White & Warm Tohoku : สัมผัสเสน่ห์ช่วงฤดูหนาวของโทโฮคุผ่านหิมะขาวและอาหารอร่อยตลอด 5 วัน 4 คืน ใน 4 จังหวัด

สัมผัสเสน่ห์ช่วงฤดูหนาวของ โทโฮคุ ผ่านหิมะขาวและอาหารอร่อยตลอด 5 วัน 4 คืน ใน 4 จังหวัด ☃🍱

โทโฮคุ เป็นภูมิภาคที่เต็มไปด้วยธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ทั้งภูเขาและท้องทะเล นอกจากซากุระกับใบไม้เปลี่ยนสีก็ยังมีหิมะหนาฟูทุกปี เรียกได้ว่ามีวิวทุกแบบที่ชาวไทยชื่นชอบ โดยคราวนี้เราจะพาทุกคนไปรู้จักกับเสน่ห์ของภูมิภาคนี้ในช่วงฤดูหนาวผ่านเขาและทะเลของ 4 จังหวัด ได้แก่ มิยากิ นีงาตะ ยามากาตะ และฟุกุชิมะ เห็นหิมะขาวอาจจะดูหนาวไปสักหน่อย แต่ที่นี่มียังออนเซ็นดีๆ มากมายไม่แพ้สกีรีสอร์ท ที่สำคัญรับรองว่า โทโฮคุ รอต้อนรับทุกคนด้วยความอบอุ่นและความอร่อยของอาหารดังในท้องถิ่นแน่นอน!

ร้านอาหารและคาเฟ่ muran gozzo cafe

ลงจากรถชินคันเซ็น เดินออกมานอกสถานี Echigo-Yuzawa แค่ 3 นาที ก็จะได้พบกับ muran gozzo cafe ร้านอาหารที่รวมของดีในท้องถิ่น เช่น ข้าวพันธุ์โคชิฮิคาริและเห็ดนาเมโกะมานำเสนอในแต่ละเมนูให้เราได้ชิม นอกจากจะเน้นใช้วัตถุดิบในจังหวัด ยังพยายามผสมผสานวัฒนธรรมการกินที่สะท้อนให้เห็นถึงชีวิตที่อยู่ร่วมกับหิมะ เช่น ของหมักดอง อาหารตากแห้งต่างๆ เรียกได้ว่าสัมผัสความเป็นนีกะตะได้ในทุกคำ

อาหารของร้านจะเป็นแบบฟิวชั่น ทันสมัยและน่าสนใจ ทั้งมื้อกลางวันและเย็นเป็นอาหารแบบคอร์สซึ่งควรจองโต๊ะก่อนล่วงหน้า เราลอง Lunch Course ราคา 2,750 เยน ซึ่งมีปลาบุริจากทะเลญี่ปุ่นแถบเกาะซาโดะกับหมูหมักชิโอะโคจิให้เลือก ของหวานก็อร่อยละมุน ใครกินเสร็จแล้วแนะนำให้ลองแวะคาเฟ่กับร้านค้าที่อยู่ ณ ชั้น 1 เพราะเขามีของดีนีงาตะขายมากมาย คาเฟ่ก็มีขนมน่ากินหลากหลาย สายคาเฟ่หรือคนที่ไม่ได้มองหาอาหารมื้อหลัก ควรมาชิมโรลเค้กและพุดดิ้งออนเซ็นนะ เป็นการเริ่มต้นทริปที่ดีมากเลย

Glamping ท่ามกลางหิมะขาวที่ Ishiuchi Maruyama Ski Resort

แน่นอนว่าเมื่อไหร่ที่อยากเล่นสกีหรือสโนว์บอร์ดใกล้ๆ โตเกียวต้องคิดถึง Echigo Yuzawa ก่อน ด้วยเพราะเดินทางสะดวก นั่งชินคันเซ็นแค่ 80 นาทีก็ถึง Ishiuchi Maruyama Ski Resort เป็นลานสกีขนาดใหญ่ระดับต้นๆ ของประเทศ แถมยังเป็นสถานที่สำหรับการซ้อมโอลิมปิก แม้จะเปิดให้บริการมานานแต่ก็ขยันอัพเดทสิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ

เมื่อเดือนธันวาคม ค.ศ. 2020 ที่ผ่านมาเขาเพิ่งเปิดโซนใหม่ Snow Garden ที่มี Snow Dome Tent และ Terrace ให้นั่งเล่นชิลล์ๆ สไตล์แกลมปิ้งที่กำลังนิยมกัน เหมาะมากสำหรับคนที่อยากสนุกไปกับหิมะโดยไม่ต้องเล่นสกีหรือสโนว์บอร์ด สำหรับเต็นท์โดมมี 2 ขนาดคือเล็ก (สูงสุด 4 คน) และใหญ่ (สูงสุด 8 คน) สามารถสั่งขนมและเครื่องดื่มกรุบกริบจากคาเฟ่มานั่งกินในเต็นท์ได้เลย แถมยังเล่นกิจกรรมต่างๆ เช่น เรือห่วงยางหิมะหรือลากเลื่อนได้ฟรี

ค่าใช้บริการส่วนของ Snow Garden คือ 1,500 เยน โดยสามารถใช้โดมได้นาน 60 นาที (ต่อเวลาได้แต่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม) จะซื้อเป็นแพ็กเกจ 3,000 เยนที่รวมค่าสกีลิฟต์ไปกลับด้วยก็ได้ สะดวกดี แต่อย่าลืมจองล่วงหน้านะ เพราะน้องป๊อบมาก บรรยากาศโคซี่อุ่นๆ นั่งทอดหุ่ยมองวิวหิมะขาวโพลนพลางจิบกาแฟสบายๆ ใครล่ะจะไม่อยากไป

Ponshukan สาขา Echigo Yuzawa

หนีหนาวมาทำให้ร่างกายอบอุ่นด้วยสาเกญี่ปุ่นกันดีกว่า กลับมาที่สถานี Echigo-Yuzawa อีกครั้ง คราวนี้เป้าหมายของเราอยู่ที่ร้าน Ponshukan ซึ่งมีสาเกของนีงาตะให้ลองชิมมากกว่า 100 ชนิด นีงาตะเป็นจังหวัดที่โด่งดังเรื่องข้าวอร่อยแถมน้ำดีเลยทำให้ผลิตสาเกมีคุณภาพเป็นที่ยอมรับ มีผลสำรวจบอกว่าจังหวัดนีงาตะดื่มสาเกเยอะที่สุดในญี่ปุ่นเลยด้วย

คนที่ไม่จิบสาเกก็แวะมาดูได้เพราะด้านในเหมือนมิวเซียมที่รวมโรงบ่มสาเกท้องถิ่นไว้มากมาย รูปแบบการนำเสนอก็เก๋ไก๋สมเป็นญี่ปุ่นเพราะเป็นตู้หยอดเหรียญสนุกๆ ค่าเข้าชมฟรีแต่ถ้าอยากลองจิบจ่ายเพียง 500 เยน ก็จะได้รับ 5 เหรียญมาหยอดได้ตามอัธยาศัย ด้านนอกของ Ponshukan มีสินค้าของดีในท้องถิ่นขายมากมาย แวะชมที่นี่แล้วช็อปปิ้งต่อด้านนอกได้สมกับชื่อคอนเซ็ปต์ All Local, All Niigata

Sushi Benkei สาขา Pier Bandai

ปิดท้ายการท่องเที่ยวในวันแรกสวยๆ ด้วยซูชิสดใหม่ในราคามิตรภาพที่ร้าน Sushi Benkei นีงาตะนั้นนอกจากจะดังเรื่องข้าว อาหารทะเลเขาก็สดมากสมเป็นเมืองติดทะเล ร้านนี้ใช้ปลาและอาหารทะเลอื่นๆ ที่จับโดยชาวประมง เมื่อนำโปรตีนชั้นดีมาโปะบนข้าวชั้นเลิศ ซูชิก็อร่อยอย่างลงตัว 

ที่สำคัญร้านนี้ราคาไม่แพง เซ็ตรวมดาวที่เราสั่งเรียกได้ว่ามีของโปรดชาวไทยครบ แถมมี Nodokuro ปลาดังประจำเมืองซึ่งหากินที่อื่นยากแต่ขายในราคาเพียง 2,400 เยน เท่านั้น ส่วนแบบจานเดี่ยวบนสายพานราคาเริ่มต้นที่ 140 เยน ราคาดีอาหารมีคุณภาพขนาดนี้เลยเป็นร้านโปรดของคนในท้องถิ่น ที่นั่งมีทั้งแบบหน้าเคาน์เตอร์สายพานและแบบนั่งโต๊ะ บนโต๊ะมีแท็บเล็ตสำหรับสั่งอาหาร มาที่นี่ง่าย สะดวก สด อร่อย 

Yumotoya

คืนนี้พักผ่อนกันที่เรียวกังสุดโอ่อ่าและโอ่โถง Yumotoya ที่นี่ห้องใหญ่อยู่สบาย ฟุตงนุ่มชวนให้หลับสนิท ส่วนใครไม่ชอบนอนฟูกเขาก็มีห้องแบบเตียงให้เลือกโดยยังคงบรรยากาศแบบญี่ปุ่นดั้งเดิมเอาไว้ ที่สำคัญมีห้องอาบน้ำรวมขนาดใหญ่ทั้งแบบอินดอร์และเอาท์ดอร์ ถูกใจคนชอบแช่ออนเซ็น ก่อนออกเดินทางมีบุฟเฟ่ต์อาหารเช้าสุดยิ่งใหญ่อลังการที่รวมของดีในท้องถิ่นเอาไว้ กินอิ่มอร่อยสนุกสุดๆ สายหวานห้ามพลาดไอศกรีมในตู้บริเวณล็อบบี้ อร่อยและราคาย่อมเยา

Imayotsukasa Brewery

อรุณเบิกฟ้า แวะมาเรียนรู้วัฒนธรรมการหมักการบ่มสาเกที่เป็นสินค้าโอท็อประดับท็อปของจังหวัดนีกะตะกันที่ Imayotsukasa Brewery โดยที่นี่มีทั้งความเชี่ยวชาญและคร่ำหวอดในวงการสาเกมากว่า 100 ปี คติประจำใจก็คือ Linking The Past and The Present เลยเปิด Brewery Tour ให้คนเข้ามาชมการผลิตและวิวัฒนาการของแบรนด์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ทัวร์สั้นๆ ให้ความรู้กำลังดี มีโรงกลั่นเก่าแก่สุดเท่ให้คนถ่ายรูปเป็นที่ระลึกด้วย ปิดทัวร์ด้วยมุมจิบฟรีที่นำสาเกปราศจากแอลกอฮอล์มาให้เราได้ทำความคุ้นเคยกับเครื่องดื่มเก่าแก่ประจำถิ่น นอกจากนี้ยังมีสาเกแปรรูปเป็นไอศกรีมหอมๆ ที่หวานอร่อย ไม่ว่าใครก็แวะมาเรียนรู้วัฒนธรรมที่นี่ได้อย่างเพลิดเพลิน

ข้าวหน้าหมูทอดร้าน Nakajima

บ๊ายบายนีงาตะ ข้ามมาที่เมืองไอสึวากามัตสึในจังหวัดฟุกุชิมะกันบ้าง ประเดิมจังหวัดใหม่ด้วยมื้อเที่ยงสุดไฉไลอร่อยนุ่มหมูเนื้อฉ่ำซอสเข้มข้นของร้าน Nakajima ซึ่งเป็นร้านหมูทอดดังประจำถิ่นที่เชิดหน้าชูตามายาวนานกันถึง 3 รุ่น

หมูทอดคัตสึด้งของร้านนี้โดดเด่นที่ความใส่ใจในวัตถุดิบ เนื้อหมูที่เลือกใช้เป็นหมู Yongenmoto ที่ผ่านการพัฒนามาจากหมู 4 สายพันธุ์จนมั่นใจว่าได้เนื้อหมูนั้นมีคุณภาพสูง ซอสที่ราดเป็นสูตรลับที่สืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่น รสอาจจะแตกต่างกับคัตสึด้งที่ชาวไทยคุ้นเคยแต่มั่นใจว่าน่าประทับใจไม่แพ้กันแน่นอน ซุปก็พิเศษเพราะเขาให้เชฟผู้เชี่ยวชาญมาเป็นผู้คิดสูตรซุปให้เข้ากับข้าวหน้าหมูทอด อีกทั้งที่นี่ยังมีเมนูให้เลือกหลากหลาย ทั้งหมูสันใน สันนอก และเนื้อไก่ ใครอยากกินข้าวหมูทอดแกงกะหรี่ ที่นี่ก็มีเตรียมไว้ให้เสร็จสรรพ ที่สำคัญราคาดีอย่างข้าวหน้าหมูทอดนี้ก็เริ่มต้นที่ 1,280 เยน เท่านั้น

หมู่บ้าน Ouchi-juku

แน่นอนว่ามาเที่ยวไอสึวากามัตสึทั้งทีก็ต้องแวะที่ Ouchi-juku หมู่บ้านโบราณบรรยากาศแบบสมัยเอโดะ โออุจิจุกุตั้งอยู่บนเขาไม่ไกลกับ Ashinomaki Onsen นั่งบัสจากสถานี Yunokamionsen ใช้เวลาราว 30 นาที ก็จะวาร์ปมาสู่บรรยากาศแบบญี่ปุ่นสมัยก่อน ในอดีตที่นี่เคยเป็นเมืองพักแรมของนักเดินทางที่ใช้เส้นทางไอสึนิชิไคโดที่เชื่อมไอสึและนิกโก้เข้าไว้ด้วยกัน ปัจจุบันได้รับการอนุรักษ์ในฐานะอาคารที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ คนที่ชอบสถาปัตยกรรมแบบโบราณน่าจะปลื้มใจที่ได้มาชมอย่างใกล้ชิด

แม้พื้นที่ของโออุจิจุกุจะไม่ใหญ่มากนัก ถนนเส้นหลักยาวประมาณ 50 เมตร แต่ก็เต็มไปด้วยร้านค้าต่างๆ ทั้งร้านอาหาร (เมนูแนะนำคือ Negi Soba ที่เสิร์ฟพร้อมต้นหอมญี่ปุ่นอันเขื่อง) คาเฟ่เก๋ๆ ร้านขายของฝาก งานฝีมือและผลิตภัณฑ์จากวัตถุดิบในท้องถิ่น และมีที่พักให้เราได้ลองนอนในบ้านโบราณ ข้อดีอีกอย่างของที่นี่ก็คืออากาศและธรรมชาติชวนให้รู้สึกสดชื่นมากๆ จะมาฤดูไหนก็ดีงาม แต่วิวซิกเนเจอร์ที่อยากแนะนำก็ต้องภาพหิมะขาวนวลตานี่แหละ อย่าลืมไปถ่ายรูปบนจุดชมวิวด้านในสุดของหมู่บ้านนะ

Urabandai Lake Resort

นี่คือหนึ่งในโรงแรมที่เราประทับใจมากที่สุดแห่งหนึ่งในทริปนี้ Urabandai Lake Resort ตั้งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติโลเคชั่นใกล้กับทะเลสาบหลายแห่ง ห้องพักกว้างขวางมาก มีทั้งแบบญี่ปุ่นและตะวันตกให้เลือก ออนเซ็นก็ใหญ่โตตามขนาดโรงแรม บ่อเอาท์ดอร์มองเห็นวิวธรรมชาติสวยสุดๆ มื้อเย็นที่นี่ยิ่งใหญ่อลังการ ไลน์บุฟเฟ่ต์หลากหลายมีทั้งญี่ปุ่น อิตาเลียน จีน ถูกปากชาวไทยแน่นอน

ข้อดีอีกอย่างของโรงแรมนี้คือมีร้านขายของฝากขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยสินค้านานาชนิดของฟุกุชิมะตั้งแต่ของกิน ของใช้ สินค้างานฝีมือ เรียกได้ว่าช็อปที่นี่ที่เดียวก็เอาอยู่ แถมมีร้านกาแฟชิคๆ ที่ชั้น 1 ด้วย คอกาแฟปลื้มแน่นอน

Snow Shoes Trekking ที่ทะเลสาบ 5 สี (Goshikinuma Ponds)

ความพิเศษของโรงแรม Urabandai Lake Resort ที่แอบอุบเอาไว้สำหรับผู้เข้าพักเท่านั้นคือกิจกรรมใส่สโนว์ชูส์เดินลุยหิมะชมทะเลสาบสวยๆ ที่มีไกด์ผู้เชี่ยวชาญนำทางอย่างสนุกสนานและปลอดภัย สามารถลงทะเบียนเข้าร่วมได้เลยโดยไม่ต้องเตรียมอุปกรณ์ใดใดมา เพราะเขาจัดไว้ให้แล้วทั้งรองเท้ากับอุปกรณ์เซฟตี้ต่างๆ เดินเพลินๆ ท่ามกลางธรรมชาติ 2.5 ชั่วโมง ราคาเพียง 4,900 เยน

ในเส้นทางที่พี่ไกด์จะพาเดินนั้นมีทั้งผ่านทะเลสาบสวยๆ ที่เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟบันไดในอดีต น้ำแต่ละบ่อคนละสีเพราะแร่ธาตุต่างกัน แต่ละแห่งต่างมีความสวยงามในแบบของตนเอง แต่มุมไฮไลต์ต้องยกให้ Ao-Numa (อาโอนุมะ) สีฟ้าสดใสตัดกับหิมะขาว เห็นแล้วชื่นใจชวนให้วิ่งเข้าไปถ่ายรูป เดินไปมาแป๊บๆ หมดเวลาโดยไม่รู้ตัว นับเป็นกิจกรรมยามเช้าท่ามกลางธรรมชาติที่ทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่าและเบิกบานจริงๆ

เนื้อวัวโยเนซาวะที่ร้าน Kongoukaku

เดินเยอะก็ต้องเติมพลังด้วยอาหารอร่อยๆ ย้ายจากฟุกุชิมะมาที่ยามากาตะกัน สายเนื้อห้ามพลาดร้านนี้โดยเด็ดขาด เพราะเนื้อโยเนซาวะเป็นของดีประจำจังหวัดยามากาตะที่อร่อยไม่แพ้เนื้อวากิวที่อื่น

ร้าน Kongokaku เป็นร้านวากิวขนาดใหญ่ในอาคาร 4 ชั้นที่แบ่งแต่ละชั้นเป็นร้านแยกตามวิธีปรุง ได้แก่ เนื้อย่าง, สุกี้-ชาบูชาบู และสเต็ก ร้านนี้มีชื่อเสียงในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อวัวพร้อมกับสืบทอดเทคนิคในการคัดเลือกเนื้อคุณภาพสูงมาตั้งแต่สมัยไทโชที่ 12 (ค.ศ. 1923) นอกจากเรื่องความพิถีพิถันในการเลือกเฟ้นเนื้อวัวชั้นดีรสอร่อย ยังได้รับการรับประกันคุณภาพ ISO 22000 ซึ่งเป็นระบบการจัดการความปลอดภัยที่มีมาตรฐานเกี่ยวข้องกับเรื่องของอาหารอีกด้วย

เนื้อชั้นดี การจัดการชั้นเลิศ ทว่าราคาเอื้อมถึงได้ ราคาเซ็ตเนื้อย่างพร้อมข้าว ซุป และสลัดสำหรับมื้อกลางวันเริ่มต้นที่ 2,530 เยน เท่านั้น (ในภาพเป็นเซ็ตเนื้อย่างราคา 3,300 เยน) คนที่ไม่กินเนื้อก็สามารถแวะมาได้อย่างสบายใจ เพราะเขามีอาหารทะเลสดใหม่คุณภาพดีไม่แพ้เนื้อย่างรอต้อนรับ การเดินทางก็แสนสะดวก ใช้เวลาเดินจากสถานีรถไฟไม่ไกลเลย

Dondendaira Snow Park

ที่นี่เป็นสวนหิมะแสนสนุกในจังหวัดยามากาตะซึ่งเริ่มเปิดให้บริการมาตั้งแต่ ค.ศ. 2018 ที่นี่มี 3 กิจกรรมหลักให้เลือก ได้แก่ บานาน่าโบ๊ท, สโนว์โมบิล และโซนเลื่อนหิมะ สำหรับชาวไทยที่คุ้นเคยกับบานาน่าโบ๊ทในทะเล น่าจะสนุกไปกับการลองเกาะเรือกล้วยรูปแบบใหม่บนกองหิมะ สโนว์โมบิลก็เพลินมากแถมไม่ต้องขี่มอเตอร์ไซค์เป็นมาก่อนก็เล่นได้ มีสตาฟคอยแนะนำวิธีขับให้อย่างดี โซนไถหิมะก็มีทั้งห่วงยางและถาดพลาสติกให้เลือกตามความสะดวกใจ ถ้าชอบความตื่นเต้นต้องลองไถลห่วงยางจากทางลาดชัดเอียง 40 องศา รับรองว่าไม่น่ากลัวและได้ชมวิวหิมะสีขาวจากมุมใหม่ที่ชวนให้เบิกบานใจสุดๆ

แม้จะไม่รู้ภาษาญี่ปุ่นก็ไม่ต้องกังวลใจไปเพราะเขามีคลิปสอนวิธีเล่นเครื่องเล่นแต่ละชนิด ได้ข่าวว่ากำลังเตรียมทำเวอร์ชั่นภาษาไทยด้วย ที่นี่เปิดเฉพาะวันเสาร์ อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ในเดือนมกราคมถึงมีนาคมของทุกปีเท่านั้น ค่าใช้บริการก็มีหลายแพ็กเกจ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่เว็บไซต์ได้เลย

ร้านขายของฝาก Good Yamagata (Yamagataken Kankobussan Kaikan)

ร้านขายของฝากที่รวมของดีทุกแขนงในจังหวัดและเมืองอื่นๆ แถบ โทโฮคุ ไว้ในร้านเดียว Good Yamagata เป็นอาคารชั้นเดียวขนาดกว้างขวางมีสินค้าให้เลือกซื้อกว่า 4,000 ชนิด ไม่ว่าจะเป็นของกิน ของใช้ งานฝีมือต่างๆ นอกจากจะมีความหลากหลาย ราคายังดีมากๆ และถ้าอาคารหลักยังไม่จุใจเขาก็มีอาคารข้างๆ ที่เน้นขายของสดซึ่งเป็นผลผลิตทางการเกษตรของจังหวัด แอบบอกว่าแอปเปิ้ลที่นี่ราคาย่อมเยา จะซื้อกินระหว่างทริปก็นับเป็นไอเดียที่ดี คนท้องถิ่นแนะนำนมเปรี้ยวกับโยเกิร์ตซึ่งก็ดีมากเช่นกัน  ถ้าคิดไม่ออกว่าจะซื้ออะไรดีส่วนตัวเราแนะนำผลไม้ต่างๆ เช่น เชอร์รี่ แอปเปิ้ล สตรอว์เบอร์รีเพราะเป็นของดัง จะซื้อแบบของสดหรือน้ำผลไม้ก็ดีงาม นอกจากนี้ขนมโมจิไส้สตรอว์เบอร์รีร้าน Choeido ก็อร่อยฟิน สรุปคือแวะที่นี่ที่เดียวก็ช็อปได้จุใจ

Tendo Hotel

Tendo Hotel เป็นอีกหนึ่งโรงแรมสไตล์เรียวกังที่สวยสง่าจับใจ ห้องโถงกลางมองออกไปเห็นวิวน้ำตกด้านนอกซึ่งเชื่อมกับออนเซ็นที่อยู่ชั้นล่าง จะชมความงามจากมุมไหนก็ได้ ห้องพักสะอาดโอ่โถงอยู่สบาย มีแท็บเล็ตให้คุยกับ AI เป็นภาษาอังกฤษ หากใครต้องการความช่วยเหลือเรื่องทั่วไป แนะนำสำหรับผู้ชอบเฟอร์นิเจอร์แบบหรูหราให้เลือกห้องพักแบบพรีเมียมที่ผสมผสานสไตล์ญี่ปุ่นและตะวันตกได้อย่างลงตัวแถมยังมีจากุซซี่ในห้อง มื้อเย็นแบบอาหารไคเซกิ (อาหารคอร์สแบบญี่ปุ่น) ที่โรงแรมนี้ก็หรูหราเวรี่เจแปนนีส อร่อยร้องไฮ่แน่นอน

กินอิ่มแล้วใครอยากเดินเล่น ใกล้ๆ โรงแรมมีโซนร้านอิซากายะเปิดใหม่ชื่อ Toyokocho อารมณ์ตรอกที่รวมเอาร้านอร่อยเล็กๆ บรรยากาศเป็นกันเองมาอยู่รวมกันให้ฮอปปิ้งได้สะดวก

ZAO Ropeway

แป๊บๆ ก็เข้าสู่วันที่ 4 แล้ว วันนี้เรามีนัดกับ Snow Monsters ที่ภูเขาซาโอ้ (Mt. Zao) เจ้าปีศาจหิมะที่ว่านี้เกิดจากหิมะเกาะตัวบนต้นสนจนกลายเป็นรูปทรงประหลาดตาชวนให้คิดว่าเป็นปิศาจ ด้วยความเป็นวิวที่หาชมได้ยากเลยป๊อบมากในหมู่นักท่องเที่ยวทั้งในและนอกประเทศ มีเทศกาล Zao Juhyo Festival จัดขึ้นทุกปี รวมไปถึงอีเว้นท์อื่นๆ เช่น Illumination, Winter Night Cruising และ Snow Shoes ในช่วงฤดูหนาวที่นี่คือลานสกียอดนิยมที่มาพร้อมกับ 12 คอร์ส 14 สโลบให้เล่น เส้นที่ยาวที่สุดยาวถึง 10 กม. สโลบชันที่สุดก็ชันถึง 38 องศา แถมยังมีวิวเท่ๆ ของ Snow Monsters ล้อมรอบ ไม่ว่าใครก็ต้องอยากมา  

แต่คนที่ไม่เล่นสกีหรือสโนว์บอร์ดก็ไม่ต้องกังวลไปเพราะคุณ Ropeway พร้อมพาชมวิวจากมุมสูงอย่างช้าๆ เราเริ่มนั่งจาก Zao Sanroku Station ไปยัง Juhyo Kogen Station ใช้เวลาประมาณ 7-8 นาที ออกไปเดินเล่นได้นิดหน่อย มีห้องน้ำ ห้องนั่งรอโรปเวย์ และร้านอาหาร จากนั้นค่อยนั่ง Jizo Sancho Station ประมาณ 10 นาที ก็ถึงที่หมาย ที่นี่มีรูปปั้นจิโซขนาดใหญ่ให้เดินไปไหว้ด้วย แต่ถ้าทนหนาวไม่ไหวจริงๆ เรียนเชิญที่ร้านอาหารด้านในอาคาร นอกจากนี้ยังมีเซียมซีจิโซขายด้วยนะ เสี่ยงดวงบนยอดเขาท่ามกลางหิมะขาวก็เก๋ใช่ย่อย ไหนๆ วันนี้อากาศไม่ดีมองไม่ค่อยเห็น Snow Monsters ตามที่ตั้งใจก็ขอหากิจกรรมทำสักเล็กน้อย ปิศาจหิมะที่นี่ไม่ใจร้ายแต่อาจจะขี้อาย เจอตัวยากอยู่สักหน่อย อย่าลืมเช็คสภาพอากาศก่อนเดินทางนะ

ลิ้นวัวร้าน Date no Gyutan Honpo

กลับเข้าเมืองมาหาของอร่อยกินกันดีกว่า มื้อกลางวันนี้ขอฝากท้องไว้กับ Date no Gyutan Honpo ร้านลิ้นวัวชื่อดังประจำเมืองเซ็นไดในจังหวัดมิยากิ ร้านนี้เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1991 และเป็นเจ้าแรกที่ผลิตลิ้นวัวจนได้รับการยอมรับในฐานะของขวัญหรือของฝากชั้นดี 

เมนูดังของร้านคือ Shintan เป็นลิ้นที่ผ่านการคิดค้นสูตรและวิธีการปรุงจนได้คุณภาพและรสชาติตามที่ต้องการ ชินตันเป็นลิ้นแผ่นหนาที่ไม่เหนียว เคี้ยวง่าย และถูกย่างมาอย่างดี น่าประทับใจทั้งรสชาติและรสสัมผัส เครื่องเคียงก็ไฮโซไม่แพ้กันมีนัมบังมิโสะซึ่งเป็นเครื่องเคียงที่มีเฉพาะในร้านลิ้นวัว ราคาแพงมากเพราะมีคนทำน้อย รสเผ็ดช่วยตัดเลี่ยนได้เยี่ยม กินด้วยกันพร้อมกับซุปใสคือลงตัว เมนูที่นี่มีหลากหลาย เซ็ตชินตันที่เราเลือกวันนี้ราคาเพียง 2,750 เยน ใครกินแล้วติดใจ ที่ร้านยังมีสินค้าต่างๆ ขายแบบซื้อกลับด้วยนะ

JR Fruit Park Sendai Arahama

เซ็นไดเป็นเมืองใหญ่ที่ชาวไทยส่วนมากรู้จักและเคยมาเที่ยว แต่หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าที่นี่มีผลไม้แสนอร่อยให้เก็บกินสดๆ จากต้นด้วย ซึ่งจุดเก็บผลไม้แห่งใหม่ที่เราอยากแนะนำให้รู้จักก็คือ JR Fruit Park Arahama

แต่เดิมบริเวณนี้เคยได้รับความเสียหายจากสึนามิเมื่อปี ค.ศ. 2011 แม้ปัจจุบันจะห้ามคนอยู่อาศัยแต่ก็ใช่ว่าจะปล่อยทิ้งไว้เฉยๆ โดยพื้นที่ผ่านการถูกปรับปรุงเพื่อการเพาะปลูกผลไม้อร่อยๆ ให้คนได้แวะมาเก็บและเยี่ยมชม นอกจากจะเดินทางสะดวกที่นี่ยังมีผลไม้ให้เก็บตลอดปี โดยจะเปลี่ยนชนิดตามฤดูกาล เช่น บลูเบอร์รี่, องุ่น, ลูกแพร์, แอปเปิ้ล และกีวี่ สำหรับตอนนี้มีสตรอว์เบอร์รีสีแดงสดหลายสายพันธุ์ให้ลองกิน เช่น Koi Minori, Nikoniko Berry และ Amae Kubo ข้อดีอีกอย่างของที่นี่คือเรามีโอกาสชิมสตรอว์เบอร์รีหลากหลายที่ไม่ค่อยมีขายตามซูเปอร์มาร์เก็ต ที่สำคัญราคาเป็นมิตรเริ่มต้นที่ 1,600 เยน เก็บกินได้ไม่อั้นตลอด 30 นาที (ราคาแตกต่างกันไปตามแต่ละเดือน) ใครขี้เกียจเก็บเองพุ่งตัวไปโซนขายของและคาเฟ่ได้เลย นั่งกินไอศกรีมพาร์เฟ่ต์รอระหว่างเพื่อนๆ เก็บสตรอว์เบอร์รีก็เพลิดเพลินไม่แพ้กัน

Mitsui Outlet Park สาขา Sendai Port

เอาท์เล็ตเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่อยู่ใกล้หัวใจคนไทยเสมอมา สำหรับ Mitsui Outlet Park สาขา Sendai Port ก็ไม่ทำให้เราผิดหวัง นี่คือเอาต์เล็ตที่ใหญ่ที่สุดใน โทโฮคุ มีร้านค้ามากถึง 120 ร้าน แน่นอนว่ามีทั้งแบรนด์ญี่ปุ่นและแบรนด์ต่างชาติชั้นนำ ผู้ถือบัตรเครดิตของสถาบันการเงินในประเทศไทยบางแห่งมีสิทธิ์รับส่วนลดพิเศษเพิ่มเติมด้วย อีกทั้งยังมีชิงช้าสวรรค์ที่ใหญ่ที่สุดใน โทโฮคุ สูงถึง 50 เมตร และมีอีเว้นท์จัดเป็นระยะๆ ความพิเศษของโลเคชั่นนี้คือการอยู่ระหว่างเซ็นไดกับมัตสึชิมะ ใกล้ตัวเมืองและใกล้ธรรมชาติ นั่งรถไฟจากสถานีรถไฟเซ็นไดเพียง 18 นาที หรือจะตีรถไปสนามบินเซ็นไดเลยก็ใช้เวลาเพียง 16 นาที เท่านั้น แถมยังมองเห็นวิวภูเขาซาโอ้และอยู่ใกล้แหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ ในย่านนี้ด้วย จะแวะระหว่างเที่ยวหรือแวะก่อนกลับก็สะดวก

Hotel Matsushima Taikanso

โรงแรมมัตสึชิมะไทคังโซเป็นโรงแรมหรูอยู่สบายแถมโลเคชั่นดีงาม มีห้องพักทั้งหมด 328 ห้อง ห้องอาหาร 5 แห่ง สิ่งอำนวยความสะดวกครบครันทั้งคาราโอเกะ บาร์ ร้านขายของฝาก สปา และห้องอาบน้ำรวมขนาดใหญ่ที่มีบ่อเอาท์ดอร์วิวฟ้าและน้ำเชื่อมบรรจบกันเป็นไฮไลท์ 

ห้องพักมีหลายแบบตั้งแต่ญี่ปุ่นจ๋ากับผสมผสานทั้งสไตล์ญี่ปุ่นและตะวันตกเข้าด้วยกัน แต่เราขอแนะนำห้องพักฝั่งทะเลเพราะมองเห็นวิวทะเลและหมู่เกาะน้อยใหญ่สวยงามมาก สมแล้วที่ได้รับการยกย่องให้เป็นวิวสวยท็อปทรีของญี่ปุ่น นอกจากนี้อาหารเช้าและอาหารเย็นของโรงแรมนี้น่าประทับใจสุดๆ เป็นแบบบุฟเฟ่ต์ที่มีให้เลือกหลากหลาย รสจัดจ้านถูกใจคนไทย บางวันมีเปียโนบรรเลงให้ฟังสดๆ ด้วย

Matsushima Rikyu

Matsushima Rikyu คือศูนย์การค้าแห่งใหม่ที่ได้รวมสิ่งที่นักท่องเที่ยวต้องการไว้อย่างครบถ้วน ทั้งร้านอาหาร ร้านกาแฟ ร้านขายของฝากและผลิตภัณฑ์ขึ้นชื่อในท้องถิ่น กับดาดฟ้าจุดชมวิวทะเลที่มีเก้าอี้ให้นั่งพักผ่อนหย่อนใจ ด้านหลังมีสวนสไตล์ญี่ปุ่นเรียบเท่มีทั้งต้นเมเปิ้ลและต้นซากุระ ตอนกลางคืนยังมีไลท์อัพที่เปลี่ยนรูปแบบตามฤดูกาล ตัวอาคารสร้างขึ้นตามแบบโรงแรมเก่าแก่ที่เคยมีในอดีต มีกิจกรรมกับเวิร์คช็อปให้ลองทำมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานฝีมือในท้องถิ่น เช่น การวาดตุ๊กตาโคเคชิซึ่งโดดเด่นมากเพราะมีช่างหลายสำนักสลับกันมาสอน สำหรับคอกาแฟขอแอบกระซิบว่าสตาร์บัคส์สาขานี้วิวสวยมาก แค่แวะมานั่งจิบกาแฟมองทะเลก็เพลินแล้ว

Ume Luv Rental Kimono

ยังอยู่กันใน Matsushima Rikyu ที่นี่มีร้านกิโมโนให้เช่าด้วย ค่าเช่าอยู่ที่ 5,500 เยน สามารถเช่าใส่ได้ทั้งวัน และถ้าเพิ่มเงินอีก 500 เยน เขาก็จะทำผมให้ด้วย โดยราคานี้รวมเครื่องประดับ กระเป๋า และรองเท้าเรียบร้อยแล้ว สตาฟให้คำแนะนำเรื่องการเลือกชุด ทรงผม และเครื่องประดับอย่างใจดี แต่งตัวเสร็จหน้าร้านยังมีมุมเสื่อทาทามิให้นั่งถ่ายรูปเล่นก่อนออกไปเดินสวยข้างนอกด้วย

ใส่กิโมโนไปลองย่าง Sasakamaboko – ชมวัด Godaido − จิบมัทฉะที่ Kanrantei

แต่งตัวสวยแล้วต้องออกไปทำกิจกรรมในย่านนี้สักหน่อย เริ่มต้นที่ร้านขายลูกชิ้นปลาชื่อดังของท้องถิ่นอย่าง Matsukama ซึ่งร้านนี้นอกจากจะขายผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของแบรนด์ ยังมีมุมกิจกรรมให้ลองทำหลายอย่างเช่นการนำลูกชิ้นปลามาทำทาโกะยากิและลองตกแต่งลูกชิ้นปลาเสียบไม้ แต่วันนี้เราเลือกลองย่างลูกชิ้นปลาเสียบไม้ (Sasakamaboko) จ่ายเพียง 250 เยน แถมไม่ต้องจองล่วงหน้า ที่สำคัญมีวิธีทำเขียนไว้ชัดเจนที่เตาด้วยภาษาไทย ทำตามง่ายสุดๆ

ได้กินของอร่อยก็มีแรงเดินต่อไปยังวัด Godaido สถานที่สำคัญอีกแห่งของมัตสึชิมะรวมถึงเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของญี่ปุ่นด้วย ดาเตะ มาซามุเนะ (Masamune Date) ได้สั่งให้สร้างวัดไม้เก่าแก่แห่งนี้ในปี ค.ศ. 1604 เพื่อฉลองชัยชนะที่จากการรบที่เซกิกาฮาระ ตัววัดตั้งอยู่บนเกาะเล็กๆ ที่เชื่อมอยู่กับชายฝั่ง เรียกได้ว่าบรรยากาศนั้นเข้ากันกับกิโมโนสุดๆ 

ไหว้พระเสร็จแล้วได้เวลาของหวาน เดินเลียบทะเลมองวิวเพลินๆ เดินไปที่ Kanrantei เรือนชงชาที่ว่ากันว่าเคยเป็นของโทโยโทมิ ฮิเดโยชิ (Hideyoshi Toyotomi) ก่อนจะมอบให้ดาเตะ มาซามุเนะซึ่งย้ายไปที่เอโดะ จากนั้นลูกชายของเขาจึงย้ายมาที่นี่ในภายหลัง ที่ตั้งปัจจุบันแจ่มใจมากเพราะหันหน้าเข้าหาทะเล สมชื่อเรือนเพราะ Kanran นั้นแปลว่า “ชมคลื่น” ปัจจุบันอาคารนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมเป็นที่เรียบร้อย ค่าเข้าชมเพียง 200 เยน เซ็ตขนมหวานกับมัทฉะมีให้เลือกหลายแบบ ราคาอยู่ที่ 500-800 เยน ซึ่งเราเลือกลอง The Matsushima เมนูพิเศษประจำฤดูกาล ความขมของชากับความหวานของขนมเข้ากันได้ดีกับความสวยของทิวทัศน์ตรงหน้าสุดๆ

Hamayaki Grill Rikyu

เปลี่ยนชุดแล้วไปกินอาหารทะเลปิ้งย่างกัน Hamayaki Grill Rikyu เป็นร้านที่อยู่ในศูนย์การค้า Matsushima Rikyu ที่นี่มีอาหารทะเลให้เราเลือกกินหลากหลาย มีเตาให้ปิ้งบนโต๊ะ จะเลือกกินในร้าน ในสวนด้านนอกหรือบนดาดฟ้าก็ได้ นอกจากสารพัดหอยของดังประจำท้องถิ่น เขายังเด่นเรื่องหมูด้วย เป็นหมูของแบรนด์ Japan X ที่อร่อยนุ่มมาก คอนเฟิร์มด้วยเมนูน้องหมูเทปปันยากิ ใครแพ้อาหารทะเลก็ยังกินที่ร้านนี้อร่อยอยู่นะ

Chaya Kan Emon

จุดสุดท้ายก่อนกลับบ้านนั่นก็คือร้านขายของฝากสุดฮิปใน Matsushima Rikyu ร้านเชี่ยวชาญด้านขนมหวาน ด้านในเต็มไปด้วยขนมหลายชนิดในแพ็คเกจสุดคาวาอี้ที่เหมาะจะเป็นของฝาก ภายในร้านยังมีคาเฟ่ชื่อ Yakeru Couple มีทั้งลูกชิ้นปลาเสียบไม้ ชาเขียว และซอฟต์ครีมโรยผงมัทฉะแสนอร่อยที่คนในท้องถิ่นแนะนำเราว่าต้องลองให้ได้นะเพราะมันเลิศมาก!