Shimane : ท่องดินแดนทวยเทพในเงื้อมเงาแห่งขุนเขาชิมาเนะ
ด้วยความที่ชอบไปญี่ปุ่น ชอบสถานที่ที่มีประวัติศาสตร์น่าสนใจและนักท่องเที่ยวไม่พลุกพล่าน ทำให้ช่วงสามสี่ปีมานี้ หมุดหมายของการเดินทางล้วนแล้วแต่เป็นเมืองเล็กๆ เงียบๆ แทบทั้งนั้น ในบรรดาเมืองเหล่านี้ จังหวัดหนึ่งของญี่ปุ่นที่ไปซ้ำสองฤดูแล้วยังไม่เบื่อ แถมยังตั้งใจว่าจะไปให้ครบสี่ฤดูให้ได้ก็คือ “ชิมาเนะ (Shimane)”
จังหวัดชิมาเนะอยู่ในภูมิภาคที่เรียกว่า “ซันอิน (San-in)” แปลตามตัวอักษรคือเขต “เงาภูเขา” ภูมิภาคดังกล่าวตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะฮอนชู ได้แก่ พื้นที่จังหวัดทตโตริ ชิมาเนะ และส่วนหนึ่งของยามากุจิ อีกฟากหนึ่งประจันหน้ากับทะเลญี่ปุ่น ในขณะที่นักท่องเที่ยวมักเที่ยวกันทางฝั่งซันโยอย่างจังหวัดฮิโรชิม่าหรือโอคายาม่า ซันอินราวกับอยู่สุดขอบจักรวาลเพราะการเดินทางอันยาวไกล ถ้าตัดวิธีขับรถเองหรือนั่งเครื่องบินไปลงสนามบินอิซึโมะ (Izumo Airport) หรือสนามบินโยนาโกะ (Yonago Airport) ออกไป รถไฟที่ไปถึงเมืองหลักของจังหวัดชิมาเนะอย่างมัตสึเอะ (Matsue) มีแค่รถด่วนพิเศษเท่านั้น ครั้งแรกที่ไป เราออกจากสถานีชินโอซาก้าไปโอคายาม่าแล้วเปลี่ยนรถเป็นรถไฟด่วนยาคุโมะ (Yakumo) ระยะทาง 368.3 กิโลเมตร ยิงยาวสามชั่วโมงกว่าๆ (ซื้อข้าวกล่องรถไฟเตรียมไว้เลย) อีกวิธีคือเดินทางด้วยรถบัส หากตั้งต้นทริปที่ฮิโรชิม่า นั่งรถบัสจากสถานีเจอาร์ฮิโรชิม่าก็ยังใช้เวลาสามชั่วโมงอยู่ดี สรุปได้ชมวิวระหว่างทางกันคนละแบบ
ประวัติศาสตร์ของจังหวัดชิมาเนะย้อนไปได้ถึงก่อนคริสตกาล โบราณวัตถุจากสมัยโจมง (14,000 ปี – 300 ปีก่อนคริสตศักราช) กับยุคยาโยอิ (300 ปีก่อนคริสตศักราช – ค.ศ. 250) ซึ่งพบในพื้นที่ของชิมาเนะและจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ Shimane Museum of Ancient Izumo ข้างศาลเจ้าอิสึโมะไทฉะ (Izumo Taisha) เป็นหลักฐานบ่งบอกว่าที่นี่เคยเป็นชุมชนบรรพบุรุษชาวญี่ปุ่น นอกจากนี้ตำนานเทพปกรณัมญี่ปุ่นล้วนกระจุกอยู่ในชิมาเนะ โดยเฉพาะอิซึโมะที่ได้ชื่อว่าเป็นดินแดนแห่งทวยเทพ การเดินทางมาเที่ยวชิมาเนะถ้ารู้เรื่องเทพเจ้าในยุคกำเนิดญี่ปุ่นก็จะเที่ยวสนุกยิ่งขึ้น แต่ถึงไม่รู้เลยก็ยังเพลิดเพลินกับธรรมชาติอันสวยงามได้ เพราะชิมาเนะมีทั้งภูเขาและชายหาด มีหมู่บ้านออนเซ็นเก่าแก่อย่างทามัตสึคุริออนเซ็น (Tamatsukuri Onsen) และทะเลสาบใหญ่ที่สวยระดับชาติอย่างทะเลสาบชินจิ (Lake Shinjiko)
จุดตั้งต้นของการเดินทางในแถบนี้เริ่มกันที่เมืองมัตสึเอะ ซื้อตั๋ว En-musubi Perfect Ticket แล้วขึ้นรถสายรอบเมืองได้เลย สำหรับคนที่ชอบปราสาทญี่ปุ่น ไม่ควรพลาดปราสาทยุคโชกุนอย่างปราสาทมัตสึเอะ (Matsue-jo Castle) ซึ่งเป็นจุดแรก ป้ายรถเมล์ลงแล้วเดินนิดเดียวก็จะถึงทางเข้า โชคดีอาจเจอขบวนนักรบในชุดเกราะตั้งแต่ด้านหน้า
ตามประวัติมัตสึเอะปกครองโดยมัตสึไดระ นาโอมาสะ (Naomasa Matsudaira) หลานของโทคุกาวะ อิเอยาสุ (Ieyasu Tokugawa) จนกระทั่งถึงสมัยปฏิรูปเมจิ (ค.ศ. 1868) ผู้สืบทอดตระกูลมัตสึไดระรุ่นที่สิบจึงย้ายไปอยู่เมืองเอโดะ (Edo) แนะนำว่าสำหรับคนมีเวลาและมีแรงเดิน ไม่ต้องกลับมารอรถเมล์ที่ป้ายเดิม แต่ให้เดินเลียบทางข้างปราสาท ถ้ามาเที่ยวมัตสึเอะในฤดูใบไม้ร่วงก็ได้สัมผัสกับบรรยากาศใบไม้สีทองสลับกับช่อลูกนันเท็นสีแดงสดระหว่างทางไปศาลเจ้าโจซังอินาริด้านหลังปราสาท
ลาฟคาดิโอ เฮิร์น (Lafcadio Hearn) เล่าไว้ในหนังสือ Glimpses of Unfamiliar Japan ว่าหนุ่มน้อยรูปงามปรากฏกายอย่างลึกลับ กล่าวกับเจ้าเมืองว่าจะคอยพิทักษ์ปราสาทและชาวเมืองหากสร้างศาลบูชาถวาย จากนั้นหายวับไปต่อหน้าต่อตามัตสึไดระรุ่นที่หนึ่ง ทุกวันนี้ศาลเจ้าแห่งนี้ยังคงตั้งอยู่พร้อมกับรูปสลักจิ้งจอกหินเก่าแก่และยังเป็นที่เคารพของชาวบ้าน เห็นได้จากมีจิ้งจอกใหม่ๆ วางปะปนอยู่ด้วยเช่นกัน
เมื่อข้ามคูน้ำล้อมปราสาท เลี้ยวขวาอีกไม่ไกลนักก็ถึงสี่แยกที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ลาฟคาดิโอ เฮิร์น (Lafcadio Hearn Memorial Museum) และบ้านเก่าสมัยคุณเฮิร์นสอนหนังสือที่มัตสึเอะ เนื่องจากตัวผู้เขียนเองเป็นแฟนหนังสือเรื่องเล่าลึกลับที่คุณเฮิร์นเขียนอย่าง “Kwaidan” และ “Kotto” จึงแวะที่นี่ พิพิธภัณฑ์เล่าประวัติความเป็นมา รวบรวมผลงานทั้งหมดเอาไว้ในรูปแบบหนังสือและหนังสือบันทึกเสียง บริเวณใกล้ๆ ยังมีบ้านซามูไรเก่า (บุเกะยาชิกิ) และร้านโซบะเนื้อเป็ด “ยาคุโมะอัน” แต่หากไม่อยากเดิน จะย้อนกลับมาด้านหน้าปราสาท แวะพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์มัตสึเอะก่อนแล้วค่อยนั่งรถมากินโซบะตรงหน้าบ้านซามูไรก็ได้เหมือนกัน
ห่างออกไปราวหนึ่งกิโลเมตร เลาะตามเส้นทางของรถประจำทางชมเมือง ยังมีสถานที่น่าสนใจอย่างวัดเก็ชโชจิ (Gesshoji Temple) ที่นี่เป็นที่ตั้งของสุสานมัตสึไดระรุ่นต่างๆ บริเวณด้านหลังวัด ในฤดูฝนทั่วทั้งสุสานจะบานสะพรั่งไปด้วยดอกไฮเดรนเยียสีฟ้าสีม่วงแทรกตัวตามดงไม้ครึ้มเย็น งานไม้แกะสลักหน้าประตูของสุสานต่างๆ งดงามราวกับมีชีวิต โดยเฉพาะงานไม้รูปทวารบาลหน้าประตูสุสานของท่านมัตสึไดระ มุเนโนบุ (Munenobu Matsudaira) และมังกรแกะสลักฝีมือโคบายาชิ โจเดอิ (Jodei Kobayashi) ประจำสุสานท่านฟุไม (Fumai) มัตสึไดระรุ่นที่เจ็ด
ลงรถที่ป้ายมัตสึเอะ-ชินจิโค สามารถนั่งรถไฟท้องถิ่นอิจิบาตะ (Ichibata) ไปยังเมืองอิซึโมะ (Izumo) ได้ รถไฟจะเลาะเลียบไปทางทะเลสาบชินจิจนถึงสถานีอิสึโมะไทฉะมาเอะ (Izumotaisha-Mae Station) เดินไม่นานก็จะถึงศาลเจ้าอิซึโมะ (Izumo Taisha) และหาดอินาสะ (Inasa Beach) ที่เชื่อกันว่าทวยเทพทั้งหลายมาขึ้นหาดที่นี่กันในงานชุมนุมเทพเจ้าเดือนสิบที่ศาลเจ้าอิซึโมะ
จากอิซึโมะ เปลี่ยนจากรถไฟอิจิบาตะไลน์เป็นเจอาร์ซันอินไลน์ ยังอีกจุดหนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือเมืองโอดะ ที่นี่มีมรดกโลกอย่างเหมืองเงินอิวามิกินซัน (Iwami Ginzan Silver Mine) และหมู่บ้านโบราณโอโมริ (Omori)
ชิมาเนะยังมีเทศกาลตามประเพณีและสถานที่ท่องเที่ยวอีกมากนอกเหนือไปจากที่เล่าไปข้างต้น ขอแนะนำให้ลองไปด้วยตัวเองสักหน แล้วจะรู้ว่าทำไมที่นี่จึงน่ากลับไปเยือนซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่รู้เบื่อ
บอกบุญ:
– ไฮเวย์บัสจากฮิโรชิม่ามีให้เลือกสองแบบ ถ้าจะไปเที่ยวหมู่บ้านเหมืองเงินอิวามิกินซัน สามารถซื้อตั๋วรถตรงเข้าหมู่บ้านได้เลย (ราคา 3,000 เยน กดจากตู้ขาย) แต่ถ้าจะไปลงมัตสึเอะ มีโปรโมชั่นเหลือแค่ 500 เยน ถึงสิ้นเดือนมีนาคม 2020 (ปกติราคา 3,900 เยน) ดูรายละเอียดได้จาก kankou-shimane.com
– มัตสึเอะเป็นเมืองใหญ่ แถวสถานีรถไฟมีที่พักหลากหลายทั้งด้านหน้าด้านหลังสถานี แต่ห้างร้านปิดไว อยากซื้ออะไรให้รีบซื้อก่อนสองทุ่ม โปรดเช็คเวลารถให้ดีถ้าไม่อยากลุ้นหาแท็กซี่รอบดึกกลับที่พัก 🙂
– ทามัตสึคุริออนเซนอยู่ไกลจากสถานีรถไฟราวๆ 2 กิโลเมตร มีบริการแท็กซี่ ไม่มีรถบัส
– นอกจากตั๋วรถเมล์รายวัน ราคา 500 เยนแล้ว ขอแนะนำตั๋ว En-musubi Perfect Ticket 1,500 เยน นั่งรถประจำทางในเมืองมัตสึเอะฟรี รวมถึงรถไฟกับรถเมล์ของบริษัทอิจิบาตะ อายุตั๋ว 3 วัน (แต่ใช้นั่งรถไฟ JR ไม่ได้)