เพิ่งนั่งคุยกับเพื่อนวัยเลขสี่นำหน้าว่า “ตอนเด็กๆ ชอบกินไอติมแบบไหนมากที่สุด” เด็กบ้านนอกอย่างฉันคิดถึงไอติมหวานเย็นที่ทำได้ง่ายมาก เช่น เอาน้ำมะพร้าวสดมาผสมน้ำเชื่อม แล้วขูดเนื้อมะพร้าวลงไปผสม ตักใส่ถุงพลาสติก รัดหนังยางให้แน่น จากนั้นนำไปแช่ช่องฟรีซจนแข็งกลายเป็นหวานเย็น กัดตรงก้นถุงแล้วเดินดูดกินท่ามกลางแดดร้อนๆ ท้องฟ้าใสแจ๋วนี่มันฟินจริงๆ และที่ง่ายกว่าน้ำมะพร้าวคือ น้ำหวานเขียวแดงเฮลบลูบอยส์ ทำเป็นหวานเย็นแล้วหอมหวานชื่นใจ กินแล้วคึกคัก คงเพราะได้พลังงานด่วนๆ จากปริมาณน้ำตาลมหาศาลนั่นเอง

หวานเย็นเป็นไอติมที่ทำกินเองในครัวเรือนไม่ต้องซื้อหา แต่ถ้าอยากกินไอติมที่รถไอติมมาหน้าบ้านนั่นต้องเป็นโอกาสพิเศษมากๆ เช่น มีผู้ใหญ่ใจดีให้สตางค์มา หรือเก็บหอมรอมริบสตางค์บาทสองบาทได้เป็นของตัวเอง ไอติมสมัยฉันยังเด็กนั้น คงเป็นไอติมจากโรงงานท้องถิ่นไม่ใช่แบรนด์ระดับชาติ  รถไอติมก็เป็นจักรยาน สั่นกระดิ่งไปกริ๊งๆๆๆ เสียงกระดิ่งจึงเป็นเสียงแห่งความสุข และความหอมหวานสำหรับเด็กๆ คนขายไอติมย่อมรู้ว่าเด็กจะอยู่บ้านในวันเสาร์ อาทิตย์ ถ้าจำไม่ผิดรถไอติมไม่ค่อยเข้ามาแถวบ้านในวันธรรมดา ไอติมที่ฉันชอบที่สุดคือ ไอติมนมที่มาเป็นแท่งทรงกระบอกยาวๆ พันด้วยกระดาษไข เวลาไปซื้อ คนขายจะใช้มีดตัดไอติมให้เราแล้วเสียบไม้เข้าไปทีหลังเวลาจะกินต้องแกะกระดาษไขที่พันไอติมไว้ออกไปเสียก่อน แล้วจึงค่อยๆ เลีย ค่อยๆ กัด แค่นั้นก็หรูหราที่สุด ไอติมหอมนม เนื้อเนียน หวานกำลังดี รสชาติคล้ายไอติมถ้วยแต่เรากินแบบแท่ง

พอโตขึ้นก็หาไอติมแบบนี้ไม่ค่อยเจอ จนกระทั่งไปเกียวโต…

เข้าหน้าร้อนแล้วได้กินไอติมแบบนี้ทีไร ก็นึกถึงบ้านเก่าของตัวเองตรงสี่แยกอิมาเดกาวะกับชิรากาวะทุกที สี่แยกตรงนั้นต้องมีนักท่องเที่ยวชาวไทยจำนวนมากเคยไปอย่างแน่นอน เพราะมันคือสี่แยกทางที่จะพาเราไปวัดกินคะคุจิ (Ginkakuji Temple) หรือวัดเงินเป็นจุดเริ่มต้นของ Philosopher’s Path หรือถนนสายนักปราชญ์ นั่นเป็นสิ่งที่ฉันยังอัศจรรย์ใจกับความโชคดีของตัวเองว่าใช้แต้มบุญอะไรไป ถึงโชคดีไปได้บ้านเช่าตรงจุดที่อาจเรียกได้ว่าดีที่สุดจุดหนึ่งของเกียวโต เพราะถนนสายนักปราชญ์ วัดสวยๆ อีกไม่รู้กี่วัดก็อยู่แค่เอื้อม แต่เอาเถอะเรื่องเหล่านี้จะค่อยๆ ทยอยเล่าให้ฟัง

ครั้งนี้จะเล่าว่า เมื่อเข้าฤดูร้อนแล้วคิดถึงอะไรมากที่สุด

อีกฝั่งหนึ่งของถนนหน้าบ้านของฉันเป็นร้านขายไอติม “โบราณ” ขายน้ำสับปะรดด้วย ซึ่งแปลกดีเพราะสับปะรดเป็นผลไม้เมืองร้อน ทำไมร้านนี้จึงเลือกสับปะรดเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง อาจเพราะมันเป็นผลไม้ที่ exotic ทำให้ดูแปลกและร่ำรวยดีกระมัง ไอติมร้านนี้เหมือนไอติมที่กินสมัยเด็กๆ ที่เชียงใหม่เลย ไอติมนมแท่งกลมยาวพันด้วยกระดาษไข เวลามีคนมาซื้อค่อยเอามีดตัดเป็นท่อนๆ แล้วเสียบไม้ไอติมให้แต่ที่พิเศษกว่าคือ นอกจากมีรสนมแล้วยังมีรสชาเขียวด้วย นี่เขียนถึงก็อยากกินมั่ง ทำไมไม่มีคนทำไอติมแบบนี้ออกมาขายอีก แล้วทำรสนม รสช็อกโกแลต รสชาเขียว รสชาไทย มันต้องอร่อยมากแน่ๆ นอกจากไอติมนมยังมีไอติมถั่วแดง ไอติมสับปะรด ไอติมสตรอว์เบอรี่ ที่ใส่เนื้อสตรอว์เบอร์รีหรือเนื้อสับปะรดลงไปจริงๆ

ทุกๆ หน้าร้อนจะมีลูกค้าทั้งขาจรที่เป็นนักท่องเที่ยวมามะรุมมะตุ้มที่หน้าร้านและคนเกียวโตที่คงกินร้านนี้มาตั้งแต่เด็ก ไกด์บุ๊กทุกเล่มต้องแนะนำให้มาลองชิมไอติมโบราณของร้านนี้ ส่วนฉันแม้จะบ้านอยู่ใกล้ๆ แค่เดินข้ามถนน แต่ก็ไม่วายชอบไปซื้อไอติมที่ร้านมาทีละเยอะๆ มาตุนไว้ในช่องฟรีซที่บ้านตัวเอง ซึ่งร้านจะห่อไอติมด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์เก่า ยิ่งทำให้ได้บรรยากาศมากขึ้นไปอีกว่าจะโบราณไปไหน แถมยังเป็นความโบราณที่ไม่มีความพยายามจะขายความโบราณนั้นในฐานะความฮิป เวลาจะผ่านไปเกือบยี่สิบปีนับตั้งแต่วันที่ฉันรู้จักไอติมร้านนี้  ก็แทบไม่มีความเปลี่ยนแปลงอะไรเกิดขึ้นกับร้าน ไม่มีป้ายชื่อร้านไม่มีการประดับตกแต่งใดๆ มีเพียงม้านั่งให้นั่งกินไอติมหน้าร้านแบบกระด๊อกกระแด๊กเหมือนไม่ค่อยเต็มใจให้นั่ง และอีตาลุงกับป้าคนขายที่มีความหน้าหงิกหน้างอ ไม่รู้ว่าฉันคิดไปเองหรือเปล่า ทั้งลุงทั้งป้าดูมีความ “ระอา” คนต่างชาติ ดูไม่เต็มใจจะขาย ค่อนข้างมั่นใจว่าป่านนี้ทั้งลุงและป้าน่าจะต้องเจอกับความปั่นป่วนของกรุ๊ปทัวร์จีนไปเรียบร้อยแล้ว

อย่างไรก็ตามนี่คือเสน่ห์ของหน้าร้อนในเกียวโต ที่ฉันมักอธิบายว่ามันร้อนจนเหมือนโลกจะดับ

สรรพสิ่งรอบตัวในฤดูร้อนเหมือนเข้าสู่การจำศีล มีแต่จักจั่นเท่านั้นที่แผดเสียงเตือนให้เรารู้ว่ายังมีสิ่งมีชีวิตอีกจำพวกหนึ่งที่รอคอยฤดูนี้มาทั้งปีและเริงร่ากับมันอย่างที่สุด ถนนในตอนกลางวันจะเงียบกริบจนกระทั่งเข็มสักเล่มตกลงบนพื้นเราก็น่าจะได้ยิน แต่ในความเงียบ ความร้อน ความว่างเปล่าของท้องฟ้า และเสียงจักจั่นนี่เองที่ฉันมักจะพบความสงบอย่างประหลาด ดอกไม้ ใบหญ้า รอบๆ ตัวดูคลายความเย่อหยิ่ง และมีความเป็นมิตรกับเรามากขึ้นอย่างน่าประหลาดใจ

ฉันอาจจะตื่นตาตื่นใจกับความงามสะพรั่งของฤดูใบไม้ผลิ แต่ในฤดูร้อนฉันรู้สึกเหมือนถูกโอบกอดจากทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัว เป็นฤดูที่เงียบแต่ไม่มีขณะจิตไหนที่จะรู้สึกว่าเหงาเลย ยิ่งอากาศร้อนมากขึ้นเท่าไหร่ ฉันก็รู้สึกว่าต้นไม้ใบหญ้ามองเราด้วยสายตาที่เป็นมิตรและปลอบประโลมมากขึ้นเท่านั้น ความร้อนมันงดงาม ถ้าเราได้อยู่ในเมืองที่รถไม่ติด ไม่มีมลพิษ ถนนสะอาด มีต้นไม้ร่มรื่นสะบัดใบสนทนากันทุกครั้งที่สายลมพัดผ่าน มีแม่น้ำที่ไหลเอื่อยเย็นตลอดทั้งปี และที่สำคัญมีไอติมอันหลากหลายที่จะให้เราหอบกลับบ้านไปทุกวัน

กระดิ่งแขวนเรียกลมที่เราจะเอาออกมาแขวนที่ระเบียงบ้าน แตงโม หิ่งห้อย จักจั่น ดอกไม้ไฟ และไอติม

นี่สินะ ความสุขของฤดูร้อนที่รอคอย

 

LIKE & SHARE

ชอบเรื่องนี้จนต้องบอกต่อ