สารบัญ

 

ความสุขของคนที่อยู่กับญี่ปุ่นมานานกว่า 11 ปี ;
หลายคนรู้จัก
อุ้ม-มัณฑนา คงปรางค์ ในบทบาทของพิธีกรรายการท่องเที่ยวญี่ปุ่นชื่อดังอย่าง มาจิเด๊ะ! Japan และ มาจิเด๊ะ! Japan X เราเลยเรียกชื่อของเธอกันติดปากว่า ‘อุ้ม มาจิเด๊ะ’ ในขณะที่หลายคนอาจยังไม่รู้ว่าอุ้ม มีอาชีพหลักเป็นมัคคุเทศน์ หรือไกด์นำเที่ยวญี่ปุ่นให้กับบริษัทนำเที่ยวญี่ปุ่นชื่อดังบริษัทหนึ่ง

“พิธีกรเดือนหนึ่งจะทำแค่ครั้งเดียว ถ่ายเดือนละครั้ง ครั้งละสิบวัน ก็จะได้ประมาณ 4-5 เทปกลับมา แล้ววันที่เหลือก็เป็นไกด์ เท่ากับว่าเดือนหนึ่งจะอยู่ญี่ปุ่นประมาณสามอาทิตย์ค่ะ” นี่คือตารางงานของอุ้มในแต่ละเดือนที่เธอบอกกับเรา  

หากพูดถึงอาชีพที่ได้เดินทางบ่อยๆ นอกจากพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินแล้ว ก็น่าจะเป็นไกด์นี่ละ ที่จะทำให้หลายคนอิจฉาในวิถีชีวิตของพวกเขา หลายๆ คนจึงมีความฝันว่าอยากเป็นไกด์ เพราะจะได้เที่ยวบ่อยๆ และได้เที่ยวไปทั่วโลก แต่ไม่ใช่ทุกคนหรอก ที่จะได้ทำในสิ่งที่อยากทำ แล้วพบว่านี่แหละ คือความสุขของเราจริงๆ

 

 

Q. ก่อนจะมาเป็น ‘อุ้ม มาจิเด๊ะ’

ถ้าย้อนกลับไปเลย คืออุ้มอยากเป็นไกด์ตั้งแต่เด็กแล้ว เรารู้สึกว่าอาชีพนี้มันมีเสน่ห์ ตอนเด็กๆ เราไปเที่ยวกับทัวร์ แล้วเรารู้สึกว่าเขารู้ทุกอย่างเลย เราอาจจะได้เจอไกด์เก่งๆ พอดี เราก็รู้สึกว่าทำไมคนนี้พูดได้โดยที่ไม่ต้องอ่านอะไรเลย แล้วคนก็เชื่อด้วย มันดูพิเศษนะ ก็เลยคิดว่าถ้าเราไปเที่ยวแล้วเรารู้ทุกอย่างที่เราจะไป มันคงดี แต่ก็ไม่ได้คิดว่าจะเป็นไกด์ญี่ปุ่น เพราะเราอยากเป็นไกด์ทั่วโลก ก็เลยเรียนด้านนี้โดยเฉพาะ
ที่มหาวิทยาลัยรังสิต เกี่ยวกับธุรกิจการท่องเที่ยวและการโรงแรม เรียนเกี่ยวกับการท่องเที่ยวทั้งหมด แต่อุ้มเน้นที่เป็นมัคคุเทศน์โดยเฉพาะ พอเรียนจบก็ได้มาทำงานที่บริษัท J PLAN HOLIDAY ที่นี่ทำแต่ญี่ปุ่นอย่างเดียว อุ้มเริ่มทำงานตอนปี ค.ศ.2006 จนถึงตอนนี้ก็ 11 ปี เราก็เลยกลายเป็นคนชอบญี่ปุ่นไปโดยไม่รู้ตัว เราพูดภาษาญี่ปุ่นไม่ได้ เพราะเราไม่ได้ตั้งใจตั้งแต่แรกว่าจะมาเป็นไกด์นำเที่ยวประเทศญี่ปุ่น

งานแรกที่ได้ทำตอนเข้ามาคือเป็นหัวหน้าทัวร์ พาลูกค้าคนไทยบินไปเจอไกด์ท้องถิ่นที่ญี่ปุ่น เราก็ดูแลลูกค้า อธิบายสถานที่ต่างๆ ทั้งหมด แต่ถ้าส่วนที่ต้องสื่อสารกับคนขับรถ หรือว่าร้านอาหารและโรงแรม ก็จะเป็นหน้าที่ของไกด์ท้องถิ่น พอทำไปได้สักพักก็เริ่มเรียนภาษาญี่ปุ่น เจ้านายให้ครูญี่ปุ่นมาสอนภาษาญี่ปุ่นตอนเย็นที่บริษัท ทุกคนก็จะได้เรียน ซึ่งการเรียนตอนนี้มันดีนะ เพราะเราจะได้เอาไปใช้เลย และได้ภาษาญี่ปุ่นในแบบที่เราต้องการใช้จริงๆ

 

Q. อย่างที่รู้ว่างานไกด์เป็นงานที่ต้องทำซ้ำๆ เคยเบื่อบ้างหรือเปล่า

อุ้มไม่เคยเบื่องานนี้นะ บางทีแค่กลัวว่าการที่เราพาลูกค้ามาที่นี่บ่อยๆ จะทำให้เราใส่ใจที่นี่น้อยลง เพราะเราชินกับมัน เราทำงานมาสิบเอ็ดปี สองปีแรกของการทำงานรู้สึกยังไง ตอนนี้มันอาจจะคนละความรู้สึกแล้ว เพราะอุ้มรู้แล้ว ชินแล้ว ไม่ตื่นเต้นกับการพาลูกค้าไปแล้ว อุ้มแค่กลัวตรงนั้น เพราะถ้าเราไม่ตื่นเต้น เราจะทำส่งๆ และจะไม่อินกับมัน ในปีหนึ่งอุ้มจะขอพักแบบลีฟวิตเอาต์เปย์ไปเดือนหนึ่ง เพื่อให้ตัวเองกลับมาแล้วรู้สึกอยากทำงาน เพราะถ้าเราทำซ้ำๆ ทุกวันๆ วันหนึ่งอุ้มจะรู้สึกว่า ไม่เอาแล้ว

 

Q. เริ่มทำรายการ มาจิเด๊ะ! Japan ได้ยังไง

พอทำทัวร์ไปเรื่อยๆ พี่พัฒน์  (MD บริษัท J PLAN HOLIDAY) เขาเริ่มเห็นว่า อีกหน่อยในอนาคตจะต้องมีคนไปญี่ปุ่นเองเยอะ คนจะไปกับทัวร์จะน้อยลง การที่ญี่ปุ่นยกเลิกวีซ่า มันจะทำให้คนเที่ยวเองเยอะขึ้น และการที่เราจะเป็นบริษัทนำเที่ยวที่ครบวงจร เราจะต้องมีรายการด้วย ซึ่งพี่พัฒน์เขารู้สึกขัดใจหลังจากที่
ดูรายการท่องเที่ยวญี่ปุ่นหลายๆ รายการ (หัวเราะ)​ แบบทำไมไม่ไปตรงนี้ ทำไมไม่บอกความจริงคนดูแบบนี้ เขาก็เลยคิดว่าถ้าทำเองก็จะทำให้เป็นรายการที่ไม่ใช่แบบกึ่งรายการโชว์ แต่เป็นกึ่งให้รู้เลย และก็คิดว่าถ้าเราไม่ทำ ต้องมีคนอื่นทำแน่ๆ ก็เลยทำเลย

 

Q. ทำไมถึงเลือกอุ้มให้เป็นพิธีกร

พี่พัฒน์ไม่ได้อยากได้ดารา เขาอยากได้คนธรรมดาที่รู้เรื่องญี่ปุ่น ก็เลยมองหาคนจากในบริษัทเนี่ยแหละ แล้วเขาก็เลือกเรา โปรดิวเซอร์รายการก็บอกว่าคนนี้น่ะได้ ก็เลยลองทำดู

 

Q. เอาทักษะการเป็นไกด์มาใช้อะไรบ้างในการเป็นพิธีกรรายการท่องเที่ยว

ใช้เยอะมาก บอกเลยว่าใช้เยอะ เพราะรายการนี้เป็นรายการที่แทบจะไม่มีสคริปต์เลย จะมีสคริปต์ก็ต่อเมื่อเป็นเรื่องที่สำคัญจริงๆ เช่น ไปปราสาทหนึ่ง ก็ต้องมีข้อมูลว่าปราสาทนี้สร้างตั้งแต่ปีไหน แบบนี้คือต้องมีสคริปต์และต้องจำ แต่อย่างอื่นก็ไม่มีสคริปต์ให้เลยนะ เราก็พูดไปเรื่อยๆ แล้วทีมงานก็จะไปตัดเอาเอง เราจะจำเฉพาะข้อมูลที่เป็น fact เช่น ไปที่นี่นั่งรถไฟสายอะไร ลงที่ไหน แค่นั้น ที่เหลืออุ้มพูดสดเลย

 

“อุ้มไม่เคยเบื่องานนี้นะ
เพราะถ้าเราไม่ตื่นเต้น เราจะทำส่งๆ และจะไม่อินกับมัน”

 

Q. เรื่องแผนการเที่ยวในรายการก็ทำเองด้วย

ช่วยกันในทีม ซึ่งเป็นทีมเดิมเลยตั้งแต่แรก ไปด้วยกันตลอด มันก็จะสนิทกัน ตอนทำเทปแรกเรารู้สึกเลยนะว่ามันแข็งมาก แล้วก็คิดว่า เราทำอะไรอยู่เนี่ย (หัวเราะ) ตอนนั้นเป็นตอนที่อธิบายสายรถไปยะมะโนะเตะ
ที่โตเกียว เรารู้สึกว่าเราพูดอยู่กับใครก็ไม่รู้ มันไม่สนิทกัน เพราะทุกคนก็เพิ่งไปด้วยกันครั้งแรก กลายเป็นว่าเรากดดันมาก อย่างการที่ต้องไปยืนอยู่แยกกินซ่าแล้วมีกล้องมาถ่ายเราและก็มีคนอื่นมายืนดูเรา เราก็เลยไม่รู้ว่าจะจดจ่อกับอะไร มันก็เลยเกร็งๆ ตอนหลังพอไปด้วยกันบ่อยขึ้น ความรู้สึกก็เริ่มเปลี่ยน เหมือนไม่ได้คุยกับกล้องแล้วนะ มันกลายเป็นว่าเราคุยกับเพื่อนมากกว่า

 

Q. รายการนี้ทำมากี่ปีแล้ว

ทำตั้งแต่ปี 2011 จนถึงปีนี้ 2017 หกปีแล้ว ตอนแรกคือชื่อรายการเจแปนเอกซ์ทีวี อยู่ที่ช่อง Green Chanel อยู่ได้หนึ่งปีก็ย้ายมาอยู่ช่อง Bang Chanel พอย้ายก็ต้องเปลี่ยนชื่อรายการเพราะช่องอยากให้เปลี่ยน ก็เลยมาเป็นมาจิเด๊ะ! Japan แล้วก็ย้ายมาอยู่ช่อง One สุดท้ายก็มาช่อง Now แล้วเปลี่ยนชื่อรายการเป็น มาจิเด๊ะ! Japan X ซึ่งเอกซ์ที่เพิ่มมานี้มันหมายถึง Extreme และ Experience คอนเทนต์ในรายการก็จะมากกว่าการสอนไปเที่ยว จะมีกิจกรรมต่างๆ มากขึ้น มากกว่าการเดินทาง

 

 

Q. เคยอยากทำรายการท่องเที่ยวประเทศอื่นๆ หรือเปล่า

เคยคิดเหมือนกัน แต่ว่าอุ้มเกิดมากับญี่ปุ่น ถ้าเทียบกับการเรียน เหมือนเราเรียนเกี่ยวกับญี่ปุ่นมาสูงแล้ว ประเทศอื่นอาจจะรู้บ้างไม่รู้บ้าง เราก็ต้องไปเริ่มใหม่ แล้วสิ่งที่อุ้มพูดในรายการมันเป็นสิ่งที่อุ้มรู้ ถ้าเกิดอุ้มไปไต้หวัน อุ้มอาจจะไม่รู้จริงๆ เพราะคอนเซ็ปต์รายการมันเริ่มจากที่พี่พัฒน์ที่เป็นนายอุ้ม เขาไม่ได้อยากได้ดารามาเป็นพิธีกร เขาอยากได้คนที่รู้จริงๆ มาทำ คนที่ได้ดูรายการก็จะเชื่อว่าเรารู้จริงๆ

 

Q. มาจิเด๊ะ! Japan X ตอนสุดท้ายที่ออกอากาศเมื่อปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา

เพราะว่ามันหมดซีซั่นแล้ว แล้วก็ตอนนี้หมดสัญญากับทางช่อง NOW เลยคิดว่าจะเปลี่ยนแปลงรายการใหม่ ซึ่งพี่พัฒน์ก็บอกว่ามันจะต้องมีอะไรใหม่ที่มันมากกว่าเดิม

 

Q. หมายถึงการเปลี่ยนรูปแบบรายการ

ใช่ค่ะ คือก่อนที่จะเป็นรายการ มาจิเด๊ะ! Japan เนี่ย มันเป็นเจแปนเอ็กซ์มาก่อน ถ้านับเวลาจนถึงตอนนี้
ก็ห้าถึงหกปีแล้ว เลยรู้สึกว่าเวลาขนาดนี้ถ้ารายการยังเหมือนเดิมก็อาจจะไม่ดี…โอเคแหละ ถ้าคนที่ชอบดู
ก็จะชอบดู แต่เราก็จะไม่ได้ลูกค้าใหม่ๆ หรือว่าคนดูเขาอยากจะได้อะไรมากกว่านี้ แต่คอนเซปต์ยังคงไว้แบบเดิม คนดูสามารถตามเราไปเที่ยวได้เหมือนเดิม แต่ในรูปแบบที่เราจะนำเสนอขั้นตอนการเที่ยวให้ดูนั้นอาจจะต่างไป

 

Q. มาจิเด๊ะ แปลว่าอะไร

แปลว่า จริงๆ เหรอ มีจริงๆ เหรอ อะไรแบบนี้ วัยรุ่นญี่ปุ่นเขาชอบพูดกัน แบบเห้ย มันมีตรงนี้ด้วยนะ เพื่อนอีกคนก็จะบอกว่า มาจิเด๊ะ เห้ยมีที่แบบนี้จริงๆ เหรอ

 

Q. คอนเซปต์รายการมาจิเด๊ะ! Japan

ถ้าดูรายการนี้แล้วคุณสนใจจะไปเที่ยวญี่ปุ่น แพ็กกระเป๋าแล้วทำตามเราได้เลย มันจะเป็นเหมือนคล้ายๆ กับคนที่มารีวิวในเว็บไซต์พันทิป มาถึงแล้วไปยังไง ถ่ายหน้าสถานี เป็นต้น ซึ่งมันจะเป็นแบบนี้เลย เพียงแต่ว่าเราทำออกมาในรูปแบบโทรศัพท์ คุณจะไปสถานีโตเกียว แต่ไม่เคยไปญี่ปุ่นเลย นึกหน้าตาไม่ออกเราก็จะพาไป หรือจากสถานีโตเกียวจะไปภูเขาไฟฟูจิไปยังไง เราจะทำให้ดูจนไปถึงเลย ตั้งแต่การซื้อตั๋ว ช่องขายตั๋วเป็นแบบนี้ กดอันนี้ เป็นขั้นตอนเลย เราจะบอกเขาให้ไปถึงสถานที่นั้นได้โดยไม่หลง ส่วนเรื่องของไปถึงแล้ว ภูเขาไฟฟูจิจะเป็นยังไง มันไม่ใช่เนื้อหาสำคัญเท่าไร แต่ว่าในระหว่างที่ไปก็อาจมีความสนุกสนานแทรกเข้าไปด้วย

 

Q. การที่มีรายการท่องเที่ยวญี่ปุ่นมากมาย มีวิธีทำให้รายการต่างจากรายการอื่นๆ ยังไง

รายการเราแตกต่างอยู่แล้ว รายการท่องเที่ยวอื่นๆ จะเป็นรายการที่ไม่ได้เชิงสอนการเดินทางแบบที่เราทำ เช่น ถ้าไปเที่ยวภูเขาไฟฟูจิ เขาก็จะเน้นไปที่ความสวยงามของภูเขาไฟฟูจิ หรือจากสนามบินอาจจะวาร์ปไปที่ภูเขาไฟฟูจิเลย เพราะให้ความสำคัญกับสถานที่ท่องเที่ยวนั้น แต่ว่าความสำคัญของรายการอุ้มคือ คุณจะเที่ยวเองยังไงจากสนามบินให้ไปถึงภูเขาไฟฟูจิ อันนี้คือแตกต่าง เวลาคนดู ดูแล้วและตั้งใจจะไปเที่ยวญี่ปุ่นอยู่แล้ว จะรู้สึกว่ารายการนี้มีประโยชน์ เพราะเขาจะได้รู้ว่า อ๋อ จากสนามบินจะไปภูเขาไฟฟูจิ วิธีที่หนึ่งคือนั่งรถบัสจากสนามบินไปได้เลย สองนั่งรถไฟไป นั่งรถไฟแล้วต่อกี่สาย อะไรแบบนี้

 

Q. รายการมาจิเด๊ะ! Japan ก็เป็นเหมือนหนังสือคู่มือท่องเที่ยว

ใช่ค่ะ อย่างรอบๆ สถานีโตเกียวมีอะไรกินบ้าง ร้านเด็ดที่ไม่ควรพลาด มีราเมงตรงนี้ ให้เพื่อนๆ หันหลังให้สถานี แล้วเดินไปทางซ้าย ข้ามถนน  เลี้ยว อะไรแบบนี้ ภาพมันจะตามมาเลย แล้วก็ถึงร้านเลย ซึ่งมันตอบโจทย์คนเที่ยวเอง

 

 

Q. ทำมาถึงหกปี รู้สึกว่าตันกับประเทศญี่ปุ่นหรือหมดไอเดียมั้ย

อุ้มรู้สึกว่าถ้าไม่ใช่ประเทศญี่ปุ่น คงทำไม่ได้มานานถึงหกปี ญี่ปุ่นมี 47 จังหวัด มีสถานที่ท่องเที่ยวที่เที่ยวได้ทั้งปี คือญี่ปุ่นมี 4 ฤดูที่ชัดเจนมาก ถ้าอุ้มไปฮอกไกโดหน้าหนาว แล้วกลับไปในหน้าร้อนอีกที สภาพเปลี่ยนไปเลยนะ คนละอารมณ์เลย ทั้งที่เป็นสถานที่เดียวกัน เช่น อุ้มไปฟุราโนะ ถ้าไปหน้าหนาวก็จะเป็นลานสกี ที่เล่นสโนว์โมบิล แต่ถ้าอุ้มไปหน้าร้อน ก็จะเป็นทุ่งลาเวนเดอร์ มีเมลอนให้กิน แล้วญี่ปุ่นมันมีดีอย่างหนึ่งคือเรื่องอาหาร คนญี่ปุ่นจะเน้นอาหารท้องถิ่นและอาหารตามฤดูกาล นั่นเท่ากับว่าคุณจะไม่สามารถหาเมลอนกินในฤดูหนาวได้

ลองเปรียบเทียบกับสิงคโปร์ ถ้าอุ้มทำรายการท่องเที่ยวประเทศสิงคโปร์ อุ้มจะตันมาก หรืออุ้มทำแบบนี้กับฮ่องกง อุ้มก็จะตันมากเหมือนกัน เพราะว่าในสถานที่เดียวกัน พอเปลี่ยนฤดูกาลมันก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลง แต่ญี่ปุ่นมันมีความหลากหลาย และจุดเด่นคือความเป็นโอท็อป หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ของเขามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ คือถ้าเราไปจังหวัดหนึ่ง บ๊วยเขาดังและอร่อยมาก มันก็ไม่มีขายในจังหวัดอื่น เชื่อว่าคนที่ไปญี่ปุ่นจะรู้สึกแบบเดียวกับอุ้มว่ามันไปซ้ำๆ ได้จริง ครั้งที่สอง ครั้งที่สามก็ยังไม่เบื่อ มันเลยทำให้เราไม่รู้สึกว่ารายการมันยังไม่ตัน จริงๆ แล้วขนาดอุ้มทำรายการท่องเที่ยวมาหกปี และทำทัวร์มาสิบเอ็ดปี บางจังหวัดอุ้มยังไม่เคยไปก็มีนะ

สมมติว่าอุ้มอยากทำแบบเจาะลึกจังหวัดนี้เลยทั้งจังหวัด แต่ว่าคนดูก็ไม่ได้อยากไปแค่จังหวัดเดียวหรอก
ก็ต้องบวกจังหวัดรอบข้างเข้าไปด้วย อย่างไปเที่ยวครั้งหนึ่ง เขาก็ไม่ได้อยากไปแค่โอซาก้าอย่างเดียวหรอก
ก็ต้องทำคอนเทนต์โดยการบวกเอาเมืองข้างๆ อย่างเกียวโต นารา โกเบ เข้าไปด้วย มันก็เลยกลายเป็นว่า
ถ้าเราจะเจาะจังหวัดนั้นอย่างเดียว จังหวัดนั้นมันต้องเด่นจริงๆ คุ้มกับการไปจริงๆ

ตอนนี้คนไทยไปเที่ยวญี่ปุ่นเยอะมาก และไปเมืองที่เป็นอันซีนมากขึ้น มันเลยกลายเป็นว่า แรกๆ อุ้มจะทำเมืองหลักๆ ก่อน พอตอนหลังๆ ก็จะเริ่มเจาะลึกเยอะขึ้นเพื่อให้คนที่ดูแล้วไปเที่ยวตามอุ้มมากกว่าสามครั้ง เขาจะเริ่มอยากไปในจังหวัดที่ลึกๆ แล้ว ก็ต้องทำเพื่อตอบโจทย์หลายๆ คน อย่างถ้าทำแบบอันซีน คนที่เพิ่งเข้ามาดูใหม่ๆ ก็จะบอกว่า พี่อุ้มพาไปโตเกียวหน่อย พี่อุ้มพาไปโอซาก้าหน่อย แล้วญี่ปุ่นมันเปลี่ยนเร็วจริงๆ อย่างโตเกียว ถ้าไม่ได้ไปสองสามปี กลับไปอีกทีไม่เหมือนเดิมแล้ว ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยว ส่วนใหญ่ที่ทำมาหกปี ซ้ำสถานที่ แต่ไม่เคยซ้ำคอนเทนต์กันเลย

 

Q. จากที่ดูรายการแทบไม่มีสปอนเซอร์เลย

รายการเราอาจจะไม่ได้เอาใจสปอนเซอร์ แต่เรารู้ว่ารายการมันเดินได้ด้วยทั้งคนดูและสปอนเซอร์ สินค้าบางตัวเราก็รู้สึกว่ามันไม่เข้ากับรายการและไม่เข้ากับอุ้มเลย เราอาจจะรู้สึกตะขิดตะขวงในใจเราเอง ก็ไม่รับบ้าง (หัวเราะ) ดังนั้นอุ้มไม่คิดว่ารายการนี้เป็นแหล่งที่มาของรายได้หลักเลยนะ เพราะบางซีซั่นไม่มี
สปอนเซอร์คัฟเวอร์ค่าใช้จ่ายทั้งหมดด้วยซ้ำ แต่ที่ทำเพราะว่าเราอยากทำจริงๆ บริษัทที่อุ้มทำงานเป็นบริษัทญี่ปุ่น หัวหน้าอยากให้ครบวงจร มันไม่ได้โฆษณาบริษัทมากหรอก แต่ว่ามันสนับสนุนให้บริษัทแข็งแรงขึ้น เรามีรายการทีวีที่สอนคน เราไม่ได้ขายทัวร์หรือตั๋วรถไฟอย่างเดียว เราไม่ได้จะรับอย่างเดียว แต่เรามีการให้ข้อมูลด้วย ซึ่งการให้ข้อมูลของเรา มันอาจจะต่างจากบริษัททัวร์อื่นๆ ที่โทรมาแล้วได้ข้อมูลไป แต่เราทำเพื่อให้เป็นข้อมูลของหลายๆ คน พอเราทำ แล้วคนดูเชื่อ คนดูดูเราสักตอนสองตอนแล้ว การที่อุ้มจะขายตั๋วเจอาร์สักใบหนึ่งอาจไม่ใช่เรื่องยากแล้ว

 

Q. แสดงว่ามีคนที่ดูรายการแล้วกลายมาเป็นลูกค้าของบริษัทเราเยอะขึ้น

ใช่ค่ะ เขาดูรายการแล้วก็มีโทรมาขอข้อมูลที่บริษัท แล้วก็ซื้อตั๋วนี้ เพราะเขารู้สึกมั่นใจในบริษัทเรา มันเหมือนเป็นการสร้างความเชื่อมั่นโดยที่เราไม่ต้องโฆษณาว่าเราดียังไง แบบนี้อุ้มว่ามันน่าจะขายได้ยาวกว่า

ตอนแรกอุ้มไม่ได้คิดว่าจะขายเขามากกว่า เราให้เขาไปก่อน ทำให้เขารู้วึกว่าเราไม่ได้ยัดเยียดให้ เพราะถ้าอุ้มจะยัดเยียดในทุกเทปมันจะต้องมีการขายของ แต่อุ้มไม่เคยขายตั๋วหรืออื่นๆ ในรายการเลย แต่ว่าถ้าใครถาม อุ้มก็บอกนะว่าเราอยู่บริษัททัวร์นี้ บางคนยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอุ้มเป็นไกด์ ทุกคนจะคิดว่าอุ้มเป็นพิธีกรรายการท่องเที่ยว แต่อุ้มก็ไม่เคยคิดจะขายตัวเองนะว่าทำงานเป็นไกด์ ทำที่ไหน เพราะอุ้มกลัวว่าเขาจะมองอุ้มเปลี่ยนไป แบบอ๋อ ทำรายการเพราะจะขายทัวร์ อะไรอย่างนี้

 

 

Q. คิดว่าญี่ปุ่นจะเป็นจุดหมายปลายทางของคนไทยไปอีกกี่ปี

อุ้มว่ามันจะขึ้นๆ ลงๆ เหมือนเกาหลีแหละ คนจะกลับมาอีก เพราะการท่องเที่ยวของญี่ปุ่นมันมีการ repeat ตลอด อย่างที่บอกว่ามีน้อยคนมากที่จะไปญี่ปุ่นครั้งเดียวแล้วไม่ไปอีกเลย มันจะมีแบบ เฮ้ย ยังไม่ได้ไปเมืองนี้เลย ยังไม่ได้เมืองนั้นเลย เอาแค่เมืองหลักๆ อย่างโตเกียว โอซาก้า ฮอกไกโด ก็ต้องไปสามครั้งแล้วนะ ไหนจะเป็นส่วนข้างล่างอย่างฟุกุโอกะ หรือฮิโรชิมะ นี่ก็ต้องไปอีก เพราะไปครั้งเดียวกันไม่ได้ ดังนั้นญี่ปุ่นมันน่าจะเป็นจุดหมายปลายทางที่ต่อบ้านหนึ่ง ต่อครอบครัวหนึ่งต้องไปญี่ปุ่นซ้ำมากกว่าสองครั้งแน่ๆ

 

Q. เทรนด์การท่องเที่ยวญี่ปุ่นของคนไทยเป็นยังไงต่อไป

อุ้มว่านักท่องเที่ยวจะไม่ไปแบบผิวเผินละ ตอนแรกก็จะไปแบบผิวเผิน ไปเจาะเมืองใหญ่ๆ ก่อน จะไปในที่ที่แบบเดินทางสะดวก เดินทางง่าย ไปโตเกียวก็นั่งรถไฟได้หมดเลย คนที่มาถามที่อุ้มที่บริษัท หรือว่ามาซื้อตั๋วรถไฟต่างๆ เขาวางแผนการเที่ยวแบบโอ้โห เอ็กซ์เปิร์ตมาก อุ้มงงเลยว่าเขาจะไปตรงนี้ทำไม อย่างจะไปน้ำตกนาจิ (Nachi Falls) ก็แบบเห้ยไปทำไมน่ะ ขนาดเราไปมาหลายรอบ เรายังรู้สึกว่ามันลำบากนะ ก็เออ เขามีแผนการเที่ยวที่ลึกขึ้น อันซีนมากขึ้น

 

Q. แล้วไลฟ์สไตล์การเที่ยวในแบบอุ้มเป็นยังไง

จริงๆ แล้วก็มีความคล้ายกับในรายการเลยนะ แต่ว่าอาจจะไม่เหมือนซะทีเดียว อย่างในรายการ หนึ่งวันอุ้มต้องไปให้ได้เกินสามที่ เราต้องทำให้เขารู้สึกว่าวันหนึ่งไปแล้วไม่เสียเที่ยว เช่น มีเวลาน้อยในโตเกียว ไปตรงนี้ก็ได้นะ ตอนเช้าไปวัด ตอนบ่ายไปช็อปปิ้ง ตอนค่ำไปขึ้นโตเกียวสกายทรี แต่ว่าชีวิตอุ้มจริงๆ ไปที่เดียวพอ สมมติชอบย่านไดกังยะมะ ก็จะไปย่านนี้แล้วเดินให้มันอิ่ม ชอบแบบนี้มากกว่า ไปแล้วเจาะลึก สมมติอุ้มไม่เคยมาทองหล่อ อุ้มจะไม่อยู่ทองหล่อแค่สามชั่วโมง อุ้มจะให้เวลากับทองหล่อทั้งวัน เดินดูว่ามันเป็นยังไง อาจเป็นเพราะงานอุ้มด้วยมั้งที่เป็นไกด์ มันเลยติด ถ้าสถานที่นั้นไม่เคยไป อย่างแรกที่จะทำคือ อุ้มจะเดินดูว่ามันเป็นยังไง ให้จำอยู่ในหัวเลย ทิศทางเป็นยังไง กลายว่าเป็นนิสัยเราไปเลย จริงๆ ไม่ได้อยากเป็นคนแบบนี้นะ แต่เป็นเพราะตอนเรามาทำทัวร์ใหม่ๆ ไปแล้วเราไม่รู้ ลูกค้าก็จะชอบถามเราว่าคุณอุ้มห้องน้ำอยู่ตรงไหน ร้านนี้อยู่ตรงไหน กลายเป็นว่าเราต้องหาให้เขาตลอด ทีนี้พอที่ไหนที่ไม่เคยไป อุ้มก็จะจำว่ามันมีอะไรตรงไหนบ้าง

 

Q. อย่างนี้การเที่ยวมันจะสนุกไหม

มันก็สนุกนะ เราก็จะได้รู้ว่าเราชอบตรงไหน ชอบอะไร เช่น ไปย่านไดกังยะมะในโตเกียว ซึ่งเป็นย่านที่อุ้มชอบ ถ้าไปครั้งแรก อุ้มก็จะเดินให้ทั่วก่อน พอเจอร้านที่อุ้มชอบแล้วก็จะไปร้านนี้ อุ้มชอบแบบนี้มากกว่า

 

 

Q. เคยเบื่อญี่ปุ่นไหม

ปีหนึ่งอุ้มจะไปเที่ยวประเทศอื่นครั้งหรือสองครั้ง เพื่อจะไปรู้ว่าประเทศอื่นเป็นยังไงบ้าง บางทีก็รู้สึกว่าไปครั้งเดียวก็พอในบางประเทศ หรือไม่ก็อีกสองสามปีค่อยมาใหม่ก็ได้ หลายๆ คนเห็นอุ้มทำงานตรงนี้ก็จะแบบ อุ้มพาไปเที่ยวญี่ปุ่นหน่อย หรือครอบครัวก็จะให้พาเที่ยว ซึ่งถามว่าเราเบื่อญี่ปุ่นมั้ย ก็ไม่เบื่อนะ จะมี
ก็แต่คนที่ทำให้เรารู้สึกเบื่อมากกว่า ดังนั้นเพื่อนร่วมเดินทางสำคัญมาก

 

Q. สิ่งที่ชอบในญี่ปุ่น

บางทีเราชอบมันโดยไม่รู้ตัว แต่จะมารู้ตัวตอนที่อยู่เมืองไทยหรือไปประเทศอื่น อุ้มชอบความสะดวกสบาย และความคิดเยอะของคนญี่ปุ่น บางทีเราจะรู้สึกว่า ญี่ปุ่นทำไมต้องละเอียดขนาดนี้ด้วย แต่ในความพิถีพิถันนั้นทำให้วันหนึ่งเรา ‘อ๋อ’ ขึ้นมา จำได้เลยว่าตอนนั้นขึ้นบีทีเอส เห็นลิฟต์เขียนว่าสำหรับคนพิการซึ่งต้องติดต่อเจ้าหน้าที่ แต่ที่ญี่ปุ่นเขาจะมีสิ่งอำนวยความสะดวกให้คนพิการช่วยเหลือตัวเองได้เลยโดยที่ไม่ต้องขอความช่วยเหลือจากใคร แล้วการเดินทางในญี่ปุ่น เราสามารถไปทั่วเกาะได้โดยที่ไม่ต้องขับรถ ใช้รถไฟได้เลย ชิงคันเซ็นไปถึงที่ที่ไกลมากได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง รู้สึกว่าเราติดความสะดวกนี้ พอไปประเทศอื่นเราก็
จะคิดว่า เฮ้ย ถ้ามันสะดวกแบบที่ญี่ปุ่นก็ดีนะ

 

Q. แล้วสิ่งที่ไม่ชอบในญี่ปุ่น

ถ้าไม่ชอบเลยมันก็คงเป็นเรื่องพื้นๆ ทั่วไป อย่างเรื่องคน มันก็มีทั้งคนดีและไม่ดีในทุกที่แหละ ยิ่งถ้าพูดถึงเรื่องการทำงานมันก็จะคนละอารมณ์กับการเป็นเพื่อนกันเฉยๆ เพราะทำงานเขาก็จะจริงจังมาก ถ้าอุ้มต้องไปทำงานกับคนญี่ปุ่น อุ้มอาจจะไม่ได้รักความเป็นญี่ปุ่นอย่างทุกวันนี้ก็ได้นะ

 

Q. Best of Autumn

จริงๆ ที่สุดของฤดูใบไม้ร่วงของอุ้มมีหลายที่นะ แต่ถ้าแวบแรกแล้วนึกถึงเลยก็คือตรงแถวๆ วะกะยะมะ อยู่ล่างโอซาก้ามาหน่อยหนึ่ง เป็นเส้นทางแสวงบุญ เหนือน้ำตกนาจิขึ้นไปที่เป็นวัด ตรงนั้นจะสวยมากในช่วงใบไม้เปลี่ยนสี แล้วพอต้นไม้อยู่กับวัดญี่ปุ่นที่ดูเรียบง่ายไม่ต้องมีองค์ประกอบอะไรเยอะแยะ กับสีสันของใบเมเปิ้ล เลยทำให้รู้สึกว่าตรงนี้สวยจัง ถ้าไปนิกโก้มันก็จะมีภูเขามีป่า แต่ที่นี่เป็นแค่ทางกรวด สองข้างทางมีใบเมเปิ้ลโน้มเข้าหากัน แล้วมีใบเมเปิ้ลร่วงลงมาที่พื้น แค่นี้ก็สวยแล้ว ไม่ต้องประดิษฐ์อะไรเลย

 

Q. Best of Winter

หลายคนอาจจะชอบความเงียบ หนาวๆ เหงาๆ แต่สำหรับอุ้ม อย่างเดียวเลยคือเล่นสกี อาจเพราะอุ้มต้องพาลูกค้าไปเล่น เราเลยต้องเล่นเป็นด้วย มันเป็นกีฬาที่เล่นได้ไม่กี่เดือน เขาบอกว่าที่นิเซโกะ ในฮอกไกโดจะเป็นหิมะที่เป็นแบบพาวเดอร์สโนว์ ซึ่งมันไม่ได้มีทุกที่ และหิมะแบบนี้มีเพียงไม่กี่ที่ในโลก หิมะมันจะเบา บาง และนุ่ม กระโดดลงไปในกองหิมะไม่เปียกเลยนะ มันนุ่มมาก รู้สึกว่ามหัศจรรย์มาก

 

Q. Best of Spring

คนก็อาจจะเอ็นจอยกับซากุระ เอ็นจอยกับอากาศที่กำลังดี แต่ถ้าเป็นอุ้มก็คงนึกถึงย่านนะกะเมะงุโระ ในโตเกียว มีคลองเล็กๆ แล้วก็มีต้นซากุระโน้มลงมาเยอะๆ มีร้านกาแฟน่ารักๆ แค่นั้นพอแล้ว

 

Q. Best of Summer

จริงๆ ฤดูร้อนญี่ปุ่นร้อนมาก ร้อนแบบระอุเลยนะ ร้อนกว่าเมืองไทย แดดแรงมาก แต่หน้าร้อนมันก็ทำให้สบายๆ แต่งตัวง่าย ชอบของเซลส์ด้วย (หัวเราะ)

 

 

Q. ชอบเมืองไหนมากที่สุด

อุ้มก็ยังยืนยันว่าชอบโตเกียวอยู่ คนอื่นอาจจะชอบเมืองอื่นที่ดูสงบกว่านี้ แต่อาจจะเป็นเพราะเราเป็นคนติดเมือง ไปต่างจังหวัดได้นะ แต่ถ้าสองสามวันจะเริ่มหงอยๆ แล้ว (หัวเราะ) แต่เมืองเนี่ย ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องช็อปปิ้งทุกวันนะ แค่ชอบตึกๆ เป็นคนชอบนิวยอร์กมาก บางคนอาจจะไม่ชอบนิวยอร์กเลย ไปแล้วไม่มีอะไร แต่เราไปแล้วรู้สึกสวยจัง

 

Q. ฝากถึงนักท่องเที่ยวไทยที่จะไปญี่ปุ่น

นักท่องเที่ยวไทยส่วนใหญ่ก็น่ารักอยู่แล้ว จริงๆ แล้วคนญี่ปุ่นชอบคนไทยนะ ถ้าเทียบกับหลายๆ ชาติ เพราะคนไทยชอบซื้อของ (หัวเราะ) ไม่ว่าจะไปช็อปที่ไหน คนไทยจะเป็นคนขี้เกรงใจนิดๆ และต้องได้อะไรติดไม้ติดมือกลับมา สังเกตมั้ยว่าคนฝรั่งจะไม่ค่อยซื้อ ชอบถ่ายรูปมากกว่า อาจจะเป็นเพราะบ้านเขามีอะไรเยอะแล้วด้วย เลยไม่จำเป็นต้องซื้ออะไร ถ้าจะฝากคงเป็นเรื่องความรู้เท่าไม่ถึงการณ์มากกว่า บางทีคิดว่าทำที่ประเทศเราได้ ก็น่าจะทำที่ญี่ปุ่นได้เหมือนกัน ก็อยากให้คนที่กำลังจะไปญี่ปุ่นศึกษาเมืองที่จะไปหน่อยก็ดีค่ะ

 

Q. ศึกษาในแง่ไหนบ้าง

การที่เราจะไปเที่ยว เราอาจจะศึกษาแค่การเดินทาง ร้านอาหารแนะนำ หรือสถานที่ท่องเที่ยวว่ามีอะไร
น่าเที่ยวบ้าง แต่คนญี่ปุ่นในแต่ละภาคเขามีลักษณะนิสัยและวิถีการใช้ชีวิตที่ไม่เหมือนกัน ยกตัวอย่างง่ายๆ การขึ้นบันไดเลื่อน คนโอซาก้ากับโตเกียวก็ขึ้นไม่เหมือนกัน ถ้าเราศึกษาไปนิดหนึ่ง เราก็จะอยู่กับเขาได้ดี น่าจะทำให้เราสนุกกับการท่องเที่ยวมากกว่าเดิม การขึ้นรถไฟ รถเมล์แต่ละจังหวัดก็มีวิธีที่ต่างกัน บางจังหวัดขึ้นจากประตูหลังแล้วจ่ายเงินประตูหน้า บางจังหวัดก็ขึ้นไปแล้วหยิบตั๋วก่อน เพ่ือที่จะได้รู้ว่าเราขึ้นจากป้ายหมายเลขหนึ่ง แล้วเวลาลงก็จะจ่ายตามระยะทาง บางคนไม่รู้ ขึ้นไปนั่งเลย แล้วพอจ่ายค่ารถตอนลง คนขับก็จะแบบ อ้าวแล้วใบนั้นอยู่ไหนล่ะ พอสื่อสารกันไม่เข้าใจ มันก็จะมีอารมณ์กันบ้าง เราก็ไม่อยากให้ไปเที่ยวแล้วรู้สึกไม่แฮปปี้นะ

 

_

ติดตามผลงานได้ที่ :

Fanpage:  Majide Japan
Instagram: oommajide
Youtube: JapanX TV Official

 

TAGS

LIKE & SHARE

ชอบเรื่องนี้จนต้องบอกต่อ