อคลุมสุดเท่ทับชุดยุกะตะ เห็นชายชราใส่เสื้อคลุมแบบโบราณกับกางเกงยีนส์สุดเท่ มันเป็นกลิ่นอายเก่าแก่ที่ไม่ได้อยู่แค่บนอาคารบ้านเรือน แต่มันอยู่ในจิตใจของคนที่อาศัยอยู่ที่นี่ เขาสามารถผสมผสานวัฒนธรรมเข้ากับความทันสมัยได้อย่างลงตัว โดยไม่ต้องทำลายหรือหลงลืมรากเหง้าของตัวเอง
ทำให้ฉันคิดได้ว่า ฉันไม่อยากให้การท่องเที่ยวเป็นแค่การชื่นชมและถ่ายรูป แต่อยากให้นักท่องเที่ยวมองเห็นอะไรบางอย่างแล้วสร้างแรงบันดาลใจหรือทำให้เรากลับมาคิดถึงบ้านเกิดเมืองนอนของเราได้เช่นกัน ฉันจะเขียนอะไรแบบนี้ได้ไหมนะ คงต้องลองดู…
นอนหลับฝันดีนะ ไดอะรี่ของฉัน

 

โฮสเทลข้าวสาร โตเกียว ซามูไร แคปซูล (Khaosan Tokyo Samurai Capsule) ย่านอาซากุสะ (Asakusa)

บรรยากาศภายในโฮสเทลข้าวสาร โตเกียว ซามูไร แคปซูล (Khaosan Tokyo Samurai Capsule)ภาพ: www.faceboook.com/khaosansamuraicapsule

LIKE & SHARE

ชอบเรื่องนี้จนต้องบอกต่อ