Fashion People | สายเนิร์ด ต้องที่นี่เท่านั้น!
หากจะพูดถึงเมืองแฟชั่น ต้องยอมรับจริงๆว่าปารีส มิลาน ลอนดอน หรือนิวยอร์ก น่าจะติดอันดับต้นๆในใจของหลายคน แต่ใครจะรู้ว่า “โตเกียว” ก็เป็นอีกหนึ่งเมืองที่มีเรื่องราวแฟชั่นที่น่าสนใจมากๆเมืองหนึ่งเลยนะ
สมัยก่อน ขอเรียกว่ายุค 90’s ตอนกลาง (ตอนยังเป็นวัยรุ่นช่วงมัธยมต้น ใสมากกก) การเข้ามาของแฟชั่นญี่ปุ่นถือว่าเป็นเรื่องใหม่ และค่อนข้างไกลตัวมาก เพราะปัญหาหลักเลยคือ ถึงเราจะชอบดูรูปในแมกกาซีนเขาแค่ไหน แต่พยายามอ่านยังไงก็อ่านไม่ออกอยู่ดี ได้แต่นั่งมองตาปริบๆว่ามันเขียนว่าอะไรหว่า จุดนี้แหละค่ะ เป็นสิ่งที่ผลักดันให้หมิวขวนขวายอยากรู้ว่าในแมกกาซีนมันเขียนว่าอะไร เลยหาเรื่องไปเรียนภาษาญี่ปุ่นจนได้
ตอนปี 4 คือช่วงที่ได้มีโอกาสเป็นหัวหน้าฝ่ายคอสตูมประจำละครเวทีนิเทศศาสตร์จุฬาฯ (เรื่องคาเฟ่สีรุ้ง) พอได้มาทำงานออกแบบเสื้อผ้าจริงๆแล้ว ทำให้รู้ว่าความรู้เราช่างน้อยนิด ประจวบกับธุรกิจโรงงานกางเกงยีนส์ของพ่อกำลังจะปิดตัว เราเคยอยู่กับโรงงานเย็บผ้ามาตั้งแต่เด็กๆ จะเห็นมันปิดตัวไปก็ใจหาย เลยตัดสินใจว่า ไม่ว่ายังไงก็จะสืบเชื้อสายแฟชั่นจากอาม่าและพ่อให้ได้ เลยตัดสินใจไปเรียนต่อด้านแฟชั่นดีกว่า
ตอนนั้นเรารู้ละว่าเราจะเรียนแฟชั่น และต้องเป็นประเทศญี่ปุ่นด้วยนะ (เพราะหัวใจเรียกร้อง) โดยโรงเรียนที่เลือกเรียนคือ Bunka Fashion College โรงเรียนนี้ตั้งอยู่บริเวณสถานีชินจุกุ จังหวัดโตเกียว ซึ่งมีประวัติความเป็นมายาวนานมาก เรียกได้ว่าเป็นโรงเรียนสอนแฟชั่นแห่งแรกของญี่ปุ่นเลย สมัยก่อน ก่อนจะเป็น Bunka Fashion College โรงเรียนนี้มีชื่อว่า Namiki Dressmaking School ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ยุคที่เสื้อผ้าแบบยุโรปในญี่ปุ่นยังเป็นสิ่งที่คนทั่วไปยังเข้าไม่ถึง นักเรียนที่จะมาเรียนได้ต้องเป็นผู้หญิงเท่านั้นด้วยนะ จนเวลาผ่านไป ผู้ชายก็อยากเรียนบ้าง โรงเรียนจึงเริ่มเปิดกว้างให้นักเรียนชายเข้ามาเรียนด้วยได้ และมี Designer ผู้มีชื่อเสียงจำนวนไม่น้อยเลยที่เรียนจบจากที่นี่ ตั้งแต่โยะจิ ยะมะโมะโตะ (Yoji Yamamoto) สึโมะริ ชิซะโตะ (Tsumori Chisato) เค็นโสะ ทะกะดะ (Kenzo Takada) นิโก้ (Nigo: A Bathing Ape) จุนยะ วะตะนะเบะ (Junya Watanabe) และมีอีกมากกกมาย ขอเรียกว่าลิสต์มาก็เต็มหน้า A4
แต่การจะเรียนอะไรก็ตามที่ประเทศญี่ปุ่น ปัจจัยหลักที่สำคัญ (พอๆกับเรื่องค่าเทอม) ก็คือ “ภาษา” เราจำเป็นต้องยอมทุ่มเทเรียนรู้ภาษาญี่ปุ่นสักพักก่อนเดินทางไป และจำเป็นต้องเรียนเพิ่มเติมอีกก่อนจะเข้าเรียนแฟชั่นจริงจัง ซึ่งหมิวขอบอกว่า ตัวเองเคยคิดว่าเสียเวลาจัง ถ้าไปเรียนที่ประเทศอังกฤษ หรืออเมริกาก็คงได้อะไรเยอะแล้ว แต่ขอบอกด้วยเกียรติของยุวกาชาติเลยว่า มันคุ้มจริงๆ เพราะเราได้ภาษาแถมมาเป็นภาษาที่ 3 (รองจากภาษาอังกฤษ) และยังจะได้ความรู้แฟชั่นอีก พูดเลยว่าในยุคที่ใครๆก็ต้องการความแตกต่างเนี่ย นี่คือทางออก!
ใครๆก็รู้ว่าญี่ปุ่นเป็นประเทศที่เนิร์ดเรื่องความละเอียดมากถึงมากที่สุด เรื่องแฟชั่นก็ไม่ได้เนิร์ดต่างไปจากเรื่องอื่น นักเรียนแต่ละคนที่มาเรียนที่นี่ล้วนตัดสินใจแน่วแน่มาแล้วว่าตัวเองต้องการจะเป็นอะไร จะทำอะไรต่อ บางคนมุ่งมั่นว่าจะเป็นดีไซเนอร์ บางคนจะเป็นสไตลิสต์ หรือบางคนบินมาจากต่างประเทศเพื่อมาเรียนคอร์สการเป็นนางแบบโดยเฉพาะ แต่ที่พีกคือ ตามที่หมิวเคยเล่าไว้ใน blog (tokyomiuda.com) ว่าเขาสอนตั้งแต่ศูนย์ เริ่มตั้งแต่สอย ด้น เนา เย็บมือต้องแม่นเป๊ะก่อน แล้วถึงจะขยับไปเย็บจักร นักเรียนส่วนใหญ่คือเด็กญี่ปุ่นที่เพิ่งจบจากมัธยมปลาย แต่นักเรียนต่างชาติส่วนใหญ่ก็จบมหาวิทยาลัยกันแทบหมดแล้ว แต่ก็ไม่มีการยกเว้นนะจ๊ะ ทุกคนต้องเริ่มใหม่เหมือนกันหมด
สำหรับคนที่ใจร้อน อยากรู้ทุกอย่างเร็วๆ ที่นี่อาจจะไม่ใช่เวย์ของคุณ แต่ถ้าคุณก้าวขาเข้ามาเรียนที่นี่แล้ว เบสิกที่ได้รับจะเป๊ะแบบเหมือนเรียนวิศวะหรือสถาปัตย์เลยละ พอเราแม่นเบสิกปั๊บ อะไรๆก็ต่อยอดง่าย หมิวเองเลือกเรียนสาขาที่เจาะลึกด้านการออกแบบแพทเทิร์นอุตสาหกรรม ประมาณว่าเรียนด้านแพทเทิร์นสัก 70% อีก 30% คือเรียนดีไซน์ เพราะเรารู้ว่าญี่ปุ่นเขาเนิร์ด เขาต้องละเอียดด้านแพทเทิร์นที่ใครๆก็ว่ายากแน่ๆ แล้วก็คิดไม่ผิดเลย เรื่องที่ได้เรียนคือสิ่งที่ใช้กันจริงๆในวงการแฟชั่น กิจกรรมที่ได้ทำก็เน้นๆทั้งนั้น
แต่ถ้าอยากรู้ว่า Bunka เขาสอนอะไรบ้างแบบละเอียดยิบ และสาวกแฟชั่นชาวญี่ปุ่นเขาเป็นยังไงกัน ติดตามกันได้ในคอลัมน์หน้านะจ๊ะ วันนี้ต้องไปเย็บผ้าต่อก่อนละ…แล้วเจอกันคราวหน้าใน KIJI อีกนะค้าาา ^ ^