Oita : ชวนปล่อยใจที่ “โออิตะ” เมืองน้ำพุร้อนเล็กๆ บนเกาะคิวชู
สารบัญ
Heading to Oita
หากใครอยากไปสถานที่ท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อในเรื่อง “ธรรมชาติบำบัด” ลองมาเยือนเมืองแห่งธรรมชาติอย่างจังหวัด โออิตะ (Oita) ดูก็ดีต่อใจไม่น้อยเลย รับรองว่ามาแล้วจะไม่ผิดหวัง โออิตะเป็นจังหวัดเล็กๆ ในภูมิภาคคิวชู (Kyushu) มีหุบเขาอยู่เยอะมากจนได้รับการจัดอันดับให้เป็นเมืองที่พื้นที่สีเขียวชอุ่มเป็นอันดับต้นๆ นอกจากนี้ยังเป็นเมืองที่ดังในเรื่องน้ำพุร้อนและออนเซ็น เราอยากให้ทุกคนมาลองสัมผัสอากาศบริสุทธิ์ไร้ฝุ่น PM 2.5 เพลิดเพลินกับวิวธรรมชาติแบบไร้การแต่งเติม เราว่าสถานที่ท่องเที่ยวที่จะมีออนเซ็นที่ถูกรายล้อมไปด้วยหุบเขาต่างๆ แบบนี้หายากมากนะ แค่นึกภาพตามก็รู้สึกได้ว่ามีลมจากหุบเขาตีมากระทบเบาๆ เลย เอาเป็นว่าดีมาก
ภาพ : www.beppu-navi.jp
ถ้ามาจากสถานีฮากาตะ (Hakata Station) จังหวัดฟุกุโอกะ เราสามารถนั่งรถไฟ JR ไปลงที่สถานีโออิตะ (Oita Station) ได้เลย ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง แต่เป็น 2 ชั่วโมงที่ผ่านไปเร็วมาก อาจเพราะวิวระหว่างทางที่มองจากบานหน้าต่างรถไฟ ทำเอาอดไม่ได้ที่จะต้องเปิดกล้องสแตนบายไว้ตลอดเวลา ยิ่งพอเริ่มเข้าตัวเมืองแล้วล่ะก็ยิ่งต้องเตรียมกดชัตเตอร์รัวๆ เพราะเราจะมองเห็นวิวของบ่อน้ำพุร้อนและไอน้ำที่พุ่งออกมาเป็นควันสีขาวลอยละล่องไปทั่วราวกับเป็นเมืองแห่งหมอก และไม่ได้มีชื่อเสียงแค่ด้านน้ำพุร้อนเพียงอย่างเดียว ยังมีสถานที่ธรรมชาติมากมายที่อยากให้ลองไปดูสักครั้ง
ภาพ : homesickATLien Flickr via Compfight cc
มาเริ่มต้นเอาฤกษ์เอาชัยกันก่อนที่ ศาลเจ้าอุสะ (Usa Jingu) ศาลเจ้าชินโตที่เป็นสำนักใหญ่ของศาลเจ้าฮาจิมังกู (Hachimangu) กว่า 40,000 แห่งทั่วญี่ปุ่น อีกทั้งเป็นหนึ่งในสามศาลเจ้าฮาจิมังกูที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นร่วมกันกับศาลเจ้าอิวาชิมิซุ (Iwashimizu Hachimangu) จากเกียวโตและศาลเจ้าฮาโคซากิ (Hakozaki Shrine) จากจังหวัดฟุกุโอกะอีกด้วย
01 ศาลเจ้าอุสะ | Usa Jingu
ภาพ : travelist.jp
ต้นไม้ปกคลุมไปทั่วบริเวณศาลเจ้า จึงไม่แปลกว่าหากมาที่แห่งนี้จะรู้สึกถึงความสงบ สีแดงสดของประตูศาลเจ้าหรือโทริอิและตัวศาลเจ้านั้นช่างเข้ากันได้ดีกับต้นไม้สีเขียวชอุ่ม ผู้คนมักมาขอพรเรื่องความรักและสุขภาพกันเป็นซะส่วนใหญ่ เราเคยอ่านบทความหนึ่งบอกเอาไว้ว่าที่นี่มีจุดเติมพลังชีวิตหรือพาวเวอร์สปอต (Power Spot) ด้วยนะ ใครอยากเสริมพลังชีวิตให้แก่ตัวเองก็ลองแวะมาเยือนที่นี่ได้
Info
ศาลเจ้าอุสะ (Usa Jingu)
Hours: 6:00-21:00 น.
Holiday: ปีใหม่
Entrance Fee: ฟรี
Access: นั่งมาลงสถานี JR อุสะ (Usa Station) ใช้เวลาประมาณ 40 นาทีแล้วต่อรถบัสยกไคจิ โฮเมน (Yokkaichi Homen Bus) ไปลงที่ป้ายอุสะฮาจิมัง (Usa Hachiman) ใช้เวลาประมาณ 10 นาที
สิ่งที่น่าเพลิดเพลินต่อไปก็คือสวนสัตว์แอฟริกันซาฟารี (African Safari) ที่มีสัตว์กว่า 1,400 ตัวแหนะ เราสามารถชมสัตว์ได้อย่างใกล้ชิด ที่เราชอบที่นี่ก็เพราะว่าทุกคนจะได้มาสัมผัสธรรมชาติที่ไม่ใช่แค่การชมต้นไม้ใบไม้หรือหุบเขา แต่เป็นการส่องชีวิตความเป็นอยู่ของสัตว์ได้เลย
02 สวนสัตว์แอฟริกันซาฟารี | African Safari
ภาพ : www.africansafari.co.jp
สวนสัตว์แอฟริกันซาฟารีมีสภาพแวดล้อมภายในสวนสัตว์ที่เอื้ออำนวยต่อสัตว์ป่าอย่างมาก สัตว์ป่าสามารถดำรงชีวิตตามธรรมชาติและใช้ประโยชน์จาก “ระบบนิเวศทางธรรมชาติ” ได้ หรือก็คือให้สัตว์สามารถดำเนินชีวิตความเป็นอยู่ตามสัญชาตญาณ โดยที่นี่จะมีนโยบายที่คำนึงถึงสัตว์เป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของความปลอดภัยแก่สัตว์ การให้ความเป็นส่วนตัว การใช้ชีวิตตามธรรมชาติของสัตว์ประเภทนั้นๆ กล่าวได้ว่าเป็นสวนสัตว์ที่ใส่ใจสัตว์มากเลยก็ว่าได้
ภาพ : www.africansafari.co.jp
ภายในจะแบ่งสัตว์ให้อยู่ตามถิ่นที่อยู่อาศัย มีโซนภูเขา โซนทุ่งหญ้า โซนหิน โซนป่า โซนน้ำ และโซนทราย เพื่อให้สัตว์ได้มีพฤติกรรมตามธรรมชาติและสามารถปรับตัวได้ต่อสภาพแวดล้อม เช่น การออกมาตากแดด พฤติกรรมการกินอาหาร หรือวิ่งเล่นอย่างเพลิดเพลินให้เราได้ชื่นชม นอกจากนี้ผู้ชมยังสามารถสังเกตพฤติกรรมสัตว์ในตอนกลางคืนหรือที่เรียกว่าไนท์ ซาฟารี (Night Safari) ได้อีกด้วย และยังเปิดให้สามารถเล่นกับสัตว์ได้บางชนิด เช่น จิงโจ้ ม้า กระต่าย เป็นต้น
ภาพ : www.welcomekyushu.com
สำหรับใครที่อยากชมสัตว์แบบใกล้ชิด แนะนำให้นั่งรถจังเกิลบัสชมได้ โดยแต่ละรอบจะใช้เวลาในการชมประมาณ 50 นาที และตัวรถบัสเนี่ยสามารถเลือกได้เลยว่าจะนั่งรถบัสลายสิงโตหรือลายช้าง เพราะมีให้เลือกตั้ง 11 แบบ (ใครถูกใจอันไหนก็เลือกตามที่ชอบเลย) เด็กๆ น่าจะชอบเพราะรอบคันรถเนี่ยจะมีหน้าต่างบานใหญ่ที่สามารถมองไปได้ทั่ว ยิ่งตอนให้อาหารแล้วมีสัตว์มามุงรอบทิศ ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ก็น่าจะเกิดความรู้สึกตุบๆ ตับๆ ตื่นเต้นไม่น้อย
ส่วนค่าใช้จ่ายสำหรับรถจังเกิลบัสผู้ใหญ่ (มัธยมปลายเป็นต้นไป) จะอยู่ที่ 1,100 เยน และเด็กที่อายุ 4 ขวบ-มัธยมต้นราคา 900 เยน ใครอยากนั่งชัวร์ๆ เราขอแนะนำว่าควรจองรถบัสไว้ก่อนดีกว่า มีโอกาสที่จะไม่ได้นั่งสูงเพราะในวันหยุดเนี่ยคนจะเยอะมากๆ โดยสามารถจองผ่านเว็บไซต์ จะจำหน่ายเป็นแพ็กเกจคือค่าบัตรเข้าชมสวนสัตว์และค่าจังเกิลบัส ผู้ใหญ่ราคา 3,500 เยน เด็กราคา 2,300 เยน
Info
สวนสัตว์แอฟริกันซาฟารี (African Safari)
Hours : มี.ค.-ต.ค. 9:00-16:30 น., พ.ย.-ก.พ. 10:00-16:00 น.
Holiday : ไม่มี
Entrance Fee : เช็คเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์
Access: นั่ง JR ไปลงสถานีเบปปุ (Beppu Station) แล้วต่อรถบัสคาเมะโนะอิ (Kamenoi Bus) ที่เขียนว่า เบปปุเอกินิชิกุจิ (Beppu Eki Nishiguchi) ไปลงที่ป้ายซาฟารีเซ็น (Safarisen) รถบัสจะจอดที่ด้านหน้าเลย
สถานที่ถัดมาเราจะพาไปสูดอากาศที่ทะเลสาบคินริน (Kinrin Lake) ที่ตั้งอยู่ในเมืองยุฟุอินของจังหวัดโออิตะ เป็นต้นน้ำของแม่น้ำโออิตะและในยามเช้าเป็นพื้นที่ที่มีไอน้ำบางๆ ปกคลุมไปทั่วบริเวณรอบๆ ทะเลสาบอีกด้วย เมืองยุฟุอินเนี่ยถือเป็นเมืองแห่งออนเซ็นยอดฮิตเลยก็ว่าได้ มีโรงแรมออนเซ็นมากมายที่นี่ ผู้คนจะพากันมาผ่อนคลายและชมทัศนียภาพรอบๆ เหมือนเราอยู่ในเกาะๆ หนึ่งที่เต็มไปด้วยผู้คนที่มาผ่อนคลายด้วยการแช่ออนเซ็นเลยล่ะ
03 ทะเลสาบคินริน | Lake Kinrin
ทะเลสาบคินรินเป็นหนึ่งในจุดท่องเที่ยวที่ถือว่าเป็นตัวแทนของยุฟุอิน (Yufuin) เลยก็ว่าได้ ชื่อของทะเลสาบก็มาจากที่มีนักวิชาการในสมัยเมจิตอนต้นได้ลงไปว่ายน้ำในทะเลสาบแล้วสายตาก็ดันไปสะดุดกับปลาชนิดหนึ่งที่มีเกล็ดสีทองสะท้อน (คิน แปลว่า สีทอง) ส่วนคำว่ารินมาเขียนด้วยตัวอักษรที่หมายถึง เกล็ดปลา เมื่อนำมารวมกันจึงกลายเป็นชื่อทะเลสาบมาจนถึงทุกวันนี้ ว่ากันว่าทะเลสาบแห่งนี้คือที่ที่น้ำใสๆ ไหลมารวมกับออนเซ็น พอเวลาผ่านไปน้ำในทะเลสาบนี้ก็มีอุณหภูมิสูงขึ้นเรื่อยๆ จึงไม่แปลกที่ในฤดูหนาวจะสามารถเห็นไอน้ำลอยออกมาเหนือผิวน้ำบางๆ มองไปแล้วก็อยากจะกระโดดลงไปแช่น้ำซะเดี๋ยวนั้น
Photo Credit: dynamic0916 Flickr via Compfight cc
Info
ทะเลสาบคินริน (Lake Kinrin)
Hours: 8:00-18:00 น.
Holiday: ไม่มี
Entrance Fee: ฟรี
Access: นั่งรถบัสจากหน้าสถานียุฟุอิน (Yufuin Station) ไปทะเลสาบคินรินใช้เวลาประมาณ 10 นาที หรือหากมาจากเบปปุสามารถนั่งรถนำเที่ยวของยุฟุอินได้ โดยใช้เวลาประมาณ 66 นาที
04 แหลมยาบะเค | Yabakei
ภาพ : www.welcomekyushu.jp
ภาพ : nakatsuyaba.com
ยาบะเคคือจุดชมวิวของเมืองโออิตะอันเลื่องชื่อแห่งเมืองนากัตสึ (Nakatsu) เมื่อ 200 ปีก่อน หลังจากที่นักปรัชญาขงจื้อชาวญี่ปุ่นหรือนักประวัติศาสตร์ ศิลปินและกวีชื่อดังในสมัยเอโดะที่ชื่อว่า ไรซันโย (Rai Sanyo) ได้ตั้งชื่อยาบะเคก็ทำให้เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายว่าที่แห่งนี้มีหุบเขามากมาย ในฤดูใบไม้ผลิก็จะมีสีเขียวงดงามไปทุกตารางนิ้ว ส่วนฤดูใบไม้ร่วงก็สวยงามไม่แพ้กัน ด้วยสีของใบไม้แดงที่แต่งแต้มอยู่เต็มหุบเขาราวกับภาพวาดที่สามารถดึงดูดผู้คนได้ตลอดทั้งปี นอกจากนี้ยังได้รับการรับรองจากสำนักงานวัฒนธรรมว่าเป็น “มรดกของญี่ปุ่น” อีกด้วย เพราะที่นี่บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับวัฒนธรรมและประเพณีของญี่ปุ่นผ่านทางประวัติศาสตร์และลักษณะเฉพาะของภูมิภาค หากไปแหลมยาบะเคแล้วก็ต้องไม่พลาดที่จะเก็บสถานที่บริเวณนั้นให้ครบ
สะพานยาบะเคะ หรือ สะพานฮอลแลนด์
ภาพ : nakatsuyaba.com
สะพานนี้สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2466 เป็นสะพานหินที่มีส่วนโค้งด้านล่าง 8 ช่อง และเป็นสะพานโค้งหินที่ยาวที่สุดในญี่ปุ่นด้วย และถูกกำหนดให้เป็นสมบัติทางวัฒนธรรมที่จับต้องได้ของจังหวัดโออิตะ นอกจากนี้ยังมีอีกชื่อว่าสะพานฮอลแลนด์ จุดประสงค์ในการสร้างสะพานนี้ก็เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวนั่นเอง
Info
แหลมยาบะเค (Yabakei)
Hours: 8:00-18:00 น.
Holiday: ไม่มี
Entrance Fee: ฟรี
Access: จากสถานีโออิตะ (Oita Station) นั่งรถด่วนพิเศษที่มุ่งหน้าไปยุฟุอินโนะโมริ (Yufuin no Mori) ใช้เวลาประมาณ 75 นาที ลงที่สถานีบุนโกะโมริ (Bungo-Mori Station)
05 อุทยานแห่งชาติอะโสะ คูจู | Aso Kuju
สถานที่ท่องเที่ยวแถวเทือกเขาคูจูนั้นบอกได้เลยว่าธรรมชาติรายล้อมสุดๆ ทั้งป่า ภูเขา และน้ำตก เขาคูจูตั้งอยู่ระหว่างจังหวัดคุมาโมโตะกับโออิตะ อยู่ทางทิศตะวันตกของเขตคุสุมิ (Kusumi) ในจังหวัดโออิตะ และมียอดเขาชื่อว่านาคาดาเคะ (Mt. Nakadake) ซึ่งเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในแผ่นดินคิวชู (1,791 เมตร) แถมยังถูกกำหนดให้เป็นอุทยานแห่งชาติอาโซคูจูอีกด้วย จุดเด่นหลักๆ ของอุทยานนี้ก็คือกลุ่มภูเขาไฟ อาทิ ภูเขาอาโซขนาดใหญ่หรือเทือกเขาคูจูที่ทอดยาวไปทางเหนือ อีกทั้งรอบๆ ยังมีทุ่งหญ้ากว้างอีกด้วย
Info
อุทยานแห่งชาติอะโสะ คูจู (Aso Kuju)
Hours: 8:30-17:00 น.
Holiday: ไม่มี
Admission: ฟรี
Access: จากสนามบินโออิตะนั่งรถบัสของสนามบินไปลงที่ยุฟุอิน ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง และขึ้นรถบัสด่วนพิเศษซันโก (Sanko Bus Express Bus) ใช้เวลาประมาณ ประมาณ 52 นาที จะถึงจุดบริการท่องเที่ยวคูจู
06 หุบเขาคิคุจิ | Kikuchi Gorge
ภาพ : kikuchikanko.ne.jp/keikoku
หุบเขาคิคุจิตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของภูเขาทาคาโอะ (Mt. Takao) และยังเป็นหุบเขาที่สวยงามที่มีน้ำตกและสายน้ำเล็กใหญ่ต่างๆนาๆ อีกด้วย ที่นี่ยังได้รับการแต่งตั้งให้เป็นแหล่งน้ำที่บริสุทธิ์อีกด้วย ลำธารมีความยาวประมาณ 4 กิโลเมตร มีน้ำไหลมาจากภูเขาไฟอาโซและยังเป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติอะโสะ คูจู (Aso Kuju National Park) ว่ากันว่าน้ำที่นี่เย็นสบายมาก คือถ้าใครอยากมาผ่อนคลายเราว่าควรมาหน้าร้อนดีสุดเพราะจะมีฟีลสดชื่นๆ
Info
หุบเขาคิคุจิ (Kikuchi Gorge)
Hours: 8:30-17:00 น.
Holiday: ไม่มี
Admission: ฟรี (หรือสามารถสนับสนุนสถานที่ได้คนละ 100 เยนขึ้นไป)
Access: จากสถานี JR คุมาโมโต้ (Kumamoto Station) นั่งรถบัสคุมาโมโตะเดนเท็ตสึ (Kumamoto Dentetsu Bus) มุ่งหน้าไปคิคุจิใช้เวลาประมาณ 70 นาที
07 สวนดอกไม้คูจูฮานะ | Kujuhana Park
ภาพ : tabihack.jp
หากอยากเพลิดเพลินกับดอกไม้หลากสายพันธุ์ก็สามารถแวะไปได้ที่สวนดอกไม้คูจูที่ตั้งอยู่ในคูจูโคเกน(Kuju Kogen) ของอุทยานแห่งชาติอะโสะ คูจู (ที่คูจูโคเกนนี่มีเป็นที่พักเลยนะ เผื่อสนใจอยากจะอยู่กลางดงดอกไม้ให้นานขึ้นก็สามารถเข้าไปจองที่พักได้เลย) สวนดอกไม้แห่งนี้มีฉากหลังของเทือกเขาคูจูเป็นฉากประกอบ นอกจากนี้ยังสามารถนำของกินหรือว่าปิคนิคตามโซนที่จัดไว้ได้ด้วยนะ แถมยังพาสัตว์เลี้ยงเข้าไปได้อีกด้วย บอกได้เลยว่าชิวสุด สามารถเช็คพวกอีเว้นท์ต่างๆ ได้ที่เว็บไซต์เลย ซึ่งจะบอกถึงฤดูกาลบานของดอกไม้แต่ละชนิดด้วย
Info
สวนดอกไม้คูจูฮะนะ (Kujuhana Park)
Hours : 8:30-17:30 น.
※ฤดูหนาวจะปิดทำการ 17:00 น.
Holiday : ไม่มี
Admission : ผู้ใหญ่ 1,300 เยน เด็กราคา 500 เยน
Access : ขับรถจากเมืองโออิตะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง (ไม่มีรถสาธารณะ)
08 กระเช้าลอยฟ้าเบปปุ | Beppu Ropeway
ภาพ : www.beppu-ropeway.co.jp
ชมวิวทิวทัศน์อย่างสบายๆ ด้วยการขึ้นกระเช้า เราสามารถเห็นวิวรอบๆ ได้ถึง 360 องศาจากภูเขาสึรุมิ ( Mt. Tsurumi) ซึ่งกระเช้าที่นี่เนี่ยได้ขึ้นชื่อว่าเป็นกระเช้าที่ใหญ่ที่สุดในคิวชูและสามารถจุผู้โดยสารได้ถึง 101 คน โดยใช้เวลาชม 10 นาทีที่ความสูง 1,300 เมตรจากระดับน้ำทะเลเลยนะ สามารถขึ้นกระเช้าได้ที่สถานีเบปปุโคเก็น (Beppu Kogen station) หรือสามารถไปซื้อของฝากได้ด้วยนะ
ภาพ : www.beppu-ropeway.co.jp
ยิ่งมาตอนหน้าหนาวด้วยนะ วิวจะสวยขึ้นเป็นกองเพราะจะปกคลุมไปด้วยหิมะบางๆ ปกคลุมต้นไม้ได้อย่างสวยงาม ช่วงที่ควรมาคือระหว่างเดือนธันวาคมถึงประมาณกลางเดือนมีนาคม หรือไม่ก็ลองเช็คทางเว็บไซต์ดูอีกที
Info
กระเช้าลอยฟ้าเบปปุ (Beppu Ropeway)
Hours : 9:00-17:30 น. (ฤดูหนาวปิด 17:00 น.)
Holiday : ไม่มี
Admission : เที่ยวเดียว ผู้ใหญ่ 1,000 เยน เด็ก 500 เยน, ไป-กลับ ผู้ใหญ่ 1,600 เยน เด็ก 800 เยน
Access : จากสถานี JR เบปปุ (JR Beppu Station) ตรงทางออก West Exit ให้นั่งรถบัสคาเมโนอิ (Kamenoi Bus) ใช้เวลาประมาณ 20 นาที หรือสามารถนั่งรถบัสคาเมโนอิได้จากสถานี JR ยุฟุอิน (JR Yufuin Station) ได้เช่นกัน โดยใช้เวลาประมาณ 30 นาที
09 จิโกขุเมกุริ | Jigoku Meguri
อีกสถานที่ยอดฮิตที่ทุกคนจะต้องมา นั่นก็คือบ่อนรกทั้ง 8 นั่นเอง ที่อุดมไปด้วยบ่อน้ำพุร้อนที่เกิดจากธรรมชาติและมีความร้อนตั้งแต่ 90 กว่าๆ องศาแหนะ มองไปก็จะเห็นควันพวยพุ่งขึ้นมาจากผิวน้ำเลย และบ่อน้ำแห่งนี้ยังเกิดจากธรรมชาติล้วนๆ อีกด้วย หลากสีสัน หลากอุณหภูมิเลยทีเดียว นอกจากนี้ยังมีโซนสวนสัตว์เล็กๆ ให้ชมด้วยนะ มีทั้งฮิปโปโปเตมัส นกฟลามิงโก้ จระเข้กว่า 70 ตัว เรียกได้ว่ามาดูบ่อน้ำพุแล้วยังได้มาดูสัตว์แปลกๆ เป็นผลพลอยได้อีกด้วย
เราสามารถเก็บครบ 8 บ่อได้ภายในหนึ่งวันเลยนะ คือข้างในเนี่ยจะมีทุกโซนเลย ไม่ว่าจะเป็นโซนของกิน หรือโซนที่เราสามารถนำไข่ไปนึ่งได้ หรือหากเดินจนเมื่อยก็มีบริการบ่อแช่เท้าคลายความล้าด้วยนะ ซึ่งสามารถแช่ได้ฟรีเลย หรือใครอยากแอดว๊านซ์หน่อยก็เข้าไปแช่ออนเซ็นได้เลย รับรองว่าหายปวดตัวเป็นปลิดทิ้งแน่นอน
Info
จิโกขุเมกุริ (Jigoku Meguri)
Hours : 8:00-18:00 น.
Holiday : ไม่มี
Admission : ผู้ใหญ่ 2,000 เยน นักเรียนมัธยมปลาย 1,350 เยน นักเรียนมัธยมต้น 1,000 เยน นักเรียนประถมปลาย 900 เยน (สามารถชมได้ทั้ง 7 บ่อ)
Access : ออกจากสถานี JR เบปปุทางออกตะวันตก (West Exit) แล้วขึ้นบัสคาเมโนอิ สาย 2, 5, 9, 24, 41 ไปลงที่คันนาวะ ใช้เวลาประมาณ 20 นาที ลงที่อุมิจิโกขุหรือคันนาวะก็ได้ เดินประมาณ 1 นาที ถ้าลงที่ป้ายคันนาวะ ให้นั่งบัสสาย 16 ลงที่บ่อเลือดหรือบ่อชิโนจิ