TAKEO x DUANGRIT | การพบกันครั้งแรกของสองดีไซเนอร์ตัวท็อปจากสองวงการที่ต่างให้ความสำคัญกับการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ที่ดีที่สุด
สารบัญ
- Q. ได้ยินมาว่า แม้จะไม่เคยเจอกันมาก่อน แต่ทั้งสองต่างชื่นชอบผลงานของกันและกัน
- Q. ทำไมถึงชอบคอลเลคชั่น (City Setter) นี้เป็นพิเศษ
- Q. ทำไม 3 คอนเซ็ปต์หลักของ City Setter อย่าง Function, Smart Design และ Convenience ถึงเป็นเรื่องสำคัญ
- Q. แล้วคอนเซ็ปต์หลัก 3 อย่างนี้เป็นเรื่องสำคัญในงานสถาปัตย์ด้วยไหม
- Q. ต่างคนต่างทำงานมากว่า 30 ปี ทุกวันนี้ผลงานต่างไปจากเดิมมากไหม
- Q. ถ้าอย่างนั้น สิ่งสำคัญที่สุดในการออกแบบคืออะไร
- Q. แล้วในงานแฟชั่นมีการมองหา “ความเป็นไปได้” บ้างรึเปล่า
- Q. คุณดวงฤทธิ์ทำธุรกิจหลายอย่างทั้งงานสถาปัตย์, แกลเลอรี่ สิ่งพิมพ์ ร้านอาหาร ฯลฯ มีอะไรที่คล้ายกับงานของทาเคโอะไหม
- Q. แล้วถ้าให้คุณทาเคโอะออกแบบบ้าน จะทำบ้านแบบไหน
- Q. แล้วถ้าให้คุณดวงฤทธิ์ออกแบบเสื้อผ้าบ้างล่ะ
- Q. สุดท้ายนี้ ขอถามเคล็ดลับที่ทำให้ประสบความสำเร็จในฐานะดีไซเนอร์ทั้งสองสายงาน
หนุ่มๆ ที่ติดตามแฟชั่นญี่ปุ่นน่าจะเคยได้ยินชื่อแบรนด์ Takeo Kikuchi
Takeo Kikuchi คือชื่อของผู้ก่อตั้งแบรนด์, ครีเอทีฟไดเรคเตอร์, ดีไซเนอร์รุ่นใหญ่ระดับแถวหน้าของญี่ปุ่นที่มากประสบการณ์และมีชื่อเสียงทั้งในและนอกประเทศญี่ปุ่น แบรนด์ Takeo Kikuchi นำเสนอเสื้อผ้าสุภาพบุรุษสุดเท่ แพทเทิร์นดี คัตติ้งเนี้ยบ ความละเอียดและคุณภาพสไตล์ญี่ปุ่นจึงครองใจผู้ชายในหลายทวีปมายาวนาน แม้จะเพิ่งมาเปิดที่เมืองไทยได้ปีกว่าๆ ก็มีแฟนคลับมากมาย
หนึ่งในลูกค้าประจำคือคนที่เราคุ้นชื่อกันดีอย่างคุณดวงฤทธิ์ บุนนาค สถาปนิกและ Influencer ชื่อดังของไทยที่กวาดรางวัลมานับไม่ถ้วน เราเชื่อว่าหลายคนต้องเคยไปเยี่ยมเยียนผลงานสุดฮิปอย่าง The Jam Factory หรือ Warehouse 30 แน่ๆ
แม้เส้นทางอาชีพของทั้งสองจะแตกต่างกัน แต่สองดีไซเนอร์มือฉมังมีจุดที่คล้ายกันหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นปรัชญาและแนวคิดในการทำงานรวมไปถึงงานอดิเรกซึ่งทั้งคู่ชอบการขับรถชมวิว คุณดวงฤทธิ์ชอบขี่มอเตอร์ไซค์ Harley-Davidson คู่ใจออกตามหาความสงบเมื่อมีเวลา ส่วนคุณทาเคโอะชื่นชอบการขับรถและชอบดูดีไซน์ของรถ Vintage
วันนี้คุณดวงฤทธิ์และคุณทาเคโอะ สองดีไซเนอร์ชื่อดังจากต่างวงการจะได้มาพบปะและพูดคุยกันเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาชื่นชอบและชีวิตในวงการออกแบบเป็นครั้งแรกที่โตเกียว
ทันทีที่เดินเข้ามาในร้านจนถึงชั้น 2 ของร้าน TAKEO KIKUCHI Flagship Store สาขาชิบูย่า สถานที่สำหรับการพบปะในครั้งนี้ เราได้พบกับความลงตัวของเสื้อผ้าเนี้ยบเก๋ที่ถูกจัดวางอย่างประณีต ท่ามกลางการตกแต่งภายในที่ผสมผสานทั้งปูนเปลือยและไม้ไว้อย่างเรียบง่ายนั้นได้สร้างบรรยากาศอันอบอุ่นและเป็นกันเอง
ความใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของเจ้าบ้าน ทำให้เรามั่นใจว่า บทสนทนาในพื้นที่ที่ถูกคิดมาแล้วอย่างดีกับสองนักออกแบบจากสองวงการต้องอบอุ่นไม่แพ้แสงแดดอ่อนยามบ่ายของโตเกียวอย่างแน่นอน
Q. ได้ยินมาว่า แม้จะไม่เคยเจอกันมาก่อน แต่ทั้งสองต่างชื่นชอบผลงานของกันและกัน
ทาเคโอะ ผมชอบภาพถ่ายของคุณดวงฤทธิ์นะ คอยติดตามดูรูปในอินสตาแกรมอยู่บ่อยๆ (หัวเราะ)
ดวงฤทธิ์ โอ้โห ขอบคุณครับ ผมไม่รู้เลย เดี๋ยวต้องขอฟอลโลวกลับบ้าง ส่วนผมเองก็ชอบ City Setter Jacket ของ Takeo Kikuchi มากครับ
Q. ทำไมถึงชอบคอลเลคชั่น (City Setter) นี้เป็นพิเศษ
ดวงฤทธิ์ ผมชอบ Jacket รุ่นนี้เพราะมันไม่ยับ ใส่ง่าย ที่สำคัญคืออยู่เมืองไทยใส่แล้วไม่ร้อนเลย ผมเคยใส่สูทมาหลายยี่ห้อ แบรนด์ต่างประเทศที่สวยและแพทเทิร์นดีก็มีเยอะ แต่ผ้าที่ว่าบาง เอามาใส่ในไทยก็ร้อน แต่รุ่นนี้ใส่สบาย ใส่ได้ทุกวัน
ชีวิตสถาปนิกจะวนเวียนอยู่กับการออกแบบ เจอลูกค้าที่ออฟฟิศ ไปไซต์ตรวจงานก่อสร้าง ซึ่งบางทีเราไม่มีเวลาเปลี่ยนชุด ดังนั้นเสื้อผ้าที่เหมาะสมกับเราคือเสื้อผ้าที่ใส่ไปทำงานได้ ใส่ไปเจอลูกค้าได้ ออกไปตรวจงานที่ไซต์ก่อสร้างก็ยังอยู่ได้ ไม่ร้อน เคลื่อนไหวคล่องตัว เป็นเสื้อผ้าที่ใช้ได้ทุกสถานการณ์
ทาเคโอะ ผมว่าประเทศไทยกับญี่ปุ่นน่าจะอากาศเหมือนกัน คือความชื้นสูง อุณหภูมิสูง ญี่ปุ่นมีวิทยาการในการพัฒนาเนื้อผ้าได้ดี เลยสามารถผลิตเส้นใยที่ทนความชื้นสูงได้ มองภายนอกอาจจะดูเหมือนผ้าธรรมดา แต่พอลองใส่จะรู้ว่าเป็นเนื้อผ้าแตกต่าง รับมือกับความชื้นและความร้อนได้ดี
ดวงฤทธิ์ ที่สำคัญคือใส่แล้วหล่อด้วยครับ (หัวเราะ) แพทเทิร์นดีครับ ใส่แล้วเข้ารูป เหมาะกับรูปร่างของคนเอเชีย เรื่องนี้สำคัญมาก
ทาเคโอะ ทางเราทำเทเลอร์สูทมานาน สิ่งหนึ่งที่ให้ความสำคัญเสมอคือแพทเทิร์นที่ใส่แล้วเคลื่อนไหวสะดวก และทำให้รูปร่างดูดี
Q. ทำไม 3 คอนเซ็ปต์หลักของ City Setter อย่าง Function, Smart Design และ Convenience ถึงเป็นเรื่องสำคัญ
ทาเคโอะ ในขณะที่ยุคสมัยและไลฟ์สไตล์เปลี่ยนมาเป็น Casual มากขึ้นเรื่อยๆ ความต้องการในสินค้าของโลก Business ก็ยังมีอยู่จึงไม่อาจละเลยได้ การนำความต้องการของทั้ง Casual และ Business มาผสมผสานกันคือแนวคิดของ City Setter เราทำการค้นคว้าเพื่อให้ผู้สวมใส่มีความรู้สึกสวมใส่สบาย คุณสมบัติในการใช้งานที่หลากหลายและดูดี
Q. แล้วคอนเซ็ปต์หลัก 3 อย่างนี้เป็นเรื่องสำคัญในงานสถาปัตย์ด้วยไหม
ดวงฤทธิ์ สถาปนิกเราไม่มีทางอื่นอยู่แล้วครับ การออกแบบตึก อาคาร หรือโปรเจกต์อะไรก็ตาม เรื่องของ Functionality กับ Material ทุกอย่างมันต้องสอดคล้องกัน เราถูกฝึกมาตลอดชีวิตให้เห็นสิ่งนี้ ดังนั้นพอเราเห็นสิ่งนี้ในงานอื่นเช่น เสื้อผ้าหรือเฟอร์นิเจอร์ เราจะเข้าใจและประทับใจ การที่เราถูกฝึกมาให้มองเห็นความสอดคล้องกันของ Material, Function, Design, Pattern อะไรต่างๆ มันทำให้เราเข้าใจงานชิ้นนั้นๆ มากขึ้น อย่างหยิบเสื้อของทาเคโอะมาใส่คือรู้สึกเลยว่า คิดเยอะ ไม่ใช่แค่เรื่องสวยแต่ฟังก์ชั่นด้วย ความเหมาะสมในการใช้งาน คือเขาเข้าใจคนแบบเรา ที่ไม่ใช่คนเดินบนแคตวอล์ก แต่เราเป็นคนทำงาน เขาทำเสื้อผ้าที่เราใช้ชีวิตได้ตามปกติ สวยด้วย ผมชอบมาก
ผมเองก็ทำงานนี้มา 30 ปีแล้ว สถาปัตยกรรมก็พัฒนาไปจากรูปแบบหนึ่งไปอีกรูปแบบหนึ่ง แต่สิ่งหนึ่งที่สถาปัตยกรรมทรยศไม่ได้คือ การใช้งาน, วัสดุ และประสบการณ์ของคนที่เดินเข้ามาในอาคาร ต้องสัมผัสอาคารนั้นจริงๆ ได้ ผมว่าสถาปัตย์กับแฟชั่นอยู่ในโลกคล้ายๆ กัน
Q. ต่างคนต่างทำงานมากว่า 30 ปี ทุกวันนี้ผลงานต่างไปจากเดิมมากไหม
ดวงฤทธิ์ จริงๆ แล้ว ผมไม่มีเอกลักษณ์นะครับ ดีที่สุดคืออย่าไปสนใจเรื่องนั้น ผมว่าเราต้องเปิดรับสิ่งใหม่ๆ ตลอดเวลา ผมเรียกมันว่า Possibility within the Context คือเราสร้างความเป็นไปได้ในบริบทที่อยู่รอบๆ ตัวเรา
ทาเคโอะ ดีไซน์คือการแสดงออกถึงความคิดของเรา มันต่างจากศิลปะตรงที่เราต้องผลิตของออกมา และต้องประเมินเรื่องเวลาด้วยว่ายุคถัดไปจะเป็นแบบไหน คนยุคนั้นจะเป็นยังไง นี่เป็นเงื่อนไขหลักของเราในการออกแบบ จากนั้นค่อยมาดูว่างานเราตอนนี้มีอะไรที่ดีอยู่แล้วควรจะรักษาไว้ ส่วนสิ่งที่จะไม่ตอบโจทย์ในอนาคตเราก็ค่อยๆ ถอดออก ทำแบบนี้วนไปเรื่อยๆ ในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ แสดงไอเดียหรือคอนเซ็ปต์ต่างๆ
จะงานแฟชั่นหรือสถาปัตย์ก็น่าจะเหมือนกัน พวกเราเอาสิ่งที่คิดและออกแบบในหัวถ่ายทอดลงไปในงานของเรา คือเราให้ความสำคัญกับมนุษย์ เราสร้างสรรค์สิ่งที่ดีที่สุดเพื่อมนุษย์
Q. ถ้าอย่างนั้น สิ่งสำคัญที่สุดในการออกแบบคืออะไร
ดวงฤทธิ์ ถ้าเป็นการออกแบบบ้าน ผู้ใช้และการใช้งานมาเป็นอันดับหนึ่ง แต่ไม่ได้มีอะไรมาก่อนหลัง ผมมองทุกอย่างเป็นบริบท ไม่ว่าจะเป็นความต้องการของเจ้าของบ้าน วัสดุ งบประมาณ สถานที่ตั้ง ต้องดูทุกอย่างพร้อมๆ กัน ซึ่งท่ามกลางบริบทเหล่านั้น เราต้องดูว่ามีอะไรเป็นไปได้บ้าง
ผมกับคุณทาเคโอะเราอาจจะคล้ายๆ กัน คือ ตอนออกแบบจะคิดถึงเรื่องอนาคต แต่งานสถาปัตย์จะดู “ความเป็นไปได้” ด้วยว่ามีอะไรเป็นไปได้บ้าง เป็นคำถามที่เราถามตัวเองตลอดเวลา ไม่ใช่เรื่องไอเดีย หรือความคิดสร้างสรรค์
ทาเคโอะ ผมก็เห็นด้วยครับ แนวคิดนี้เยี่ยมไปเลย
Q. แล้วในงานแฟชั่นมีการมองหา “ความเป็นไปได้” บ้างรึเปล่า
ทาเคโอะ คล้ายๆ ที่คุณดวงฤทธิ์พูดเลยครับ ผมในฐานะดีไซเนอร์ต้องหาคำตอบของตนเองออกมาและนำสิ่งที่ผู้คนต้องการมาสร้างสรรค์ให้ออกมาเป็นสิ่งที่จับต้องได้ ซึ่งจำเป็นที่จะต้องเป็นสิ่งที่มีความสดใหม่ในยุคสมัยนั้นเสมอ
Q. คุณดวงฤทธิ์ทำธุรกิจหลายอย่างทั้งงานสถาปัตย์, แกลเลอรี่ สิ่งพิมพ์ ร้านอาหาร ฯลฯ มีอะไรที่คล้ายกับงานของทาเคโอะไหม
ดวงฤทธิ์ จริงๆ ผมว่ามันไม่มีทางเหมือนกัน แต่ผมว่ามันมีความสอดคล้องกัน ต้องให้แกไปทานข้าวที่ร้านผมแล้วแกจะเข้าใจแบบที่เรารู้สึกได้ แต่ถ้าถามว่ามีอะไรเหมือนไหม ก็คงไม่เหมือนนะครับ
Q. แล้วถ้าให้คุณทาเคโอะออกแบบบ้าน จะทำบ้านแบบไหน
ทาเคโอะ ผมเคยคิดเรื่องบรรยากาศบ้านในฝันนะ ผมอยากอยู่บ้านไม้สไตล์ญี่ปุ่นโบราณแบบบ้านชั้นเดียว หลังคามุงแบบโบราณ ปูเสื่อทาทามิ แต่ปูพรมทับก่อนวางเก้าอี้อีกที เป็นโมเดิร์นผสมเทรดดิชันนอล คือสไตล์การสร้างแบบดั้งเดิม แต่ปรับสเปซให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ปัจจุบัน เช่น เพดาน บ้านญี่ปุ่น ในปัจจุบันเตี้ยลงเรื่อยๆ แต่ผมอยากได้เพดานโปร่ง สร้างพื้นที่ที่มีความโอ่โถง ท่ามกลางความอบอุ่นของไม้ แต่คงไม่สร้างขึ้นมาจริงๆ หรอกครับ (หัวเราะ)
Q. แล้วถ้าให้คุณดวงฤทธิ์ออกแบบเสื้อผ้าบ้างล่ะ
ดวงฤทธิ์ ผมคงทำไม่ได้ครับ แต่ผมคุยกับคนออกแบบเสื้อผ้าได้ เหมือนที่ทำร้านอาหาร ผมทำอาหารไม่เป็นนะ แต่บอกแม่ครัวได้ว่าอยากได้อาหารแบบไหน คือเราทำงานร่วมกันได้ ถ้าให้ออกแบบหรือทำเสื้อผ้าคงทำของที่ตัวเองรู้สึกอยากใช้
Q. สุดท้ายนี้ ขอถามเคล็ดลับที่ทำให้ประสบความสำเร็จในฐานะดีไซเนอร์ทั้งสองสายงาน
ดวงฤทธิ์ ผมว่าผมยังไม่ประสบความสำเร็จนะ ทุกวันนี้ก็ยังสู้อยู่ จะพูดได้ว่าประสบความสำเร็จคือทุกอย่างต้องจบแล้ว ดีแล้ว ตายแล้ว มันคงไม่มีจริงๆ นะครับเรื่องความสำเร็จ เป็นแค่อุดมคติ เราเป็นคนทำงานก็ทำงานแต่ละวันให้ดีกว่าเมื่อวานเท่านี้เอง ทำงานทุกวันใช้ชีวิตให้เต็มที่ทุกวัน ประสบความสำเร็จทุกวัน ทำให้ดีขึ้นกว่าเดิมทุกวัน
ทาเคโอะ ผมก็คิดคล้ายๆ กันนะ การที่เราใช้ชีวิตเต็มที่ทุกวัน จะทำให้เราใช้ชีวิตไปได้เรื่อยๆ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญอย่างหนึ่งของความสำเร็จ
ผมอายุเยอะกว่าคุณดวงฤทธิ์เกือบเท่าตัวใช้ชีวิตมานาน เจออะไรมามาก ซึ่งในระหว่างทางผมได้เรียนรู้ว่าพื้นฐานของการใช้ชีวิตคือ การไขว่คว้าหาคำตอบแล้วทำมันออกมา ก้าวไปข้างหน้าทุกๆ วัน ซึ่งนี่แหละที่จะนำไปสู่ความก้าวหน้า แต่โลกในตอนนี้เข้มงวดขึ้นมาก ดังนั้นในการใช้ชีวิตเราต้องหาความสุขความยินดีระหว่างที่ทำงานไปด้วย สรุปคือจงตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่และมีความสุขทุกวันเพื่อค้นหาคำตอบ
ติดตามข่าวสารแบรนด์ Takeo Kikuchi ได้ที่
info
Takeo Kikuchi
Website: www.takeokikuchith.com/
สามารถอ่านบทความอื่นที่เกี่ยวกับ Takeo Kikuchi ได้ที่นี่