LA ONG FONG | That are more romantic EP.2
สารบัญ
เรายังอยู่กับวง “ละอองฟอง” ที่ประกอบด้วยสมาชิกสุดน่ารักอย่างพี่ออน พี่แมน และพี่เอ๊ะ ทูตสัมพันธ์ไมตรีที่เชื่อมเมืองไทยและเมืองนะงะซะกิเข้าไปด้วยกันอย่างเหนียวแน่นมาตลอด 3 ปี ผ่านบทเพลงในอัลบัมสุดพิเศษอย่าง “Feel Romance Nagasaki”
ทั้ง 5 บทเพลง อันได้แก่ คิด ลืมได้แล้ว อะไร รักเปิดเผย และแอบชอบ ในเวอร์ชั่นภาษาญี่ปุ่น ล้วนถ่ายทอดผ่านเสียงสดใสน่ารักของพี่ออน ผ่านเสียงดนตรีฟังแล้วสบายหูหรือดูคึกคักน่ารักพร้อมโยกไปตามจังหวะของพี่แมนและพี่เอ๊ะ ซึ่งเพลงที่แต่งขึ้นใหม่อย่างเพลง คิด กับ ลืมได้แล้ว ซึ่งแต่งโดยพี่แมนและพี่เอ๊ะ ยังได้แรงบันดาลใจมาจากเมืองนะงะซะกิ โดยเราถ่ายทอดมุมมองการเล่าเรื่องของผู้หญิงคนหนึ่งที่มีความสุขกับการท่องเที่ยวในเมืองนะงะซะกิโดยลำพัง ที่อยากหาใครสักคนมาเที่ยวด้วยกัน
วันนี้นอกจากนะงะซะกิแล้วที่หลายคนได้รู้จักผ่านบทสัมภาษณ์ฉบับก่อนหน้านี้ไปแล้ว หากเรานำชื่อเพลงของวงละอองฟอง มาบอกเล่าถึงประเทศญี่ปุ่นในมุมมองของแต่ละคนดูบ้าง จะละมุมเป็นฟองแบบไหน
เราไปร่วมคุยกับพี่ๆ กันดีกว่า
LA-ONG-FONG |
THAT ARE MORE ROMANTIC ;
*A=เอ๊ะ, O=ออน, M=แมน
Q. ภาพที่ “คิด” เกี่ยวกับญี่ปุ่นในจินตนาการ
O: ออนแทบจะจำไม่ได้แล้วว่าก่อนไปคิดยังไง เพราะประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศแรกที่ออนได้มีโอกาสไปเที่ยวต่างประเทศกับครอบครัว น่าจะสัก 20 ปีที่แล้ว ประทับใจมากว่าสมัยนั้นญี่ปุ่นทุกที่มีห้องน้ำ เป็นแบบออโตเมติกแล้ว นี่คือ 20 ปีที่แล้วนะคะ ญี่ปุ่นเจริญมาก
หลังจากการกลับมาครั้งนั้น คุณพ่อออนพูดเลยว่ามันคือการเปลี่ยนชีวิต เปลี่ยนความคิด แล้วคุณพ่อก็จะพูดกับทีมงานอยู่เสมอว่า ถ้ายังไม่มีโอกาสไปญี่ปุ่น ให้ไปญี่ปุ่นสักครั้งหนึ่ง เพราะมันคือการเปลี่ยนชีวิตคุณ ที่นั่นจะทำให้เราได้เห็นอะไรที่เหนือความคาดหมาย คิดอะไรไว้จะเหนือไปกว่านั้น เราคิดว่ามันจะเรียบร้อย จะเป็นระเบียบ มันจะยิ่งกว่านั้นเสมอ เวลาไปเราคิดว่าเรารู้จักญี่ปุ่นแล้ว เราคิดว่ามันน่าจะเป็นแบบนี้ แต่เวลาไปทุกที มันจะมีอะไรให้เซอร์ไพส์ทุกครั้งสำหรับออนค่ะ คือมันจะข้ามไปอีกสเต็ปหนึ่งตลอด
อย่างครั้งที่ไปทำงานกับนะงะซะกิ เราก็ได้เห็นการทำงานของคนญี่ปุ่นที่เป็นอีกขั้นหนึ่งที่ปกติเราไม่เคยเห็นใกล้ชิดขนาดนี้ค่ะ ว่าเขาทำงานกันอย่างไร ประทับใจค่ะ คือทุกอย่างตามตารางเวลา ทำงานคือทำงาน พอเลิกงานคือคือเลิกงาน ทุกอย่างเต็มที่หมดเลย ไปสุดทุกทาง
M: ภาพที่คิดในจินตนาการของผม คืออยากแช่น้ำในออนเซ็น แล้วก็มีหิมะตกลงมาเป็นบรรยากาศ เป็น
แบ็กกราวด์ นี่คือความฝันว่า (ยิ้ม) ถ้าไปญี่ปุ่นสิ่งที่อยากทำคือไปออนเซ็น ผมรู้สึกว่ามันได้ผ่อนคลาย มันได้ปล่อยจิตปล่อยใจให้มันสบายที่สุดครับ แล้วก็อีกอย่างหนึ่ง คืออยากไปสัมผัสหิมะ หรืออะไรก็ได้ที่ในชีวิตพึ่งเคยเห็น คือสิ่งที่คิดไว้ว่าถ้าจะไป อยากจะไปให้เจอบรรยากาศแบบนี้ แต่พอตอนที่ไปทำงานกับนะงะซะกิมันไม่มีหิมะ (หัวเราะ) แต่พอได้เจอมันก็อยากไปอีกเรื่อยๆ
A: จริงๆ แล้ว คือญี่ปุ่นตอนแรกเนี่ย ผมคิดว่าทุกอย่างแพง (หัวเราะ) ในมุมผมนะ ตอนแรกสุดเลยที่ยังไม่ได้รู้จักญี่ปุ่น แต่ก็รู้ว่าเขาเจริญมาก รู้ว่าเป็นเป็นประเทศที่มีเทคโนโลยีที่ไฮเทค โอ้โฮ…เป็นประเทศที่เจริญจริงๆ แล้วคิดว่าทุกอย่างมันต้องสูง แบบเราจะไปเที่ยวได้ไหม เราจะมีโอกาสได้ไปเหยียบประเทศนี้ไหมอะไรอย่างนี้
ในมุมผมนะรู้สึกว่ามันค่อนข้างจะห่างไกลเราเหลือเกิน ประเทศญี่ปุ่นเนี่ยจะไปทีก็ต้องขอวีซ่า เราไม่มีตังค์จะไปได้ไหม ไปแล้วจะเจออะไรบ้าง ก็เลยรู้สึกว่ายังไม่ไป ยังดูยาก อะไรไหมอย่างนี้มากกว่า ตอนแรกคิดอย่างนั้น แต่พอได้ไปแล้ว ชีวิตมันเปลี่ยน ความคิดมันก็เปลี่ยนหมดเลย
จริงๆแล้วญี่ปุ่นมันไม่ได้ไกลกว่าประเทศไทยเลย ทุกคนสามารถจะเอื้อมมือไปคว้ามันได้ แล้วได้ในทุกรูปแบบที่เราไปด้วยซ้ำ ผมว่ามันเปลี่ยนความคิดไปเลย ความคิดในการที่ว่าเราจะไปดู ไปเห็น ไปเจอ อันนั้นเป็นสิ่งที่ตามมาหลังจากนั้น แต่ถ้าเมื่อเรามีกำแพงแล้ว มันก็จะทำให้เราไม่กล้าที่คิดก้าวข้ามมันไป แต่พอเราได้ข้ามผ่านไปแล้ว จะรู้สึก โอ้โฮ…ไม่อยากเชื่อเลยว่ามันอยู่แค่ปลายนิ้วเราเท่านั้นเอง
แค่เราก้าวข้ามไปก้าวเดียว มันก็ทำให้เราเจออะไรที่มหาศาลที่เราไม่เคยเจอมาก่อน มันทำให้ผมได้มาทำอะไรกับญี่ปุ่นอีกมากมายจนถึงทุกวันนี้ เป็นประเทศแรกที่ทำงานด้วยกันเยอะมากที่สุด ผมก็อยากจะพูดให้คนที่อ่านรู้สึกว่าเราลองข้ามกำแพงอะไรบางอย่างไป แล้วคุณจะเจออะไรในสิ่งที่คุณไม่เคยคิด ในฝัน ในสิ่งที่คุณชอบของตัวเอง
ทุกคนมีแพชชั่นแตกต่างกัน แต่เพียงแค่ว่ามันจะมีอะไรบางอย่าง แต่ผมเชื่อว่าตอนนี้ญี่ปุ่นใกล้ประเทศไทยมากกว่าแต่ก่อน เรื่องการเดินทาง เรื่องค่าครองชีพ เรื่องของสิ่งที่เรารู้ ข้อมูลที่เรามี มันมีเยอะแล้วจากแต่ก่อนถ้าย้อนกลับไป 10 กว่าปีที่แล้วที่รู้สึกอยู่ไกลจากคนไทยเหลือเกิน แต่ความคิดนี้ถูกเปลี่ยนปุ๊บเนี่ย พอคุณกล้าข้ามไป คุณจะได้เจออะไรในสิ่งที่คุณไม่เคยคิดแน่นอน
Q. เรื่องบางเรื่องของญี่ปุ่นที่คิดว่าอยาก “ลืมได้แล้ว”
A: ผมมีโอกาสได้นำหัวใจและเงินไปบริจาคที่คุมะโมะโตะตอนเกิดแผ่นดินไหว แล้วเราก็ได้ไปเห็นบ้านเมืองเขาพัง แม้กระทั่งตึกออฟฟิศก็ร้าว แต่เขายังอยู่ได้ คนญี่ปุ่นบอกกับเราเสมอว่า เขาอยู่กับภัยพิบัติมาโดยตลอด เพราะฉะนั้นเขาเตรียมพร้อมกับสิ่งเหล่านี้แล้วต้องอยู่ให้ได้ คนญี่ปุ่นทุกคนเลยต้องตื่นตัวและเตรียมพร้อมกับสิ่งเหล่านี้ตลอด
แต่ว่าสำหรับพวกเรา เราไม่เคยเจอ เราเห็นเรารู้สึกว่ามันโหดร้ายมาก เหมือนเราอยู่ประเทศไทยแล้วเรามีความสุขเนอะ แต่ญี่ปุ่นเขาอยู่กับความเสี่ยงตลอด กับภัยพิบัติที่ไม่รู้จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ นั่นแหละคือสิ่งที่ผมเห็นแล้วรู้สึกว่าพวกเขาสู้มากเลย เราเห็นภาพของตึกมันพังลงมา ตอนนั้นที่ผมไปทำงาน ไปถ่ายงาน ผมเห็นตึกพังลงมา ผมก็อยากจะลืมภาพพวกนี้ไม่อยากจะเห็นอีก สำหรับผมนะครับ
M: ของผมมีอยู่เรื่องหนึ่ง เรื่องที่อยากจะลืมก็คือ คนญี่ปุ่นเขาเป็นคนที่จะทำอะไรเป็นระเบียบมากๆ เรียกว่าแคร์สังคม แคร์ทุกอย่างมากๆ อย่างเราเคยไปกินข้าว ไปกินบุฟเฟ่ต์อะไรอย่างนี้ เราก็จะเป็นสไตล์คนไทยก็จะเต็มที่ แล้วเราก็เห็นคนญี่ปุ่นเขากิน บนโต๊ะเขาจะเรียบร้อยมาก ตอนนั้นรู้สึกว่า จริงๆ สิ่งพวกนี้เป็นสิ่งที่ดีนะ เราน่าจะทำตาม อย่างน้อยก็คือคิดถึงส่วนรวมด้วย คนอื่นจะได้ไม่ต้องเดือดร้อน ไม่ต้องมาช่วยเราเก็บ เขาดูแลตัวเอง เขาทำอะไรก็จะรับผิดชอบ รู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ดี แล้วเราก็อยากลืมเรื่องที่ไม่ดีของเราออกไป (หัวเราะ)
O: เรื่องที่อยากจะลืมก็คือ ลืมกินบ้าง ไม่เคยลืมได้เลย (หัวเราะ) ไปญี่ปุ่นทีไร เจ็ดแปดมื้อเป็นขั้นต่ำ ก็คือกินตลอด เดี๋ยวก็ขนม เดี๋ยวก็ไอศกรีม อยากจะลืมกินบ้าง
Q. “อะไร” ที่ไม่คาดคิดว่าจะได้เจอในญี่ปุ่น
O: ประสบการณ์ทำของหายแล้วไม่คิดว่าจะได้เจอแต่ก็เจอค่ะ ตอนนั้นนั่งรถไฟด่วนเข้าไปในเมือง แล้วลืมของไว้ที่ชานชาลา นึกได้ตอนเดินทางมาครึ่งทางแล้ว เราก็ต้องรอจนกว่าจะไปถึงสุดสายแล้วค่อยนั่งย้อนกลับมาอีกที ผ่านไปเกือบ 2 ชั่วโมงได้ ออนก็ไม่คิดว่ามันจะยังอยู่นะ ข้างในมีเอกสารสำคัญด้วย แต่ว่าพอไปถึงกระเป๋ากลับยังอยู่ที่เดิม (หัวเราะ)
M: ผู้ว่าเมืองนะงะซะกิครับ เพราะตอนนั้นเราคิดว่าเราไปทำงาน การได้เจอผู้ว่านั้นเป็นเรื่องไกลตัวมาก แต่วันนั้นเหมือนท่านเรียกให้เราไปพบ ซึ่งจริงๆ ท่านก็ไม่ได้มีเวลามาก แต่ว่าตอนที่เราไปหาท่าน อยู่กันนานมาก เกือบชั่วโมง เราก็ร้องเพลงให้ท่านฟัง รู้สึกภูมิใจมากที่เราได้เป็นตัวแทนของคนไทย
A: สำหรับผมคือการได้กินเนื้อวัวที่ญี่ปุ่นครับ เป็นเนื้อโกเบซึ่งมันอร่อยมาก การที่ได้กินเนื้อวัวอร่อยๆ แบบนี้จึงเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นมาก ปกติผมเป็นคนไม่กินเนื้อนะครับ หลังจากที่ได้กินครั้งนั้นเลยปฏิญาณว่าจะไม่กินเนื้อที่ประเทศไทย แต่ถ้าไปญี่ปุ่นเราจะกิน (หัวเราะ) นอกจากนั้นก็ยังได้มีโอกาสไปทำงานในฟาร์มวัวด้วย ได้เห็นว่าเขาเลี้ยงดูวัวดีมาก วันนั้นกินเนื้อในฟาร์มวัวที่จังหวัดซากะอีก อร่อยมากเลยครับ เพราะญี่ปุ่นเขาจะเลี้ยงแบบไม่มีกลิ่น คอนเซปต์ของญี่ปุ่นคือเขาเน้นเท็กเจอร์ในการกิน ไม่เน้นกลิ่นครับ ถ้าเนื้อมันนุ่ม มันละลายเนี่ย คือใช่เลย
Q. อยากบอกกับญี่ปุ่น แบบ “รักเปิดเผย” ว่าอย่างไร
O: ออนชอบ เมะงะเนะบะชิ (Megane-bashi Bridge) หรือสะพานแว่นตาค่ะ อยู่ที่เมืองนะงะซะกิ มันจะเป็นสะพานหินครึ่งวงกลม แล้วก็ต้องไปดูตอนเช้านะคะ เพราะว่าแดดตอนเช้าจะส่องสะท้อนน้ำ เกิดเป็นรูปแว่นตากลมๆ แนวๆ ค่ะ
จริงๆ จุดเด็ดของเมืองนะงะซะกิมีหลายอย่าง น้ำที่ไหลผ่านก็เป็นน้ำที่มาจากภูเขา ใสมาก และมีปลาคาร์ปตัวใหญ่ๆ เป็นร้อยตัวเลยค่ะ อีกอย่าง ไปที่นั่นก็ต้องไปตามหาหัวใจที่ซ่อนด้วยนะคะ ต้องสะสมให้ครบทุกดวงเพื่อจะได้ประสบความสำเร็จในความรักค่ะ
M: ผมชอบสถานที่ท่องเที่ยวครับ คือที่โอะชะโนะมิสุ (Ochanomizu) อยู่ในโตเกียว ผมรักที่นี่มากเพราะว่ามันเป็นย่านขายเครื่องดนตรี ซึ่งมีเยอะมาก มากกว่าไทยร้อยเท่า ทุกอย่างที่เกี่ยวกับดนตรีมีหมดเลย ผมสามารถอยู่ที่นี่ได้เป็นอาทิตย์ ไม่มีทางเบื่อแน่นอน ไปได้ทุกครั้ง เจอที่นี่ครั้งแรกตอนไปด้วยกันกับพี่เอ๊ะครับ ตอนไปเจอครั้งแรกนี่แทบไม่น่าเชื่อว่าจะมีสินค้า ร้านค้าเยอะมากขนาดนี้ มาที่นี่คือได้ของแน่นอน เสียทรัพย์หมดแน่ๆ ครับ (หัวเราะ)
A: ของผมไม่ใช่สถานที่แต่เป็นบุคคล ผมอยากบอกรักคนญี่ปุ่นแบบเปิดเผยครับ เพราะผมเป็นคนสนุกสนาน เวลาคนญี่ปุ่นอยู่กับเรา เราก็อยากทำให้เขามีความสุข เนื่องจากคนญี่ปุ่นส่วนใหญ่เขาจะเคร่งเครียด อาจเป็นเพราะสภาวะทางสังคมหรือวัฒนธรรม จึงไม่สามารถแสดงออกให้เห็นได้
เวลาที่ผมไปญี่ปุ่น ผมจะชอบเอาความรักไปมอบให้เขาตลอดเวลา เจอคนญี่ปุ่นก็จะพยายามเอ็นเตอร์เทนพวกเขา ให้เขามีรอยยิ้ม มีความสุข ก่อนหน้านี้ 3-4 ปี พวกเราสามคนได้ไปเที่ยวฮอกไกโดกัน พี่แมนเขาก็อัพรูปในเพจแล้วเย็นวันนั้นเราไปสวนสาธารณะโอะโดะริ (Odori Park) ออนเดินไปซื้อทะโกะยะกิ แล้วจู่ๆก็มีจักรยานจอดดังเอี๊ยด ตะโกนเรียก “ละอองฟอง!” แล้วเขาก็ยื่นซีดีทุกอัลบั้มของเราให้เราเซ็น เขาชื่อคุณเซะกิครับ เป็นชาวฮอกไกโด เกิดที่ซัปโปโร ไม่เคยมาเมืองไทยเลย แต่เขาชื่นชอบเพลงของเรามาก พวกเราก็ดีใจที่คนญี่ปุ่นเขาชอบเพลงของเรา เราเลยได้กลายเป็นเพื่อนกันจนถึงวันนี้เลยครับ
“ผมแอบชอบคนญี่ปุ่นครับ คือเราชอบวิธีคิด วิธีการดำเนินชีวิต มุมมองของเขา ชอบที่เขาแคร์สังคม
ซึ่งผมรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่เราอยากเป็นให้ได้แบบเขา”
Q. แล้วญี่ปุ่นในมุมที่ “แอบชอบ” มีบ้างไหม
O: ชอบทุกอย่างนะ แต่ว่าอาจจะไม่เคยบอกใครว่าเราเก็บสิ่งนี้มาใช้กับตัวเองด้วย คือเรื่องของมิตรภาพเวลาที่เขาให้เรา เวลาเราไปญี่ปุ่นแล้วเขาดูแลเรา เหมือนเขาใส่ใจตลอดว่า เราอยากได้อะไร อยากทำอะไร เขาก็จะถามให้ คุยให้ เพราะเราพูดภาษาญี่ปุ่นไม่เป็น เวลาที่ส่งเราขึ้นรถ เขาก็จะยืนคอยโบกมือส่งเรา เวลาซื้อของ เขาก็จะเดินมาส่งเราหน้าร้าน ยื่นถุงให้ มีครั้งหนึ่งลงกระเช้า เขาก็จะยืนส่งเรา นี่เป็นสิ่งที่เราประทับใจมาก ถึงขั้นพูดกับคุณแม่และแฟนว่าอยากเอานิสัยคนญี่ปุ่นมาใช้เลย
M: ผมแอบชอบคนญี่ปุ่นครับ คือเราชอบวิธีคิด วิธีการดำเนินชีวิต มุมมองของเขา ชอบที่เขาแคร์สังคม ซึ่งผมรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่เราอยากเป็นให้ได้แบบเขา ผมก็นำวิธีของเขามาใช้กับตัวเอง แต่บางเรื่องด้วยความที่เป็นคนไทย บางอย่างเราก็จะไม่เป็นไร ช่างมัน แต่บางอย่างเราพยายามจะคิดว่ามันเป็นกฎนะ ต้องเคารพสิทธิ์ของทุกคนนะ เราก็พยายามนำมาปรับใช้กับชีวิตของเราด้วย
A: ผมแอบชอบรสนิยมของคนญี่ปุ่น เขามีรสนิยมในการใช้ชีวิตค่อนข้างมากเลยครับ ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม ผมชอบสังเกตเขา เช่น เรื่องการแต่งตัว เสื้อผ้า สิ่งของที่เขาใช้ เรื่องของวิถีชีวิต แนวความคิดของเขา รสนิยมเขาดีมาก หรือเวลาเขามีสิ่งที่ชื่นชอบสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้ว เขาก็จะไปตามสิ่งที่เขาชอบ ซึ่งเรารู้สึกว่าเราก็อยากเป็นแบบนั้น ผมจึงแอบชอบรสนิยมของคนญี่ปุ่นทุกคน กว่า 99% ของประชากรญี่ปุ่นผมคิดว่าเขามีรสนิยมที่สูงมาก เนื่องจากเขาโตมากับอะไรหลายๆ ด้วยครับ
เรียกได้ว่าคำตอบของพี่ๆแต่ละคน ทั้งละมุมและกลายเป็นฟองหลากหลายรูปแบบ น่าเสียดายฟองละมุนๆจากพี่ทั้งสามคน ต้องลอยไปมอบความสุขให้กับผู้อื่นบ้างแล้ว หากใครอยากติดตามความเคลื่อนไหวของวงละอองฟองให้หายคิดถึง ก็สามารถติดตามผลงานได้ที่
Line : Laongfong Line Official
Facebook : Laongfongband.Fanpage , Spicydisc.Fanpage
IG : @onlaongfong , @aehlaongfong , @manlaongfong