3 Days in Fukushima & Miyagi : ทริปหวานๆ ชมซากุระสุดอันซีน กินเมนูประจำถิ่น ฉบับเดินทางง่ายถ่ายรูปสวย

ไป ชมซากุระ ที่จังหวัด ฟุกุชิมะ (Fukushima) และ มิยากิ (Miyagi) มาค่ะ!

ฟุกุชิมะเป็นแหล่งปลูกผลไม้ที่มีชื่อเสียงของญี่ปุ่นหลายชนิด ส่วนมิยากินั้นก็เต็มไปด้วยความหลากหลายที่ครบรส ธรรมชาติสวย ย่านการค้าแสนคึกคักก็มี สำหรับเราจุดร่วมของทั้ง 2 จังหวัด คือแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติและประวัติศาสตร์ที่สวยสดงดงามจะมีเยอะเป็นพิเศษ ได้ลองไปแล้วจะไม่รู้จักคำว่าเบื่อ

ฤดูใบไม้ผลิ นับเป็นช่วงเวลาดีที่สุดในการออกมาเดินทอดน่อง อากาศก็ดีแถมมีดอกไม้สวยๆ มาเพิ่มสีสัน ถ้าไม่ชอบความวุ่นวายและอยากไปสถานที่ชมซากุระแบบที่คนท้องถิ่นนิยมไปกัน เราว่าทั้ง 2 จังหวัดนี้เหมาะมาก แม้จะมีสถานที่น่าสนใจนับไม่ถ้วนในฟุกุชิมะและมิยากิ แต่ทริป 3 วันนี้จะเน้นเฉพาะจุดชมซากุระที่สวยขึ้นหิ้ง ไปแล้วไม่ผิดหวัง การเดินทางไม่ลำบากจนเกินไป และสามารถไปได้ด้วยบัตรโดยสาร JR EAST PASS (Tohoku area)

อ่านบทความนี้จบแล้ว ถ้ามีใครมาถามว่าฤดูใบไม้ผลินี้ไป ชมซากุระ ที่ไหนดี ขอให้ตอบไปดังๆ เลยว่าที่จังหวัด ฟุกุชิมะ และ มิยากิ เพราะไม่มีที่ไหนเหมาะไปกว่านี้อีกแล้ว

★ ถ้าอยากไปมากกว่า 3 วัน สามารถอ่านบทความทริป Fukushima x Miyagi ฉบับ 5 วันได้ที่นี่ 

DAY 1 / โตเกียว – ฟุกุชิมะ 

เริ่มต้นทริปชมซากุระที่จังหวัดฟุกุชิมะ เราใช้บัตรโดยสาร JR EAST PASS (Tohoku area) สำรองที่นั่งชินคันเซ็นล่วงหน้ามาก่อนจะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องที่นั่งเต็มหรือไม่ถูกใจ ไปลงที่สถานีโคริยามะเพื่อนั่งรถไฟท่องเที่ยว Joyful Train จากนั้นก็เดินเตร่ชมซากุระตามเมืองดังอย่างคิตะคาตะและไอสึวากามัตสึได้เลย

Fruitea Fukushima 

ภาพ: East Japan Railway Company

สายฟู้ดดี้ที่ชอบกินขนมหวานแบบเรา จะพลาดรถไฟท่องเที่ยวขบวน Fruitea Fukushima ได้ไง นี่ไม่ใช่รถไฟสำหรับรับ-ส่งผู้โดยสารเท่านั้น แต่บนขบวนยังเป็นเปิดคาเฟ่ที่เสิร์ฟขนมจากผลไม้ตามฤดูกาลของจังหวัดฟุกุชิมะ

ภาพ: East Japan Railway Company

ที่นั่งบนรถไฟทั้งหมดเป็นแบบจองล่วงหน้า และขายพร้อมแพ็กเกจขนมหวานและเครื่องดื่มในราคา 4,800-5,400 เยนแล้วแต่ระยะทางทาง ในเซ็ตที่ผู้โดยสาร 1 คนจะได้รับประกอบด้วยขนมหวานเมนูออริจินอล น้ำผลไม้ กาแฟร้อน รวมถึงสามารถสั่งชาและกาแฟเย็นได้ไม่จำกัดตลอดทาง

อินทีเรียด้านในหรูหรา มีโต๊ะและโซฟาแบ่งเป็นสัดส่วนเหมือนคาเฟ่ไม่มีผิด ถ้ามาหลายคนก็ให้จองโต๊ะใหญ่ ส่วนใครมาคนเดียวก็มีที่นั่งเดี่ยวเป็นแบบเคาน์เตอร์หันหน้าเข้าหาหน้าต่าง ซึ่งไม่ว่าจะแบบใดก็สามารถเพลิดเพลินกับวิวได้แบบเต็มอิ่ม รถไฟวิ่งเพียงวันละรอบ ส่วนใหญ่จะให้บริการในวันเสาร์-อาทิตย์ ดังนั้นถ้าอยากนั่งก็ควรวางแผนไว้แต่เนิ่นๆ

Nicchusen Weeping Cherry Tree

นั่งรถไฟมาลงที่สถานีคิตะคาตะแล้ว เดินเท้าต่อไปราวๆ 5 นาทีก็ถึงพิกัดชมซากุระชื่อดังของเมืองนี้ จุดชมซากุระนิชชูเซนเป็นเส้นทางเดินและปั่นจักรยานชมซากุระยาว 3 กิโลเมตร ในอดีตเส้นทางนี้เคยเป็นทางรถไฟสาย Nicchu Line ที่วิ่งระหว่างเมืองคิตะคาตะและหมู่บ้านอัตสึชิโอะออนเซ็น (Atsushio Onsen) เมื่อถูกเลิกใช้งาน ปัจจุบันจึงกลายสถานที่ชมซากุระสายพันธุ์กิ่งย้อยที่มีให้ชมมากกว่า 1,000 ต้น

Bannai Shokudo

เมืองคิตะคาตะมีชื่อเสียงว่าเป็นเมืองแห่งราเมน เมนูดังของที่นี่คือ “ราเมนคิตะคาตะ” (Kitakata Ramen) ราเมนชื่อเดียวกับเมืองที่อร่อยติดท็อปทรีในญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเดินไปทางไหนเชื่อว่าจะเจอร้านราเมนแน่นอน ส่วนเราเลือกเช็คอินที่ร้าน Bannai Shokudo ราเมนเส้นแบนหนานุ่มและหยักคล้ายคลื่น เสิร์ฟมาในน้ำซุปใสทำจากปลา กระดูกหมู และซอสโชยุ ท็อปมาด้วยหน่อไม้ หมูตุ๋นนุ่มๆ ปิดท้ายด้วยต้นหอมซอย

Aizu Wakamatsu Castle

อิ่มท้องแล้วนั่งรถไฟย้ายไปเที่ยวกันต่อที่เมืองไอสึวากามัตสึ ถ้าอินกับประวัติศาสตร์ในขณะเดียวกันก็รักการชมซากุระด้วย จุดแรกที่น่าแวะไปคือ “ปราสาทไอสึวากามัตสึ” ตัวอาคารที่เห็นเป็นปราสาทที่บูรณะขึ้นใหม่หลังจากถูกทำลายลงในปี ค.ศ. 1874 อีกทั้งบริเวณโดยรอบปราสาทนั้นมีสวนสาธารณะที่เป็นจุดชมซากุระยอดนิยมของคนท้องถิ่น ถ้ามาตอนกลางคืนจะมี Illumination ไฟประดับสวยๆ ให้ชมด้วยล่ะ

Tonkatsu Katsuichi

มาเที่ยวเมืองไอสึวากามัตสึทั้งที ยังไงก็ต้องหาเวลาไปกิน “ซอสคัตสึด้ง” (Sauce Katsudon) ข้าวหน้าหมูทอดราดซอสที่มีร้านให้ลองกันอยู่ทั่วเมือง เราตามรีวิวคนญี่ปุ่นไปที่ร้าน Tonkatsu Katsuichi ร้านโลคอลเล็กๆ ด้านในใช้เฟอร์นิเจอร์ไม้และของตกแต่งแบบญี่ปุ๊นญี่ปุ่น คัตสึด้งสไตล์ไอสึจะมี 3 ชั้น ชั้นแรกคือข้าวญี่ปุ่น ทับด้วยกะหล่ำปลีหั่นฝอย และโปะหน้าด้วยหมูชุบแป้งทอด ราดด้วยซอสชุ่มฉ่ำเป็นอันครบสูตร

Hotel Mets Fukushima

ภาพ: www.facebook.com/hotelmetsfukushima/photos/

คืนแรกนี้เราจะนอนที่โรงแรมติดสถานีฟุกุชิมะ ใช้เวลาเดินแค่ 1 นาทีจากทางออกฝั่งตะวันออก เพื่อให้สะดวกต่อการนั่งรถบัสไปต่อจากสถานีในวันรุ่งขึ้น ห้องพักของโรงแรมนี้มีให้เลือกถึง 12 ประเภท ของใช้จำเป็นในห้องน้ำมีให้ครบแบบที่ลืมเอาไปจากบ้านก็ไม่เป็นไร รวมทั้งมีเครื่องใช้ไฟฟ้าอำนวยความสะดวกจัดเต็มมากๆ เช่น เครื่องกรองอากาศ เครื่องทำความชื้น เครื่องรีดผ้า มื้อเช้าก็ดีงามทั้งเมนูข้าวและอาหารเช้าสไตล์ตะวันตก

ภาพ: www.facebook.com/hotelmetsfukushima/photos/ภาพ: www.facebook.com/hotelmetsfukushima/photos/

DAY 2 / ฟุกุชิมะ – มิยากิ 

วันที่สองนี้ขอจัดเต็มตระเวนชมดอกไม้หลายสายพันธุ์บานสะพรั่งให้สมกับเป็นทริปฤดูใบไม้ผลิ จากหลากพิกัดสวยติดอันดับที่คนท้องถิ่นแนะนำทั้งในจังหวัดฟุกุชิมะและมิยากิ 

Hanamiyama Park

เติมความสดใสยามเช้าในฤดูใบไม้ผลิด้วยดอกไม้หลากสีสันบนเนินเขาที่อุทยานธรรมชาติสวนฮานามิยามะ ภายในพื้นที่เต็มไปด้วยดอกไม้เยอะมากราว 30 ชนิด แบบที่คนรักความหวานละมุนของดอกไม้ต้องกรี๊ดเมื่อไปถึง อีกทั้งมีเส้นทางเดินแสนสะดวกให้เลือกเดินชมได้ตามชอบ

นอกจากบรรดาดอกไม้สวยๆ แล้ว ด้านบนนี้ก็ถือเป็นหนึ่งในจุดชมทิวทัศน์เมืองฟุกุชิมะที่สวยไม่แพ้ที่ไหน และถ้าเดินทางไปในวันอากาศดีจะสามารถมองเห็นไกลไปถึงภูเขาอาซูมะและอาดาตาระทางทิศตะวันตกของเมืองได้เลย   

Hitome Senbonzakura

ย้ายจากฟุกุชิมะไปเที่ยวที่จังหวัดมิยากิกันต่อ โดยนั่งรถไฟสายโทโฮคุมาลงที่สถานีโอกาวาระ ใกล้ๆ สถานีจะมีเทศกาลฮิโตเมะเซ็มบงซากุระ (Hitome Senbonzakura Festival) ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีในฤดูใบไม้ผลิ ความสวยงามอลังการของที่นี่คือต้นซากุระจะยืนต้นเรียงรายอยู่ริมแม่น้ำชิโรอิชิ (Shiroishi River) ตลอดระยะทางราว 8 กิโลเมตร เราสามารถมาชมได้ตั้งแต่เช้า ส่วนตอนค่ำก็มีโซนจัดแสดงไฟประดับด้วย

ทำนบน้ำนิรากะมิเซกิ (Niragamizeki Weir)

ด้วยพื้นที่กว้างขวางทำให้แถวนี้มีสถานที่และวิธีการชมซากุระที่น่าสนใจจำนวนมาก ทั้งนั่งดื่มด่ำริมแม่น้ำ นั่งเรือชมทิวทัศน์ เดินขึ้นไปชมวิวมุมสูงจากบนสะพาน เพลิดเพลินคาเฟ่ริมแม่น้ำ หรือเดินเล่นในสวนก็เหมาะ ประกอบกับบรรยากาศก็โปร่งโล่งไม่แออัด จึงถือเป็นพื้นที่ที่เหมาะกับการมาเยียวยาความเหนื่อยล้า ใครที่รักการชมซากุระต้องมาให้ได้สักครั้งจริงๆ นะ!  

สะพานชิบาตะเซนโอเคียว (Shibata Senokyo Bridge) ภาพ: www.facebook.com/hitomesenbonzakura/

Funaoka Castle Ruins Park

เดินเลาะแม่น้ำชิโรอิชิมาเรื่อยๆ จะพบกับอีกจุดชมซากุระสวนสาธารณะปราสาทเก่าฟุนาโอกะที่ได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในร้อยจุดชมซากุระที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น ซากุระบางต้นของที่นี่มีอายุมากกว่า 90 ปี สวนค่อนข้างกว้างจึงมี Walking Map แจกให้ผู้มาเยือนเดินตามได้ง่ายๆ ทั้งรูทชมดอกไม้ รูทชมสถานที่ทางประวัติศาสตร์ เป็นต้น

ภาพ: www.facebook.com/hitomesenbonzakura/photos/

ไฮไลท์ของสวนนี้คือ Slope Car รถรางระยะทาง 305 เมตรพาลัดเลาะผ่านอุโมงค์ต้นซากุระสวยหวานที่กำลังบานสะพรั่ง จากด้านบนสโลปคาร์สามารถมองเห็นวิวซากุระเรียงรายสวยตระการตา ก่อนจะไปสิ้นสุดที่สวนดอกไม้และรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมบนเขา (Funaoka Heiwa Kannon)

วิวพาโนรามาจากจุดชมวิว Momi no Ki wa Nokotta ภายในสวน

Date no Gyutan

ภาพ: www.dategyu.jp/en/restaurant/

อิ่มอกอิ่มใจไปกับดอกซากุระสวยๆ แล้ว นั่งรถไฟต่อมาอิ่มท้องที่ร้านลิ้นวัวชื่อดังในเมืองเซนได ที่นี่เป็นร้านเก่าแก่ก่อตั้งมายาวนานตั้งแต่ปี ค.ศ. 1991 ปัจจุบันมีสาขาอยู่ทั่วประเทศ มาถึงถิ่นทั้งทีก็ขอไปที่สาขาแรกที่เพิ่งรีโนเวทใหม่ มีเมนูที่ปรุงจากลิ้นวัวให้เลือกเยอะทีเดียว ทั้งลิ้นวัวย่างแบบธรรมดา ลิ้นวัวซาชิมิ สตูว์ลิ้นวัว แกงกะหรี่ลิ้นวัว และเมนูลิ้นวัวกินเล่นอื่นๆ แต่ถ้าอยากกินหลายอย่างก็แนะนำให้สั่งแบบคอร์สจัดเต็มไปเลย

แกงกะหรี่ลิ้นวัว มีทบอลลิ้นวัว ภาพ: www.dategyu.jp/en/menu/

Hotel Metropolitan Sendai 

โรงแรมในเครือ JR มาพร้อมโลเคชั่นติดสถานีเซนไดจำนวน 2 แห่ง ได้แก่ ฝั่ง East และ West เราพักที่เซนไดฝั่งตะวันตกเลยเดินออกจากสถานีทางออกตะวันตกเพียง 1 นาทีเท่านั้น เราชอบที่ต่อรถสาธารณะไปไหนมาไหนสะดวก อีกทั้งยังรายล้อมไปด้วยร้านค้า ร้านอาหาร และห้างสรรพสินค้าหลายแห่ง

ที่นี่ให้บริการห้องพักหลากหลายรูปแบบทั้งสไตล์โมเดิร์นและญี่ปุ่น อินทีเรียภายในได้แรงบันดาลใจจากประเพณีและวัฒนธรรมท้องถิ่น เช่น เทศกาลทานาบาตะ เมืองแห่งต้นไม้เซนได ฤดูกาลทั้งสี่ของโทโฮคุ เป็นต้น ภายในห้องมีสิ่งที่ช่วยให้การพักผ่อนสบายขึ้นหลายอย่าง อาทิ เครื่องชงกาแฟแคปซูล สมาร์ทโฟน ตู้เซฟ ของใช้จำเป็นอื่นๆ ห้ามพลาดอาหารเช้าแบบบุฟเฟ่ต์กว่า 80 รายการ แนะนำว่าให้ซื้อควบคู่ตั้งแต่ตอนจองห้องพักเลยจะคุ้มกว่า 

DAY 3 / มิยากิ 

หรรษาวันสุดท้ายขอตะลอนเช็คอินแหล่งท่องเที่ยวหลากสไตล์ในจังหวัดมิยากิ ได้สัมผัสทั้งประวัติศาสตร์ ธรรมชาติ และที่สำคัญเลยคือไม่พลาดชิมของอร่อยประจำเมือง

Sendai Asaichi Morning Market

เดินจากโรงแรมไปราว 4 นาที จะพบกับตลาดเช้าเก่าแก่ที่มีมานานตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ผลิตภัณฑ์ที่วางจำหน่ายก็ครบครันทั้งผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ และของแห้ง ของกินเล่นก็มี ที่สำคัญคือความสดใหม่และราคาเป็นมิตรมากๆ จึงไม่แปลกที่หากไปแล้วจะเจอคนท้องถิ่นมาแวะเวียนมาเดินจับจ่ายอยู่เสมอ  

ร้านแผงลอยขายไก่คาราอาเกะเจ้าดังที่เคยออกทีวีมาแล้ว!

Shiogama Shrine

ภาพ: www.tohokuandtokyo.org/spot_202/

อีกหนึ่งสถานที่สำคัญของจังหวัดมิยากิที่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นสมบัติของชาติและทรัพย์สินทางวัฒนธรรมของญี่ปุ่น ศาลเจ้าชิโอกามะมีประวัติศาสตร์ยาวนานตั้งแต่ปี ค.ศ. 800 สะดุดตาด้วยสะพานหินสูง 202 ขั้น ตั้งแต่บริเวณทางเข้า ภายในพื้นที่มีสถาปัตยกรรมเก่าแก่ให้ชื่นชมหลายจุด ถ้ามาในฤดูใบไม้ผลิ บรรยากาศของศาลเจ้าจะละมุนขึ้นเพราะบรรดาซากุระหลากสายพันธุ์ราว 300 ต้น กำลังผลิบานอย่างเบิกบาน 

Tsutsujigaoka Park

ภาพ: www.sendai-travel.jp/activities/tsutsujigaoka-park/

เพื่อเพิ่มระดับความหวานของทริป จึงตั้งใจเดินทางไปที่สวนสาธารณะที่ว่ากันว่าป๊อบมากในหมู่คนท้องถิ่น เพราะเดินทางง่ายและซากุระสวยอลังมาก ช่วงเทศกาลฮานามิราวเดือนเมษายน คนจะนิยมมาจับจองพื้นที่ใต้ต้นซากุระและปูผ้านั่งปิกนิกกันอย่างคึกคัก ในสวนมีต้นซากุระหลายสายพันธุ์ โดยเฉพาะสายพันธุ์โซเมโยชิโนะ (Someiyoshino) ที่มีมากกว่า 400 ต้น สังเกตจากกิ่งจะย้อยลงมาให้ผู้คนถ่ายรูปอย่างใกล้ชิด  

ภาพ: www.mytown.mizuho-re.co.jp/mz-sendai-s/340

Taikichi Taiyaki 

เราคุ้นเคยดีกับขนมไทยากิรูปปลาสอดไส้ถั่วแดงที่พบเห็นได้ทั่วไป แต่ไทยากิร้านเล็กๆ หน้าสถานีเซนไดนี้เก๋กว่าใคร เพราะมีไทยากิไส้พิเศษประจำย่านนั่นก็คือ “ไส้ถั่วซุนดะ” หรือถั่วแระญี่ปุ่น ซึ่งเป็นผลผลิตทางการเกษตรอันเลื่องชื่อของมิยากิ นอกจากนี้ยังมีไส้เอาใจวัยรุ่นอย่างคัสตาร์ด ช็อกโกแลต และชาเขียวด้วย

Gyutan no Issen

ภาพ: www.dishes-japan.com/food-and-drinks/

กินขนมไปหนึ่งชิ้นพออยู่ท้อง จากนั้นเดินทอดน่องเที่ยวต่อแถวย่านการค้าอิชิบันโชก็สะดุดตากับทางเดินลงไปชั้นใต้ดินของอาคารแห่งหนึ่ง ดูจากภาพก็รู้ว่าเป็นร้านกิวตัน (ลิ้นวัว) เห็นแล้วน้ำลายสอก็ขอเดินลงบันไดไปตามเสียงหัวใจและท้องที่เรียกร้องอย่างหนัก บรรยากาศในร้านค่อนข้างมืดแต่เต็มไปด้วยคนท้องถิ่น เราสั่งเซ็ตเมนูซิกเนเจอร์คือ “ลิ้นวัวย่าง” เสิร์พพร้อมข้าวและซุปใสที่ใส่เนื้อวัวด้วย 

Ichibancho

อิ่มท้องก็พร้อมเดินต่อ อิชิบันโชเป็นย่านการค้าใจกลางเซนได ประกอบไปด้วยถนนช็อปปิ้งหลายสาย เช่น Clis Road, Sun Mall และ Vlan Dome ซึ่งเต็มไปด้านร้านค้าน่าสนใจ ตรอกร้านอิซากายะอย่าง Iroha Yokocho และ Bunka Yokocho ที่คนนิยมมาสังสรรค์ตอนดึกก็อยู่ในย่านนี้เช่นกัน 

ภาพ: www.facebook.com/クリスロード商店街振興組合-277668515753314/
ภาพ: www.sendai-travel.jp/activities/iroha-yokocho2/

จบทริป ชมซากุระ 3 วันในจังหวัด “ฟุกุชิมะ” และ “มิยากิ” ช่วงฤดูใบไม้ผลิอย่างสำราญใจ แบกพลังแห่งความสุขสดใสกลับไปแบบเต็มเปี่ยม ใครที่กำลังรู้สึกเหนื่อยล้า บอกเลยว่าลองตีตั๋วมาดูซากุระที่ญี่ปุ่นสักรอบ มันฮีลใจได้จริงๆ จากนั้นใครจะนั่งโทโฮคุชินคันเซ็นกลับไปที่โตเกียวสามารถใช้บัตรโดยสารใบเดิมสำรองที่นั่งได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ เพิ่ม หรือหากจะไปเที่ยวจังหวัดอื่นในโทโฮคุต่อก็ยังสามารถใช้บัตรนี้โดยสารรถไฟได้ไม่อั้นจนครบ 5 วันตามอายุการใช้งานบัตร

 

ข้อมูลบัตรโดยสาร JR EAST PASS (Tohoku area)

ชมซากุระ “ฟุกุชิมะ” และ “มิยากิ” ในฤดูใบไม้ผลิแบบคุ้มค่า ต้องมีบัตรโดยสาร JR EAST PASS (Tohoku area) ซึ่งใช้แทนตั๋วสำหรับโดยสารรถสาธารณะในเส้นทาง JR EAST Lines ที่ใช้นั่งทั้งชินคันเซ็น รถไฟท้องถิ่น รถไฟท่องเที่ยว Joyful Train (บางขบวน) รวมถึงสามารถใช้โดยสารรถ JR BUS TOHOKU นั่งรถไฟ Narita Express จากสนามบินนาริตะ หรือ Tokyo Monorail จากสนามบินฮาเนดะได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม มีใบเดียวเที่ยวได้ทั่วโทโฮคุเลย

ราคา: ผู้ใหญ่ 20,000 เยน, เด็ก 10,000 เยน
เงื่อนไข: ต้องใช้ 5 วัน ติดต่อกัน
จุดจำหน่าย: ซื้อผ่านเครื่องจำหน่ายตั๋วบางสถานี, เคาน์เตอร์จำหน่ายตั๋ว หรือซื้อผ่านเอเจนซี่ในประเทศไทย
วิธีสำรองที่นั่ง: ตั้งแต่ 27 มิถุนายน ค.ศ. 2021 เป็นต้นไป สามารถซื้อและสำรองที่นั่งออนไลน์ได้ทางเว็บไซต์ JR-EAST Train Reservation และไปออกตั๋วฉบับจริงได้ที่ตู้อัตโนมัติภายในสถานีรถไฟที่มี Passport Reader
วิธีใช้งาน: สอดบัตรโดยสารกับเครื่องตรวจตั๋วอัตโนมัติของสถานีรถไฟได้เลย
รายละเอียดเพิ่มเติม: www.jreast.travel/th/index.php