เที่ยวโออิตะ 3 วัน 2 คืน ตะลุย 4 เมือง กิน เที่ยว ฟินกับเหล่าสัตว์น่ารัก ที่นาคัตสึ – เบปปุ – โออิตะ – ยูฟุอิน
สายเที่ยวญี่ปุ่นน่าจะรู้จักเบปปุ (Beppu) และ ยูฟุอิน (Yufuin) เมืองที่มีชื่อเสียงเรื่องบ่อน้ำพุร้อนธรรมชาติในจังหวัดโออิตะ (Oita) แต่ถ้าเอ่ยถึงเมืองโออิตะ (Oita) และ เมืองนาคัตสึ (Nakatsu) ขึ้นมาหลายคนอาจจะนึกไม่ออก ไม่คุ้นชื่อ ดังนั้นเพื่อเป็นการทำความรู้จักทั้ง 4 เมืองนี้ให้มากขึ้น 3 วัน 2 คืน ต่อจากนี้เราจะขออาสาพาคุณเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นเช็คอินสถานที่เด่น กินอาหารดัง แถมทริปนี้ยังได้นั่งรถไฟท่องเที่ยวสายโรแมนติกที่เขาว่าจองกันยาก เอาเป็นว่าไม่สาธยายมาก พร้อมแล้วก็เชิญมาเที่ยวกับเราได้เล้ย!
Day 1: Hakata → Nakatsu → Beppu
หลังจากบุ๊กตั๋วมาเป็นเรียบร้อยสิ่งที่ต้องทำเมื่อไปถึงฮากาตะก็คือการมาแลกเป็นตั๋วจริงที่สถานีฮากาตะ (Hakata Station) ซึ่งตรงจุดนี้แหละถ้าวันไหนที่นักท่องเที่ยวเยอะมากๆ อาจจะใช้ต้องเวลาค่อนข้างนานอยู่เหมือนกัน ใครที่ไม่ชอบรออยากจะบอกว่าให้เผื่อเวลาไว้ อย่างวันที่เราไปคือคนไม่มากเท่าไร ใช้เวลาประมาณ 10 นาทีก็ได้ตั๋วจริงมา
สำหรับใครที่อยากนั่งรถไฟสายโรแมนติก Yufuin no Mori จะบอกว่าต้องแก่งแย่งกันหน่อยนะ เพราะนอกจากรถไฟนี้จะเป็นที่นิยมในหมู่คนท้องถิ่น นักท่องเที่ยวไม่ใช่แค่ไทยแต่เกาหลี ไต้หวัน ฮ่องกง เขาก็ต้องการที่จะสัมผัสกับเส้นทางสายโรแมนติกของขบวนนี้เช่นกัน สำหรับคนไหนที่อยากนั่งมากๆ แนะนำให้จองขากลับจะง่ายกว่าขาไป หรือถ้าไม่สะดวกขากลับจริงๆ ก็บุ๊กขาไปช่วงหลังบ่าย 2 ครึ่งได้ ไม่แน่นมาก
อันนี้คือหน้าตาของขบวนรถไฟที่เรานั่งในครั้งนี้ เป็นรถไฟสาย Sonic Limited Express โดยพิกัดที่เราจะมุ่งหน้าไปเป็นที่แรกนั่นก็คือนาคัตสึ เมืองที่เรียกได้ว่าเป็นต้นตำรับของไก่ทอดคาราอาเกะนั่นเอง
ซึ่งร้านที่เรามาในครั้งนี้คือร้าน Chicken House ตัวร้านอยู่ห่างจากสถานีนาคัตสึ (Nakatsu Station) ราว 5 นาทีหากเดินทางโดยแท็กซี่ แต่จริงๆ แล้วที่ เมืองนาคัตสึ มีร้านไก่ทอดคาราอาเกะอร่อยๆ มากมาย สามารถเลือกร้านที่อยากลองได้ตามใจชอบเลย
ร้านส่วนใหญ่จะเสิร์ฟเป็นเซ็ตอาหารมาทั้งไก่ทอดคาราอาเกะ ข้าวญี่ปุ่น ซุปมิโซะ และเครื่องเคียงให้กินด้วยกัน อย่างเซ็ตนี้ราคาอยู่ 900 เยน ส่วนรสชาติก็คือไม่ผิดหวัง กรอบนอก ชุ่มฉ่ำ ทั้งยังนุ่มใน ใครที่รักของทอดแนะนำเลย ถูกปากแน่นอน
หลังจากกินอิ่มแล้วก็ออกเดินทางกันต่อได้ โดยสถานที่ต่อไปที่เราจะไปปักหมุดนั่นก็คือปราสาทนาคัตสึ (Nakatsu Castle) การเดินทางก็ถือว่าไปง่ายไม่ซับซ้อนเพราะแค่เดินจากสถานีนาคัตสึใช้เวลาประมาณ 20 นาที ก็ถึงที่หมาย
ภายในปราสาทมีการจัดแสดงชุดเกราะรวมถึงข้าวของเครื่องใช้ในสมัยนั้น แต่ถ้าได้เดินขึ้นไปถึงชั้นบนสุดของปราสาทก็จะสามารถชมวิวเมืองนาคัตสึได้ โดยค่าเข้าชมปราสาทสำหรับผู้ใหญ่ 400 เยน ส่วนเด็กราคา 200 เยน
ออกเดินทางกันต่อไปที่เมืองเบปปุ โดยการเดินทางไปยังเมืองน้ำพุร้อนรอบนี้เรานั่ง Sonic Limited Express ขบวนสีน้ำเงิน นั่งไปอีก 40 นาที ก่อนจะลงที่สถานีเบปปุ (Beppu Station)
ครั้งนี้เราเลือกพักโรงแรม Hotel Fugetsu Hammond ในเครือ Yukai Resort เหตุผลก็เพราะอยากนอนแช่ออนเซ็น ที่สำคัญจากบ่อนรกเราสามารถเดินมาที่โรงแรมได้แบบไม่เมื่อย แถมตัวที่พักยังใกล้กับร้านสะดวกซื้อด้วย ถูกใจคนหิวตอนดึกแบบเราสุดๆ
สำหรับคืนแรกเราเลือกเป็นกินอาหารเย็นที่โรงแรม ซึ่งไม่ผิดหวังเพราะที่นี่มีหลายอย่างให้เลือกรับประทาน มีทั้งซาชิมิ จิโกคุมุชิ (อาหารนึ่งสไตล์เบปปุ) เนื้อย่าง อุด้ง เรียกว่ามีทั้งอาหารคาว หวาน ครบจบในที่เดียว (แต่ถ้ามาช่วงหน้าหนาวที่นี่มีขาปูให้เลือกอร่อยด้วยนะ แต่ต้องจองล่วงหน้า)
ส่วนออนเซ็นของที่นี่ก็มีทั้งในตึก ณ ที่พัก และตึกแยกสำหรับผู้ที่ไม่ได้เข้าพักในโรงแรม ทั้งมีในส่วนของชั้นดาดฟ้าสำหรับคนที่ไม่กล้าเปลือยด้วย สามารถใส่ชุดว่ายน้ำลงแช่ได้ แต่ถ้าใครที่ไม่ได้พกชุดมาก็หาเช่ากับทางโรงแรมได้เลย เสียเงินแค่ 500 เยน เท่านั้น
พร้อมกันนี้บริเวณล็อบบี้ของโรงแรมยังมีจุดให้อบเท้าด้วยทรายฟรีด้วย ใครอยากชิลล์ๆ แต่ไม่รู้จะทำอะไรก็แวะมาอุ่นเท้าคลายเมื่อยได้เลย
Day 2: Beppu → Oita
มาถึงเมืองเบปปุทั้งทีจะพลาดจุดสำคัญอย่างการทัวร์บ่อนรกไปได้ไง ซึ่งก็แน่นอนว่าบ่อแรกต้องเป็นบ่อไฮไลท์อย่างอุมิ จิโกกุ (Umi Jigoku) หรือบ่อน้ำทะเล บ่อนรกนี้มีขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาบ่อน้ำพุร้อนทั้งหมด มีความลึกประมาณ 200 เมตร น้ำจะเป็นสีน้ำเงินโคบอลต์หรือคล้ายกับสีของน้ำทะเล ว่ากันด้วยเรื่องอุณหภูมิก็ประมาณ 98 องศา ด้วยความร้อนระดับนี้ควันสีขาวก็จะขึ้นโขมง ถ่ายรูปแล้วเหมือนอยู่ในอีกโลกนึงเลยแหละ
ส่วนร้านขายของฝากก็มีแต่สินค้าหาซื้อหากลับไปเป็นของฝาก ซึ่งสิ่งที่เราชอบมากที่สุดนั่นก็คือผงแช่น้ำ จะเอาไปแช่ที่โรงแรมทำคอนเทนต์ลงอินสตาแกรมก็เป็นความคิดที่ดี แถมมีกลิ่มหอมอ่อนๆ กล่อมให้รู้สึกผ่อนคลายด้วย ใครยังไม่เคยลอง แนะนำเลย
บ่อถัดมาคือบ่อคามาโดะ จิโกกุ (Kamado Jigoko) หรือบ่อหม้อหุงข้าวเตาถ่านแบบญี่ปุ่น โดยสิ่งที่เป็นไฮไลท์ของที่นี่คือมีมากถึง 6 บ่อ ซึ่งแต่ละบ่อก็จะมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันออกไป
อย่างบ่อนี้จะมีเจ้าหน้าที่แสดงโชว์ให้เราดูด้วย เทียบกันระหว่างบ่อธรรมดาๆ กับตอนที่เจ้าหน้าที่จุดธูปแล้วยิงปืนลมเข้าหาบ่อน้ำพุร้อนจนมีควันสีขาวพวยพุ่งออกมา สร้างความตื่นตาตื่นใจแบบสุดๆ
ไหนจะยังมีโซนสำหรับให้เราลองได้ดื่มน้ำออนเซ็นกันด้วย ซึ่งน้ำนี้มีความร้อนถึง 80 องศาเซลเซียสเลยทีเดียว เพราะฉะนั้นถ้าใครอยากลองชิมเจ้าหน้าที่แนะนำมาว่าให้เป่าคลายความร้อนก่อนแล้วค่อยจิบไม่งั้นน้ำอาจจะลวกปากเอาได้ ส่วนรสชาติเป็นอย่างไรนั้นอยากให้ไปลองกันเอาเอง
สำหรับจุดที่เราชอบมากที่สุดก็คือการได้กินพุดดิ้ง ส่วนตัวอยากอวยพุดดิ้งของที่นี่มากๆ ตั้งแต่เกิดมาเราขอยกให้พุดดิ้งที่นี่เป็นพุดดิ้งที่อร่อยที่สุดในชีวิต เนื้อพุดดิ้งมีความครีมมี่ๆ ไม่ค่อยเหมือนพุดดิ้งทั่วไปที่สัมผัสคล้ายไข่ตุ๋น อร่อยมากกกกกกกกกก (ขออนุญาตใส่ ก.ไก่ ไปเลยล้านตัว)
รอบนี้เวลาไม่มากนักเลยขอเดินเล่นไปก่อน 2 บ่อ ส่วนใครที่มีเวลามากกว่านี้ก็สามารถมาเดินเล่นได้ ส่วนใหญ่อยู่ใกล้ๆ กันหมด แต่จะมี 2 บ่อเท่านั้นที่แยกออกไปจนต้องนั่งรถบัสไปแต่ระยะทางก็ถือว่าไม่ไกลกันมาก
ทริปนี้ยังไม่จบเพราะเราจะนั่งรถไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำอุมิทามาโกะ (Oita Marine Palace Aquarium “Umitamago”) จาก Beppu นั่งรถบัสไปแค่ 15 นาทีเท่านั้น ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำโลเคชั่นดีงามเพราะว่าติดทะเล
นี่เป็นครั้งแรกที่เรามาพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำแห่งนี้และอยากยกให้เป็นพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำที่ 1 ในใจเลยพราะมันดีมาก มีพื้นที่ให้ได้เล่นกับน้องๆ บริเวณด้านนอก ทั้งโลมาและเพนกวิน ส่วนภายในฮอลล์ก็ทำไว้ดีมากๆ เล่นแสงสีสวยงาม มีจุดถ่ายรูปเยอะมากๆ เป็นไปได้หากใครมาเที่ยวเบปปุแล้วและมีเวลาอยากให้ลองแวะมาจริงๆ รับรองว่าต้องประทับใจแน่นอน
อันนี้คือโซนด้านใน เล่นแสงสวยมาก สายถ่ายรูปต้องได้รูปเก๋ๆ โพสต์ลงโซเชียล
น้องวอรัลคือไฮไลท์ของที่นี่ เสียดายเรามายืนดูน้องแปปเดียวแต่ก็โดนน้องตกไปเป็นที่เรียบร้อย น่ารักมากๆ โบกมือบ๊ายบายด้วย
โซนด้านนอกมีทั้งการแสดงโชว์ของน้องๆ ใครที่สนใจสามารถเช็คตารางการแสดงและราคาค่าเข้าชมได้ที่หน้าเว็บไซต์ของพิพิธภัณฑ์ ส่วนเวลาทำการของพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำนั้นก็จะเปิดตั้งแต่ 9 โมงเช้าไปจนถึง 5 โมงเย็น (การแสดงรอบสุดท้ายจะอยู่ที่ 15:00 น.) แถมที่นี่ยังมีโซนให้เราได้สัมผัสกับน้องๆ ด้วยนะ ชอบมาก ประทับใจสุดๆ
ขณะที่มุมของฝากก็น่ารักน่าเสียตังค์ไปหมด อยากได้กลับบ้านทุกอย่าง และหลังจากที่เราอยู่จนพิพิธภัณฑ์ปิดก็ถึงเวลาเดินทางกลับไปพักค้างคืนที่เมืองโออิตะ แต่ถ้าใครจะเลือกนอนเบปปุแล้วนั่งรถไฟตอนเช้าไปต่อที่เมืองโออิตะก็ได้ หรือจะนั่งรถบัสไปที่ยูฟุอินโดยไม่ต้องต่อเลยก็ได้เหมือนกัน
Day 3: Oita → Yufuin
ออกเดินทางกันต่อจากเมืองโออิตะไปยูฟุอิน นั่งรถไฟใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงนิดๆ ก็ถึงสถานียูฟุอิน (Yufuin Station) เมืองนี้นักท่องเที่ยวค่อนข้างคึกคักโดยเฉพาะชาวเกาหลีแต่คนไทยเองก็มาเที่ยวที่เมืองนี้เยอะไม่แพ้กัน
แน่นอนว่ามาเมืองน่ารักๆ อย่างยูฟุอิน ก็ต้องเดินเล่นชิลล์ๆ แล้วไปชมไฮไลท์อย่างทะเลสาบคินริน (Lake Kinrin)
ที่นี่มีคาเฟ่ มีร้านน่ารักน่าเข้าไปใช้เวลามากมาย ใครมารับรองว่าจะต้องเสียตังค์อย่างแน่นอน เพราะเราก็หมดเงินไปกับให้ของน่ารักๆ ที่สำคัญที่นี่คาเฟ่เยอะมาก สำหรับยูฟุอินน่าจะเป็นเมืองที่คนไทยรู้จักกันดีอยู่แล้วเราเลยขอเขียนถึงคร่าวๆ พอแล้วกัน
ส่วนขากลับฮากาตะ อย่างที่บอกไปตั้งแต่ตอนต้นว่าเราแพลนที่จะนั่งรถไฟ Yufuin no Mori และเพื่อที่จะได้ไม่ต้องแย่งกับนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ ใครอยากนั่งแต่จองไม่ได้แนะนำให้ลองทำเหมือนเรา หรือจะจองขามาก็ได้นะแต่แนะนำให้เป็นช่วงรอบบ่าย 2 ขึ้นไป จะสะดวกมากกว่านะ เป็นอันจบทริปสามเมืองใน โออิตะ ที่อิ่มใจมาก