สารบัญ


เช้าวันเสาร์เคล้ากลิ่นอาย CITY POP :

หากพูดถึงเพลงที่มีกลิ่นอายของความเป็นเทคโนป๊อบ เรามักจะนึกถึงวง “POLYCAT” เป็นอันดับต้นๆ เสียงร้องและดนตรีที่พาเราเข้าไปอยู่ในบรรยากาศของการใช้ดนตรีอิเล็กทรอนิกส์เข้ามาผสมผสานกับเครื่องดนตรีและแนวเพลงอื่นได้อย่างกลมกลืน เพลงที่ฟังแล้วเบาสบาย จนบางครั้งเราอาจเผลอโยกหัวหรือเคาะนิ้วไปตามจังหวะเพลงโดยไม่รู้ตัว

ล่าสุดวง POLYCAT ได้ปล่อยอัลบัมใหม่ที่มีชื่อว่า Doyobi Terebi (土曜日テレビ) หรือแปลตรงตัวได้ว่า “ทีวีวันเสาร์” ชื่ออัลบัมที่ชวนให้ใครหลายคนสงสัยในการเล่นคำสักเล็กน้อย หากแต่แฟนคลับหลายคนที่เติบโตมาพร้อมกับวง ก็คงเข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู่ของชื่ออัลบัมในทันทีโดยที่อาจต้องเผลอยิ้มไปตามๆกัน (หากได้ลองเดาอายุของตัวเอง) ซึ่งบทเพลงในอัลบัมนี้ ล้วนมีกลิ่นอายของยุค CITY POP Japan 80’s อยู่เต็มเปี่ยม

ความพิเศษของอัลบัมนี้ นอกจากจะเป็นอัลบัมแรกที่ถ่ายทอดโดยใช้ภาษาญี่ปุ่นแล้ว ก็อาจจะเป็นครั้งแรกที่มู้ดแอนด์โทนภาพลักษณ์ภายนอกของ POLYCAT ดูแปลกตามากขึ้น ทั้งกราฟิกที่นำเสนอบนภาพปก การใช้สี ฯลฯ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงและบ่งบอกถึงความเป็น POLYCAT อย่างชัดเจน คือแนวเพลงและดนตรี และในวันนี้เราจะมาร่วมพูดคุยกับ นะ-รัตน จันทร์ประสิทธิ์ สมาชิกผู้รับหน้าที่ร้องนำที่จะเราย้อนกลับไปก่อนเกิดเป็น  Doyobi Terebi กัน

 

 

Q. คอนเซปต์อัลบัมนี้เล่าเป็นสตอรี่ได้อย่างไรบ้าง

เพลงแรกอย่าง The earrings ก็เล่าว่าเราอิจฉารองเท้า อิจฉาหมวก อิจฉากระเป๋าของเธอที่ได้อยู่ใกล้ตัวเธอขนาดนั้น รวมถึงต่างหู เราอยากเป็นต่างหูคู่นั้นจังที่ได้อยู้ใกล้กับเธอ โดยรำพึงรำพันกับตัวเอง ไม่ได้หวังอะไรมาก พอเป็นเพลง Flowers ก็จะเปลี่ยนเป็นฟีลลิ่งผู้ชายที่ทุ่มเทครับ หวังมาก ผู้หญิงอยากได้อะไรก็จะให้ ส่วนเพลง The window อารมณ์เหมือนน้อยเนื้อต่ำใจ จะออกแนวตัดพ้อกับตัวเองว่าเราอยู่ตรงนี้ ทำไมเธอไม่สนใจเราเลย เหมือนเราเป็นแค่หยดน้ำที่ไหลผ่านหน้าต่างบ้านเธอ ในขณะที่เพลงสุดท้าย The storm จะออกแนวอีโรติกเล็กน้อย เล่าว่าเราติดอยู่ในโรงแรมเพราะว่ามีพายุเลยออกไปไม่ได้อะไรประมาณนี้

 

Q. เคยคิดไหมว่าคนญี่ปุ่นอาจสงสัยชื่ออัลบัม

คือคำว่า Doyobi Terebi เนี่ยแปลว่า “ทีวีวันเสาร์” คนญี่ปุ่นเขาก็งงว่า เอ๊ะ! ทำไมต้องวันเสาร์ ซึ่งเราก็ต้องอธิบายเพิ่มเติมถึงที่มาของชื่อให้เขาเข้าใจครับ

 

Q. สแลมดังก์กลายเป็นที่มาของชื่ออัลบัมได้อย่างไร

แรงบันดาลใจในการตั้งชื่ออัลบัมมาจากการ์ตูนที่ฉายประจำทางช่อง 9 ทุกวันเสาร์ บวกกับแนวเพลง CITY POP ที่เป็นสแลมดังก์เพราะชอบเพลงประกอบครับ แล้วเพลงนี้ก็เป็นแนวซิตี้ป็อบ แถมยังได้ไปเห็นรถไฟของจริงที่อยู่ในเรื่องอีก คือในเพลงตอนเปิดเรื่องมันมีรถไฟสีเขียวๆ ที่อยู่ในฮิโระชิมะ ได้มีโอกาสไปดูของจริง เลยเกิดแรงบันดาลใจอยากทำอัลบัมนี้

 

Q. ทำไมอัลบัมนี้ถึงวางคอนเซปต์เป็นภาษาญี่ปุ่น

คือตอนที่ไปเห็นรถไฟแล้วกลับมาก็มีความคิดเกิดขึ้นในหัว เลยมาเล่าให้พี่ที่เราทำงานด้วยฟัง ตอนนั้นเรากำลังประชุมเกี่ยวกับอัลบัมที่ 3 ผมก็แทรกขึ้นมาว่ามีโปรเจ็กต์อยากทำเพลงแนว CITY POP ตอนนั้นในใจก็คิดว่าจะทำเป็นภาษาไทย แต่พี่เขาแนะนำว่าถ้าจะทำ CITY POP ต้องเป็นภาษาญี่ปุ่น มันถึงจะถึงเนื้อถึงแก่นจริงๆ ก็เลยทำเป็นภาษาญี่ปุ่นดีกว่า อัลบัมนี้เลยกลายเป็นอัลบัม 2.5 ส่วนอัลบัมที่มีเพลงพบกันใหม่ คืออัลบัมที่ 2 ครับ

 

 

Q. เพลง The Flowers มีความพิเศษอย่างไร ถึงได้กลายเป็นเพลงหลัก

ผมว่าในเรื่องของเนื้อเพลงมันเข้าใจง่ายสุด ดนตรีน่าจะทำให้คนเห็นภาพรวมของ CITY POP ได้ง่ายที่สุดครับ

 

Q. ทั้งอัลบัมร้องเป็นภาษาญี่ปุ่น ใช้เวลาฝึกภาษานานแค่ไหน

ฝึกประมาณ 4 เดือนครับ คือขณะร้องเราจะไม่รู้ว่าท่อนไหนหมายถึงอะไร ไม่รู้ว่าร้องถูกด้วยหรือเปล่า ก็เลยให้เพื่อนซึ่งเป็นลูกครึ่งชื่อคุณอะกินะ ซุซุกิมาช่วยคุมร้องครับ เขาจะช่วยฟังและสอนว่าเนื้อร้องหรือคำไหนออกเสียงอย่างไร อันนี้ออกเสียงผิดนะ อันนี้ออกเสียงอย่างนี้ มันอาจจะไม่ได้ตรงเป๊ะๆ ทุกคำ แต่ก็จะได้ใจความโดยรวมที่เราต้องการสื่อ

 

Q. ทำเพลงเองทั้งหมดเลยหรือเปล่า

เขียนเอง โปรดิวซ์เอง ช่วยกันทุกคนเลยครับ อย่างเพียวเขาจะมีความรู้เรื่องดนตรีแนว CITY POP เยอะมาก เพราะเขาเอาเพลงญี่ปุ่นไปเล่นตอนที่ทำโปรเจ็กต์จบสมัยเรียนดนตรี จึงทำให้มีความรู้และมีประสบการณ์มาก ส่วนโต้งเขาจะรู้ว่าตรงไหนควรใช้เสียงแบบไหน ตรงไหนควรมีคาแร็กเตอร์แบบไหนครับ

โปรเจ็กต์นี้เราแต่งเนื้อกับทำดนตรีขึ้นมาก่อนแล้วลองฟังเพลง อย่างเพลง Flowers เรารู้สึกว่ามันจะต้องน่ารักๆ หวานๆ ใสๆ ก็จะเริ่มเขียนเป็นภาษาไทยก่อนว่าเนื้อเพลงเกี่ยวกับอะไร แล้วก็ให้เพื่อนแปลเป็นภาษาญี่ปุ่น เสร็จแล้วก็จะลองนำมาเทียบความหมายให้ใกล้เคียงกัน

แต่มีเพลง The Storm ที่ได้มือกีต้าร์วง P.O.P ของญี่ปุ่นเป็นคนเขียนเนื้อให้ ซึ่งเพลงนี้เราไม่ได้บอกว่าอยากได้แบบไหน แค่ส่งดนตรีกับเสียงร้องที่ยังเป็นภาษาต่างด้าวไปให้เขา พอเขาฟังเขาก็รู้สึกว่าดนตรีมันออกแนวอิโรติก เลยเขียนออกมาแนวนี้ พอค่อยๆ แปลเนื้อเพลงที่เขาเขียนมาก็มีฟีลลิ่งอิโรติกจริงๆ จนเพื่อนที่ช่วยคุมร้องถามถึงอายุคนเขียนเพลงนี้ (หัวเราะ)

 

 

Q. มีกระแสเรียกร้องให้ทำเป็นเวอร์ชั่นภาษาไทยบ้างไหม

มีครับ แต่เราก็คิดว่ามันเกิดมาเป็นภาษาญี่ปุ่น ก็ให้มันมีภาษาเดียวดีกว่า เดี๋ยวมันจะโดนเปรียบเทียบ

 

Q. ทำไมจำนวน Track ที่วางขายในญี่ปุ่นกับเมืองไทยไม่เท่ากัน

อัลบัมที่วางขายในญี่ปุ่นจะเป็น Japanese Edition วางขายที่ญี่ปุ่นเท่านั้น มี 4 เพลงที่เป็นเพลงใหม่ แล้วก็เพิ่มเพลงจากอัลบัม 80 Kisses ที่เป็นอัลบัมเก่าเข้ามาอีก 3 เพลง เพื่อให้เขาที่ยังไม่เคยฟังเพลงของเราได้ลองฟังครับ

 

Q. มีเหตุผลอะไรที่เลือก 3 เพลงนี้เข้าไป

เพราะว่า 3 เพลงนี้เป็นเพลงที่ทำให้คนเริ่มรู้จักวงของเรา หนึ่งในสามเพลงคือ เพื่อนไม่จริง แนวเพลงหรือแนวดนตรีจะคล้ายกับ CITY POP Japan 80’s ของญี่ปุ่น และยังคล้ายกับเพลงของทะสึโระ ยะมะชิตะ (Tatsuro Yamashita) อดีตมือกีต้าร์วง Sugar Babe ด้วยครับ จึงทำให้เชื่อมโยงกันง่ายระหว่างอัลบัม Doyobi Terebi กับอัลบัม 80 Kisses

 

Q. เริ่มฟังเพลงของทะสึโระ ยะมะชิตะตั้งแต่เมื่อไหร่

ฟังได้สัก 3-4 ปีแล้วครับ นอกจากนี้ก็ยังมีโอะฮะชิ จุนโกะ (Ohashi Junko) กับอันริ (Anri) แต่ว่าผมฟังเพลงญี่ปุ่นทั่วไปมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว

จริงๆ แล้วเพลงการ์ตูนมันเหมือนเป็นตัวเปิดทางให้เราเริ่มฟังเพลงญี่ปุ่นมากกว่า ผมได้ยินเพลงญี่ปุ่นครั้งแรกก็จากเพลงการ์ตูนก็จริง แต่ที่ทำให้ชอบจริงๆ คือเพลงที่มาจากเกม Soulcalibur ของวง Glay ตอนนั้นพี่ชายบอกชื่อวงที่ร้องเพลงนี้ผิดเป็น Luna Sea ก็เลยได้ฟังเพลงของวงนี้แทนไปโดยปริยาย พอฟัง Luna Sea ก็เลยได้ฟังเพลงของวงอื่นที่มีแนวเหมือนๆ กันไป เลยทำให้อยากเล่นดนตรีมาจนถึงทุกวันนี้ครับ

 

Q. ศิลปินทั้งสามที่กล่าวถึง ดึงดูดให้เราติดตามเขาได้อย่างไร

อย่างแรกเลยคือเพลงเพราะครับ แล้วตอนที่ทำอัลบัม 80 Kisses ก่อนหน้านี้ ก็ฟังเพลงของทะสึโระ ยะมะชิตะไปด้วย เขาเป็นคนที่เริ่มนำซาวนด์ฟังดูแปลกหูมาใช้ในเพลงเอเชีย โดยที่ฟังดูแล้วไม่เป็นเพลงแนวอเมริกัน ผมสนใจเรื่องที่ว่าเขาหยิบเอามาใช้อย่างไร ใช้วิธีอย่างไร เขาใช้เครื่องดนตรีอย่างไร ก็เลยชอบไปโดยปริยายเลย เพลงของเขาจะมีความเป็นฝรั่งมาก แต่ฟังแล้วไม่เหมือนเพลงฝรั่งเลย ส่วนโอะฮะชิ จุนโกะกับอันริก็เป็นแนวเดียวกันครับ ก็เลยชอบ

 

 

Q. คิดว่าอะไรคือเสน่ห์ของดนตรี CITY POP Japan 80’s

ผมว่าเขามีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง อย่างตอนยุค 80’s ถ้าบ้านเราเอาแนวเพลงฝรั่ง อย่างเช่นของไมเคิล แจ็กสันมาลองทำ เพลงก็จะฟังดูเป็นของต้นฉบับเลย ทั้งวิธีการร้อง พอฟังเราจะรู้สึกว่า อ้าว…นี่เพลงของไมเคิลหรือเปล่า แต่ว่าพอญี่ปุ่นหยิบมาทำ เขาจะเอาความเป็นแจ๊ส ฟรังก์ และความเป็นตัวตนของญี่ปุ่นเข้าไปรวมแล้วกลายเป็นแนวใหม่ที่เรียกว่า CITY POP ขึ้นมาเลย กลายเป็นเพลง 80’s ของญี่ปุ่น แต่เมืองไทยเราไม่ได้เรียกว่า T POP หรืออะไรนะครับ เขาก็เรียกเพลง 80’s เพลง POP สมัยนั้น

 

Q. คิดว่าญี่ปุ่นสร้าง CITY POP Japan อย่างไรโดยที่ไม่เหลือความเป็นอเมริกันเลย

คงด้วยการผสมผสานหลายๆ อย่างของเขาจนออกมาดูดีครับ ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าจุดพลิกผันที่มีคนเรียกว่า CITY POP มันเกิดขึ้นตอนไหน แต่ด้วยเอกลักษณ์ที่เขาแสดงออกมา ที่มีความเป็นแจ๊สและฟรังก์ ซึ่งต่างจากของอเมริกันอย่างเห็นได้ชัด และด้วยการนำเพลงแจ๊สเข้าไปให้แนวดนตรีดูหรูขึ้น มีความอิเล็กทรอนิกนิดๆ เนื้อเพลงพูดเกี่ยวกับเมือง ความหรูหรา ขับรถเล่นตอนกลางคืน เขาเลยเรียกว่า CITY POP ครับ

 

 

Q. นอกจาก CITY POP Japan 80’s แล้ว ฟังเพลงแนวอื่นอีกไหม

ย้อนไปเมื่อช่วง 5 ปีที่แล้ว ผมชอบฟังเพลงรัสเซียของวง Tesla Boy เป็นวง Synthpop ที่ดังมาก จากนั้นก็เริ่มฟังเพลงรัสเซียวงอื่นไปเรื่อยๆ จนพบว่ามีวงอื่นที่ดังกว่าวงที่เราชอบอีกมาก เพราะชาวรัสเซียชอบฟังเพลงร็อกกันเยอะ นอกจากเพลงรัสเซีย ผมก็ฟังเพลงละตินพื้นบ้านครับ ทุกวันนี้ก็มีฟังบ้างนะ แต่อาจจะไม่บ่อยเท่าแต่ก่อน

 

“มันไม่มีคิดไม่ออกหรอก มันทำได้ แต่ต้องใช้เวลา
มันเหมือนเวลาที่เราจะเดินทางไปต่างจังหวัด เรารู้ว่าต้องไปทางไหน
แค่ต้องเดินทางไปอีกไกลแค่นั้นเอง”

 

Q. ระหว่างทำเพลง มีช่วงที่คิดไม่ออกหรือทำไม่ไหวแล้วหรือเปล่า

มันไม่มีคิดไม่ออกหรอกครับ คือมันทำได้ แต่ต้องใช้เวลา มันเหมือนเวลาที่เราจะเดินทางไปต่างจังหวัด เรารู้ว่าต้องไปทางไหน แต่แค่ต้องเดินทางไปอีกไกลแค่นั้นเอง เวลาเราร้องเพลง เราจะรู้ว่าเราต้องร้องเพลงอย่างไร ต้องออกเสียงอย่างไร แต่จะมีช่วงที่ยาก ต้องคอยแก้หลายรอบ อัดเพลงประมาณอาทิตย์หนึ่งแก้ไป 400 รอบเลย ซึ่งเรื่องพวกนี้ก็ต้องใช้เวลา

 

Q. ตั้งแต่เริ่มทำเพลงจนถึงทำเสร็จ มีความรู้สึกแตกต่างกันแค่ไหน

ตอนเริ่มทำจะรู้สึกว่า มันส์ว่ะ รู้สึกมีไฟ บวกกับโปรเจ็กต์นี้ทำขึ้นมาเพื่อสนองความต้องการของตัวเองด้วย เราแค่อยากทำเฉยๆ พอบอกกับทางค่าย ค่ายก็อนุมัติให้ทำเลย อย่างอยากเอากีต้าร์มาอัดในห้องนี้ก็เอามาอัดเลย ทำอะไรก็ได้ตามใจ มันก็เลยสนุก มันส์ ซนได้เต็มที่ แต่พอทำเสร็จแล้ว กลับรู้สึกว่านี่เราทำอะไรลงไป (หัวเราะ) เราทำมันขึ้นมาทำไม

เพลงในอัลบัมนี้แฟนเพลงชาวไทยฟังแล้วอาจไม่เข้าใจ ส่วนชาวญี่ปุ่นถ้าเขาฟังแล้วชอบก็คงดี แต่ก็คงไม่ได้มากมายอะไร เราก็เลยงงว่า…ทำมาทำไม ทำไมไม่ทำเป็นภาษาไทยที่จะได้ฟีดแบ็กกลับมา จะได้กลายเป็นอัลบัมใหม่ แต่เพลงอัลบัมนี้ก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้นครับ ถ้าเป็นเพลงไทยมันคงจะน่ารัก แต่เราก็เลือกทำเป็นภาษาญี่ปุ่น (หัวเราะ)

 

 

Q. ภาพปกอัลบัม อิงกับความเป็น CITY POP Japan 80’s หรือเปล่า

ภาพปก พี่เหนือ-จักรกฤษณ์ อนันตกุล เป็นคนออกแบบให้ครับ เราไม่อยากให้มันอิงกับยุค 80’s มากเกินไป เพราะอยากจะโชว์ Signature ของพี่เหนือด้วย เราจึงให้ใช้คู่สีที่เป็นเอกลักษณ์ของพี่เขาไปเลย ส่วนคาแร็กเตอร์
ที่เป็นสมาชิกในวง มันสืบเนื่องมาจากกราฟิกที่เอามาทำเป็น MV ครับ พี่เหนือเขาออกแบบตามคอนเซปต์ที่เราตั้งไว้ คือไม่อยากให้มีเราในปกแผ่น แล้วอัลบัมนี้ก็เกี่ยวกับการ์ตูนด้วย จึงคิดว่ามันเข้าคอนเซปต์กันครับ

 

Q. อัลบัมนี้ใช้เวลาทำนานแค่ไหน

ประมาณ 4 เดือน แต่ความจริงแล้วความคิดที่อยากจะทำมันเริ่มมาตั้งแต่เดือนเมษายนปีที่แล้ว นับย้อนไปก็ประมาณปีกว่า เหมือนกับว่าเรามีความคิดในหัวอยู่แล้วว่าอยากทำเพลงประมาณนี้นะ สัก 4 เพลง แต่พอมาลงมือทำจริงๆ ก็ใช้เวลาแค่ 4 เดือนเองครับ

 

Q. ในอัลบัมนี้ทำออกมาในรูปแบบไหนบ้าง

อัลบัมนี้น่าจะมีแค่ซีดีกับดิจิทัลดาวน์โหลดครับ ยังไม่รู้ว่าในอนาคตจะเป็นยังไงต้องรอดูฟีดแบ็กอีกที แต่ก็มีเพื่อนชาวญี่ปุ่นที่เขาทำค่ายแผ่นเสียงอีกแห่ง ซึ่งเขาก็สนใจอยากจะทำอัลบัมร่วมกับเรา แต่ว่าเราก็ยังให้ความเคารพกับค่ายเพลงแรกที่เคยทำงานร่วมกันมานาน ถ้ามีอะไรเพิ่มเติม ก็คงได้รู้กันอีกทีครับ

 

 

Q. อัลบัมนี้จะวางจำหน่ายเมื่อไหร่

ที่ญี่ปุ่นจะวางจำหน่ายในเดือนตุลาคม แต่ถ้าเป็นแบบดาวน์โหลด สามารถโหลดได้ตั้งแต่เดือนสิงหาคมที่แล้ว ส่วนที่เมืองไทยเราวางจำหน่ายแล้วครับ

 

Q. ผลตอบรับในญี่ปุ่นหลังจากปล่อยใน iTunes เป็นอย่างไรบ้าง

เขาก็ชอบกันนะครับ ช่วงแรกที่ปล่อยเพลงออกไปก็ได้ขึ้นชาร์ตของ iTunes Store เลยคิดว่ากระแสตอบรับน่าจะดี แต่เราจะไม่ค่อยรู้ว่าดีแค่ไหนเพราะเราก็เป็นคนไทย ไม่รู้ว่าจะเช็กจากทางไหนได้อีกครับ ได้แต่ดูจากชาร์ตอย่างเดียว (หัวเราะ)

 

Q. แล้วในประเทศไทยละ

ก็ดีนะครับ คนฟังก็อยากให้มีเวอร์ชั่นภาษาไทยด้วย พอไปดูตามคอมเม้นต์ก็มีคนแปลเนื้อเพลงให้อะไรแบบนี้ เพราะว่าที่ปกไม่ได้เขียนตัวโรมันจิหรือภาษาคาราโอเกะเอาไว้ด้วย

 

 

Q. คิดว่าวง POLYCAT จะไปสุดที่ตรงไหน

อยากให้วงไปสุดถึงตรงไหน ผมก็ยังไม่รู้เหมือนกันครับ แต่ว่าตอนนี้ก็มีโปรเจ็กต์เยอะมาก คงกินเวลาไปอีก 8 ปี (หัวเราะ)

 

Q. อยากลองสร้าง CITY POP แบบไทยแท้บ้างไหม

เคยลองนะครับ แต่ว่าผมยังไม่เห็นทางครับ อันที่จริงแล้วเพลง CITY POP ยุค 80’s ที่เป็นแนวไทย แต่ที่เห็นความเป็น CITY POP ได้ชัดที่สุดก็คือเพลงลูกทุ่งของคุณพุ่มพวง ดวงจันทร์ ซึ่งเขาสามารถหยิบเพลงมาสร้างแล้วมีความเป็น CITY POP มาก

 

Q. ช่วงนี้จะมีผลงานหรือกิจกรรมอะไรในญี่ปุ่นไหม

ช่วงวันที่ 21-28 ตุลาคมนี้ จะมีไปเล่นโปรโมตอัลบัมใหม่ที่ญี่ปุ่นครับ เพราะเราวางแผงที่ญี่ปุ่นช่วงนั้นพอดี
วันที่ 21 ตุลาคมจะเล่นที่ Crocodile ในฮะระจุกุ วันที่ 23 ตุลาคมเล่นที่ Wall&Wall ในอะโอะยะมะ และวันที่ 28 ตุลาคมเล่นที่ Earth garden ในโยะโยะงิ พาร์กครับ

 

Q. ปกติชอบไปเที่ยวย่านไหนของญี่ปุ่นบ้าง

ชอบไปเอะโนะชิมะ (Enoshima) ครับ แถวๆ โตเกียวไปทางตะวันตกนิดหน่อย ที่นั่นมีชายหาด เหมือนพัทยาบ้านเรานี่แหละ แต่อาจจะสะอาดกว่า (หัวเราะ)

ผมเป็นคนชอบอะไรที่เกี่ยวกับยุค 80’s มาก ถ้าดูอาร์ตเวิร์กหรือหน้าปกแผ่นเสียงของวง จะมีกลิ่นอายของเมือง
ไมอามีเยอะมาก แล้วที่เอะโนะชิมะก็เหมือนกับไมอามี ผมจึงเลือกไปที่นี่ทุกครั้งที่ไปญี่ปุ่นเลยครับ นอกจากที่
เอะโนะชิมะ ที่คิชิโจจิ (Kichijoji) หรือชิโมะกิตะสะวะ (Shimokitazawa) ก็ดีเหมือนกันครับ

 

_

ติดตามผลงานได้ที่ :

Facebook: POLYCAT

IG: POLYCAT

LIKE & SHARE

ชอบเรื่องนี้จนต้องบอกต่อ