โทโฮคุ (Tohoku) ลองรู้จักเดี๋ยวก็รักเอง

ในวันนี้ผมจะชวนทุกคนเดินทางไปยังภูมิภาคโทโฮคุ (Tohoku) ดินแดนทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศญี่ปุ่นที่ขึ้นชื่อในเรื่องของตำนานเก่าแก่ แหล่งท่องเที่ยวอันงดงาม และสถานที่ทางธรรมชาติที่หลากหลาย บอกได้เลยว่าใครที่ได้มาจะต้องหลงรักจนอาจจะอยากอยู่พักไปตลอดทั้งชีวิตก็เป็นไปได้

ก่อนอื่นมาทำความรู้จักกับ “โทโฮคุ (Tohoku)” กันก่อนดีกว่าครับ ซึ่งถ้าหากลองดูจากแผนที่ประเทศญี่ปุ่นแล้วนั้น ภูมิภาคโทโฮคุจะอยู่ทางด้านเหนือสุดของเกาะฮอนชู ประกอบไปด้วย 6 จังหวัดด้วยกัน ได้แก่  จังหวัดฟุกุชิมะ, มิยากิ, ยามากาตะ, อิวาเตะ, อาคิตะ และจังหวัดอาโอโมริครับ ภูมิประเทศโดยส่วนใหญ่แล้วก็จะล้อมรอบไปด้วยภูเขา ต้นไม้ และลำธารที่อุดมสมบูรณ์ สวยงามมากๆ ไม่แพ้ที่ใดในโลกเลยทีเดียว

 

Tohoku Shinkansen Mapที่มาภาพ: th.wikipedia.org

 

อีกทั้งยังเป็นสถานที่ที่ยังคงอนุรักษ์ประเพณี วัฒนธรรม และการใช้ชีวิตประจำวันของผู้คนได้เป็นอย่างดี ไม่มีสิ่งไหนสูญหายไปตามกาลเวลา มีการจัดงานเทศกาลอีเว้นท์ต่างๆ อยู่บ่อยครั้ง ประชากรผู้คนที่อาศัยอยู่ที่ภูมิภาคนี้มีราวๆ 10 ล้านคน ซึ่งมักจะทำเกษตรกรรมกันซะเป็นส่วนใหญ่

ในภูมิภาคโทโฮคุมีสถานที่ท่องเที่ยวอยู่อย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นสถาปัตยกรรมทางโบราณสถานที่สำคัญ แหล่งอาหารการกินประจำถิ่นแสนอร่อย แหล่งที่พักผ่อนหย่อนใจให้ดื่มด่ำกับธรรมชาติ ตลอดจนบ่อน้ำพุร้อนออนเซ็นอีกมากมาย ถือว่าเป็นสถานที่ที่เหมาะกับการมาพักร้อนในวันหยุดสุดๆ เลยครับ

 

Tohokuที่มาภาพ: edition.cnn.com

 

ส่วนสภาพภูมิอากาศสำหรับของที่โทโฮคุ ในช่วงฤดูหนาวอากาศจะเย็นจัดจนเล่นสกีน้ำแข็งได้ สำหรับฤดูใบ้ไม้ผลิของที่นี่ จะตรงกับฤดูร้อนบ้านเราซึ่งทัศนียภาพโดยรอบก็จะมีดอกซากุระสีชมพูเบ่งบานให้ได้ชื่นชม ในหน้าร้อนเองก็ไม่ร้อนจนเกินไป เพราะสีเขียวจากใบธรรมชาตินั้นจะสร้างสัมผัสที่อบอุ่นให้กับนักท่องเที่ยว ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นช่วงของการจัดงานเทศกาลดอกไม้ไฟอีกด้วย

 

ถึงโทโฮคุทั้งที ต้องเที่ยวให้ครบ

หากจะเที่ยวโทโฮคุให้แบบอิ่มหนำสำราญใจ จะต้องไปให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ครับ โดยการเดินทางที่สะดวกที่สุด ต้องเริ่มเที่ยวจากจังหวัดทางตอนใต้สุดและค่อยขยับขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงจังหวัดด้านบนสุดครับ ถ้ายังไม่เห็นภาพกันล่ะก็ ผมจะยกเอาสถานที่ท่องเที่ยวของแต่ละจังหวัดในภูมิภาคโทโฮคุที่ว่าเด็ดมาแนะนำให้รู้จักกันเลยละกันครับ

 

01 ปราสาทสึรุกะ (Tsuruga Castle)
จังหวัดฟุกุชิมะ

 

ปราสาทสึรุกะ (Tsuruga Castle) จังหวัดฟุกุชิมะที่มาภาพ: commons.wikimedia.org

 

ปราสาทเก่าแก่สุดอลังการที่มีประวัติความเป็นมายาวนานกว่า 600 ปี และเป็นปราสาทแห่งเดียวของญี่ปุ่นที่นำกระเบื้องสีแดงมาใช้สร้าง อีกทั้งบริเวณรอบๆ ปราสาทมีสวนสาธารณะขนาดใหญ่ที่จะมอบความสบายตาสบายใจให้กับทุกท่านที่มาเยือน

 

02 ที่ราบสูงอุระบันได (Urabandai)
จังหวัดฟุกุชิมะ

 

ที่ราบสูงอุระบันได (Urabandai) จังหวัดฟุกุชิมะที่มาภาพ: pixabay.com

 

นี่เป็นจุดชิมวิวท่ามกลางธรรมชาติที่เหมาะแก่การท่องเที่ยวมากๆ เลยครับ ว่ากันว่าที่ราบสูงแห่งนี้เกิดจากการระเบิดตัวของภูเขา แต่ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะหลังจากการระเบิดในครั้งนั้น ที่นี่ได้กลายเป็นจุดชมวิวที่สวยงามมากๆ อีกแห่งหนึ่งของฟุกุชิมะก็ว่าได้

ระหว่างการเดินทางขึ้นไป จะได้พบกับบรรยากาศธรรมชาติที่งดงามเกินจะบรรยาย แต่ก็ต้องเตรียมสภาพร่างกายและเสบียงอาหารให้พร้อมนะครับ เพราะในการเดินทางขึ้นไป ณ จุดชมวิวนี้ใช้เวลาไปกลับประมาณ 7-8 ชั่วโมงเลยทีเดียว

 

03 หุบเขาสุดสวยนารุโกะ (Narugo Gorge)
จังหวัดมิยากิ

 

หุบเขาสุดสวยนารุโกะ (Narugo Gorge) จังหวัดมิยากิที่มาภาพ: jp.zekkeijapan.com

มาถึงจังหวัดมิยะกิ หากไม่นั่งรถไฟข้ามผ่านอุโมงค์เพื่อชมทัศนียภาพความสวยงามในหุบเขานารูโกะในช่วงที่ใบไม้กำลังเปลี่ยนสีนั้นถือว่ายังมาไม่ถึงมิยะกินะครับ เพราะคุณจะได้สัมผัสถึงความงดงามของธรรมชาติตามแบบญี่ปุ่นแท้ๆ ในขณะที่นั่งอยู่บนรถไฟ ยิ่งไปกว่านั้นสุดเส้นทางรถไฟ ยังมีจุดชมวิวที่ให้เพื่อนๆ ได้ถ่ายรูปเก็บเอาภาพความทรงจำดีๆ จากสถานที่แห่งนี้กลับไปอีกด้วย

 

04 หมู่บ้านสุนัขจิ้งจอก (Zao Fox Village)
จังหวัดมิยากิ

 

หมู่บ้านสุนัขจิ้งจอก (Zao Fox Village) จังหวัดมิยากิที่มาภาพ: commons.wikimedia.org

 

เสร็จจากชมวิวบนรถไฟในหุบเขานารุโกะ ให้ต่อรถมาลงที่หมู่บ้านซาโอะเลยครับ จริงๆ แล้วที่นี่มีสัตว์มากมายหลายร้อยชนิด แต่ไฮไลท์หลักๆ จะอยู่ที่ฝูงสุนัขจิ้งจอกน้อยน่ารักกำลังวิ่งเล่นเหมือนกับเด็กเล็ก คุณจะได้ใกล้ชิดกับพวกมัน สามารถให้อาหารได้โดยที่ไม่ต้องกลัวโดนกัด ใครที่อยากรู้ว่าจิ้งจอกมีเสียงร้องยังไง ก็ลองแวะเวียนมาที่นี่ดู รับรองว่าน่ารักกว่าที่เราเคยคิดไว้อย่างแน่นอนครับ

การเดินทางมาก็ไม่ยากครับมีแท็กซี่บริการส่งถึงที่ แต่สำหรับเพื่อนๆ คนไหนที่นั่งรถบัสมา ในตอนขากลับจะมีรอบรถบัสบริการอยู่รอบเดียวนะครับ คือรอบ 14:15 น.  อย่าเที่ยวเพลินจนตกรถนะครับ

 

05 รื่นรมย์ ณ สวนสาธารณะคะโจ (Kajo Park)
จังหวัดยามากาตะ

 

สวนสาธารณะคะโจ (Kajo Park) จังหวัดยามากาตะที่มาภาพ: https://goo.gl/uveJ6Q

 

อดีตสวนสาธารณะแห่งนี้เคยเป็นที่ตั้งของปราสาทยามากาตะ (Yamagata Castle) ในยุคสมัยเอโดะ แต่ปัจจุบันได้เปลี่ยนมาเป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจที่เต็มไปด้วยต้นซากุระมากกว่า 1,500 ต้น สามารถมานั่งพักหรือปิกนิกกับครอบครัวได้ทุกพื้นที่ของสวน ลองคิดดูนะครับ สวนที่ตั้งอยู่บริเวณรอบๆ ปราสาทของกษัตริย์ในสมัยก่อนจะสวยสดงดงามแค่ไหน

 

06 เหินฟ้าไปกับกระเช้าซาโอะ (Zao Ropeway)
จังหวัดยามากาตะ

 

กระเช้าซาโอะ (Zao Ropeway) จังหวัดยามากาตะที่มาภาพ: pixabay.com

 

นั่งกระเช้าชมวิวภูเขาและต้นไม้ที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะจากมุมสูง จัดเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมยอดฮิตของนักท่องเที่ยวที่มาเยือนยามากาตะในช่วงฤดูหนาวเลยครับ กระเช้านี้ลอยอยู่สูงเหนือพื้นดินและภูเขาทอดยาวไปหลายพันเมตร โดยจะได้ชมวิวสวยและทิวทัศน์โดยรอบของภูเขาซาโอะจากมุมสูงนี้เป็นระยะเวลาประมาณ 20 นาทีเลยทีเดียว

 

07 หน้าผาคิตะยามาซากิ (Kitayamazaki Coast)
จังหวัดอิวาเตะ

 

หน้าผาคิตะยามาซากิ (Kitayamazaki Coast) จังหวัดอิวาเตะที่มาภาพ: commons.wikimedia.org

จังหวัดอิวาเตะในภูมิภาคโทโฮคุก็มีจุดชมวิวบนหน้าผาสวยๆ เช่นกันครับ สำหรับที่นี่จะอยู่ติดกับชายฝั่งของมหาสมุทรแปซิฟิก หน้าผานี้มีความยาวถึง 8 กิโลเมตร ประกอบไปด้วยจุดชมวิวอยู่หลายแห่ง อาทิ บนหน้าผาอูโนซุ (Unosu Cliffs) และหอคอยชมวิวคิตะยามาซากิ 3 ชั้นครับ

 

08 ทะเลสาบทาซาว่า (Lake Tazawa)
จังหวัดอาคิตะ

 

ทะเลสาบทาซาว่า (Lake Tazawa) จังหวัดอาคิตะที่มาภาพ: tohokuandtokyo.org

จุดเด่นของทะเลสาบทาซาว่า นอกจากจะติดอันดับว่ามีขนาดความลึกที่สุดของญี่ปุ่นแล้วนั้น อีกอย่างที่โดดเด่นไม่แพ้กันเลยคือ สีของน้ำทะเล ที่จะให้มุมมองความสวยงามในแบบที่แตกต่างกันไปตามแต่ละจุดชมวิวที่มองครับ

นอกจากนี้ยังมีรูปปั้นหญิงสีทองรูปงามโบราณ “ทัตซึโกะ (Legend of Tatsuko)” ตั้งอยู่กลางทะเล ในตำนานว่ากันว่าผู้ใดที่ได้เข้ามาดื่มน้ำทะเลแห่งนี้ จะมีรูปร่างและผิวพรรณงดงามราวกับนางฟ้า ในสมัยก่อนหญิงผู้นี้ได้เข้ามาดื่มน้ำทะเล หากแต่ดื่มเยอะเกินไป จึงถูกสาปให้เป็นมังกรเฝ้าทะเล ชาวบ้านได้มีความเชื่อต่อกันมาภายหลังว่านี่เป็นเทพเจ้าเฝ้าทะเล ก็เลยทำให้มีเทศกาลแห่มังกรขนาดใหญ่เกิดขึ้นประจำเดือนในกรกฎาคมของทุกปี

 

09 นิวโตะ ออนเซ็น (Nyuto Onsenkyo)
จังหวัดอาคิตะ

 

นิวโตะ ออนเซ็น (Nyuto Onsenkyo) จังหวัดอาคิตะที่มาภาพ: jpninfo.com

 

เดินทางมาหลายที่ก็อาจจะรู้สึกเหน็ดเหนื่อยกันบ้าง ขอแนะนำให้ไปแช่ออนเซ็นตามฉบับดั้งเดิมของญี่แท้ๆ กันครับ นิวโตะออนเซ็นเปิดให้บริการมาตั้งแต่สมัยเอโดะ ถ้าหากนับเป็นปีตอนนี้ก็เปิดให้บริการมา 300 กว่าปีแล้วครับ จุดเด่นของที่นี่คือ สีของน้ำร้อนในบ่อน้ำพุที่มีลักษณะคล้ายกับสีของน้ำนมครับ อีกทั้งที่นี่ยังเป็นออนเซ็นกลางแจ้ง แวดล้อมไปด้วยธรรมชาติที่สวยงามดูผ่อนคลายมากๆ

 

10 ลำธารโอริราเสะ (Oirase  Stream)
จังหวัดอาโอโมริ

 

ลำธารโอริราเสะ (Oirase  Stream) จังหวัดอาโอโมริที่มาภาพ: commons.wikimedia.org

 

สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวแห่งสุดท้ายนี้ เป็นลำธารที่มีบรรยากาศเงียบสงบ อากาศปลอดโปร่งเย็นสบายสดชื่น ตลอดแนวลำธารมีความยาวกว่า 14 กิโลเมตร สองฝั่งข้างแม่น้ำเต็มไปด้วยต้นไม้นานาพันธุ์อันเขียวชอุ่ม บางฤดูกาลใบไม้เปลี่ยนสีไปได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ เสียงของน้ำลำธารที่ไหลอย่างต่อเนื่องนั้นทำให้นักท่องเที่ยวที่มาชื่นชมธรรมชาติรู้สึกผ่อนคลายได้ไม่น้อย

ภูมิอากาศในประเทศไทยถ้าไม่นับว่ามีฝนตกบ้าง ก็แทบจะร้อนตลอดปี หากอยากหนีร้อนแล้วไปเปิดประสบการณ์ใหม่ที่จะได้แนบชิดกับธรรมชาติแบบนี้ ก็ลองมาเที่ยวโทโฮคุกันครับ ไม่ต้องกลัวว่าจะหลงทาง ขอให้ระวังแค่จะตกหลุมหลงรักโทโฮคุจนไม่อยากกลับไทยเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว

แนะนำพาสสำหรับเที่ยวทั่วโทโฮคุให้คุ้มด้วย JR East Pass Tohoku Area!

LIKE & SHARE

ชอบเรื่องนี้จนต้องบอกต่อ