สารบัญ


‘กฤตธี​ ​วิศิษฐ์กิจการ’
ชายหนุ่มผู้มีความใฝ่ฝันและเลือกก้าวย่างบนเส้นทางสายดนตรีร่วมกับวง The Ginkz แต่ทว่าเส้นทางสายนี้กลับซ่อนกลิ่นอายของเครื่องปรุง วัตถุดิบ และกลิ่นน้ำมันไว้เบื้องหลังเสียงเพลงในจังหวะอันหนักหน่วง หลายเมนูที่ปรุง หลากเมนูเสิร์ฟในร้านอาหารซูมา ส่วนหนึ่งมาจากมือที่จับไมค์คู่นี้ วันนี้เราจะได้มารู้จักเขาให้มากขึ้น

 

Q. อะไรคือแรงบันดาลใจให้อยากเป็นเชฟ

พูดกันตามตรงเลยคือตอนเด็กๆผมดูรายการทีวีแชมเปี้ยนส์ (TV Champion) บ่อยมาก (หัวเราะ) ได้เห็นคนทำอาหาร ได้เห็นอาหารที่เขาทำแล้วอยากเป็นนักชิมครับ

ตอน ม. 6 เป็นช่วงที่หลายคนเริ่มเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย เราก็เห็นคนอื่นเริ่มไปสอบนู่นสอบนี่กันแล้ว แต่ยังไม่รู้ว่าตัวเองจะเอายังไงกับชีวิตต่อดี สมัยนั้นโรงเรียนอยู่แถวบางนา-ตราดแล้วต้องนั่งรถเมล์กลับบ้านแถวพัฒนาการ พอรถผ่านซีคอน สแควร์ เลยได้เจอวิทยาลัยดุสิตธานีครับ จากความคิดที่ว่าอยากเป็นนักชิมเลยเปลี่ยนเป็นจะลองเรียนเชฟดูสักครั้ง มันเป็นความคิดที่อยู่ดีๆก็แล่นเข้ามาในหัวและใช้การตัดสินใจแบบแรนดอมมากครับ (หัวเราะ)

ตอนเรียนทำอาหารที่วิทยาลัยดุสิตธานีเรียกได้ว่าเป็นรุ่นบุกเบิกของเลอ กอร์ดอง เบลอ (Le Cordon Bleu) เลยก็ว่าได้ครับ เพราะดุสิตเพิ่งเริ่มนำหลักสูตรมาจากออสเตรเลียเข้ามาเป็นโปรแกรมแรกๆ หลักสูตรที่เขาใช้สอนพื้นฐานแล้วเป็นอาหารยุโรป มีทั้งของคาว ของหวาน และมีคอร์สอาหารไทยกับจีนรวมอยู่ด้วยเล็กน้อย แต่ผมถนัดประเภทอาหารคาวมากกว่า พวกของหวานนี่ไม่เข้าหัวเลย

พอเรียนจบก็ไปทำงานที่อเมริกา 1 ปีครับ ตอนนั้นได้ทำงานร้านในอาหารสไตล์ยุโรปของโรงแรม ได้ประสบการณ์เยอะพอควรเลยครับเพราะเขาจัดให้เราทำงานในครัวหลายส่วนมาก ทั้งครัวเย็น ครัวจัดเลี้ยง ครัวอาหารพนักงาน อะไรที่เกี่ยวกับอาหารคาว ผมผ่านมาเกือบหมดเลยครับ

 

 

Q. เริ่มเข้ามาทำงานที่ร้านอาหารซูมาได้อย่างไร

ตอนไปทำงานที่ร้านอาหารในอเมริกาเป็นช่วงเดียวกับที่ผมเข้าร่วมวง The Ginkz พอดีครับ แต่ด้วยอะไรหลายๆอย่าง ไม่ว่าจะเป็นระยะทางหรือเวลาทำให้ผมต้องออกจากวงไปพักหนึ่ง แต่พออยู่ได้ประมาณ 1 ปี ก็รู้สึกว่าอยากหาอะไรใหม่ๆทำแล้ว จึงกลับมาเมืองไทยและหางานครับ พอดีช่วงนั้นร้านอาหารซูมา (Zuma Restaurant) ซึ่งเป็นร้านอาหารของเชฟระดับโลกเปิดรับสมัครพ่อครัวพอดี แล้วผมก็ชอบอาหารญี่ปุ่นเป็นทุนเดิมอยู่แล้วเลยมีโอกาสได้เข้าไปทำงานที่นี่ครับ

 

Q. ช่วยพูดถึงบทบาทหน้าที่ในร้านอาหารซูมาหน่อยได้ไหม

ร้านอาหารซูมาเป็นร้านอาหารญี่ปุ่นร่วมสมัยครับ เจ้าของร้านคือคุณไรเนอร์ เบ็กเกอร์ (Rainer Becker) ซึ่งเคยไปใช้ชีวิตที่ญี่ปุ่นประมาณ 7 ปี แล้วนำเอาวัฒนธรรมญี่ปุ่นกลับมาผสมผสาน ปรุงอาหารให้มีกลิ่นอายความเป็นญี่ปุ่น นำเสนอแบบเรียบง่ายบนความแตกต่างในรูปแบบของซูมาครับ

ตอนนั้นผมทำอยู่ครัวร้อน ทอดเทมปูระ ของอบ สลัด ทำตามเมนูที่เขาเซทมาแล้ว เราแค่ศึกษาเทคนิค ทำตามสูตร และรักษามาตรฐานให้มันได้ สำหรับกุ๊กคนหนึ่งถ้าจะให้เข้าใจแนวทางของร้านอาหารจริงๆ ก็ควรจะอยู่ให้ได้ 2-3 ปี เพื่อที่จะเข้าใจการบริหาร การจัดการ และแนวคิดของเจ้าของ เพื่อที่เราจะสามารถครีเอทเมนูที่ตรงกับคอนเซปต์ของเขาได้ ซึ่งผมทำอยู่ 8 เดือน อาจยังไปไม่ถึงตรงนั้น แต่ก็ได้ประสบการณ์ที่ดีไม่น้อยเลยครับ

 

Q. ทำไมถึงตัดสินใจลาออกจากร้านอาหารซูมา

ช่วงที่ทำงานในร้านอาหาร ผมก็ยังรู้สึกว่าอยากทำวงดนตรีกับเพื่อนๆอยู่ ระหว่างที่เป็นพ่อครัวก็มีโอกาสได้เล่นดนตรีกับเพื่อนๆด้วย จนกระทั่งวง The Ginkz ได้เซ็นสัญญากับค่ายสหภาพดนตรี (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น มิวสิค มูฟ (Muzik Move) ผมเลยคิดว่าเส้นทางนี้สามารถไปต่อได้และยังได้ทำงานที่รักกับเพื่อน จึงตัดสินใจลาออกจากซูมาแล้วหันมาทำงานดนตรีเต็มตัวครับ

 

 

Q. ระหว่างเล่นดนตรีกับการทำอาหาร ชอบอะไรมากกว่ากัน

ผมชอบพอๆกันนะครับ อาจจะเอนไปทางดนตรีเล็กน้อย แต่ผมคิดว่ามันแตกต่างกันตรงความรู้สึกเวลาเราทำสิ่งนั้นๆเท่านั้นเอง อย่างเวลาผมได้ปลดปล่อยความเป็นตัวเองขณะอยู่บนเวที ก็จะรู้สึกมีความสุขมาก คิดว่าถ้าได้ทำทุกวันก็คงดี

ถึงอย่างนั้นงานประจำมันก็มีข้อดีของมันนะครับ การเป็นลูกจ้างในบริษัทหรือทำงานในอุตสาหกรรมบริการอย่างที่ผมเคยผ่านมา มันต้องทำใจอย่างหนึ่งเพราะเมื่อถึงช่วงระยะเวลาหนึ่ง คุณอาจจะรู้สึกเบื่อหรือไม่อยากทำแล้ว ไม่มีงานไหนที่ไม่ลำบากหรอกครับ เพียงแค่เราต้องหาแพทชั่นตรงนั้นให้ได้เจอและมีความสุขกับงานที่ทำ เราก็จะทำงานนั้นต่อไปได้เรื่อยๆ เอง

 

Q. ในอนาคต จะยึดอาชีพนักดนตรีเป็นหลักหรือเปล่า

ตอนนี้คิดว่ายังเลือกเดินเส้นทางสายดนตรีครับ แต่ก็ขึ้นอยู่กับโอกาสในอนาคตด้วยว่าจะได้ทำอะไรบ้าง ถึงจะรักงานดนตรีแต่ผมก็เรียนด้านการทำอาหารมาด้วย ถ้าได้ใช้ความสามารถที่เรียนมานำมาต่อยอดในอนาคตได้ นอกจากปริญญาบัตรแล้วผมคิดว่ามันเป็นกำไรอย่างหนึ่งในชีวิตด้วยครับ

อยากฝากถึงวัยรุ่นทุกคนครับว่า ลองค้นหาตัวเองหรือหาแรงบันดาลใจให้ชีวิตดูนะครับ เมื่อรู้ว่าอยากทำอะไรและมีโอกาศแล้วก็ลองลงมือทำสิ่งนั้นดู สิ่งเหล่านี้จะช่วยต่อยอดในอนาคตเราได้

 

 

Q. ในฐานะเชฟ คิดว่าอาหารญี่ปุ่นมีเสน่ห์ตรงไหน

อาหารญี่ปุ่นมีเสน่ห์ตรงความละเมียดละไมครับ อาหารบ้านเขาสื่อให้เห็นถึงวัฒนธรรมและทัศนคติของคนญี่ปุ่น ต่อให้คุณมีทักษะระดับสูงแค่ไหน แต่จุดเริ่มต้นของอาหารญี่ปุ่นก็คือคุณภาพของวัตถุดิบครับ จะสังเกตได้ว่าร้านอาหารญี่ปุ่นจะเน้นที่คุณภาพ ความสดใหม่ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อสัตว์หรือผักต้องเป็นของที่ดีที่สุดซึ่งมันเริ่มมาจากตรงนี้

แต่ถ้าเรามองให้ลึกลงไปอีก คนญี่ปุ่นมักใส่ใจทุกรายละเอียดในอาหารทุกจานเพื่อรอยยิ้มของลูกค้านะครับ พ่อครัวพยายามปรุงอาหารทุกอย่างด้วยวิธีที่เรียบง่ายเพื่อให้วัตถุดิบมันเปร่งประกายได้มากที่สุด พูดง่ายๆคือเขาให้เกียรติวัตถุดิบมาก ดังนั้นที่อาหารญี่ปุ่นมีราคาสูงเพราะภายใต้ความเรียบง่ายในเมนูหนึ่งๆมันมีรายละเอียดเยอะมาก และเสิร์ฟสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้าเท่านั้นครับ

 

Q. ถ้ามีโอกาสอยากทำงานร่วมกับเชฟคนไหน

โห…มีหลายคนมากเลยครับ หนึ่งในนั้นก็มีเชฟโระกุซะบุโระ มิชิบะ (Rokusaburo Michiba) เขาเป็นเชฟกระทะเหล็กอาหารญี่ปุ่นครับ ผมโตมากับรายการนี้ พอได้เห็นอาหารแต่ละจานที่เขาทำ แต่ละเมนูที่เขาครีเอท มันเป็นการผสมผสานระหว่างอาหารญี่ปุ่นดั้งเดิมกับอาหารที่ได้รับอิทธิพลมาจากยุโรปและทั่วโลก แต่แก่นหลักอาหารของเขาคือญี่ปุ่นดั้งเดิม แต่เขาสามารถพลิกแพลงให้มันดูน่าสนใจขึ้นมาได้ ถ้าจะให้เลือกผมก็เลือกเขานี่แหละครับ

 

Q. คิดว่าตัวเองคืออาหารเมนูไหนของญี่ปุ่น

ผมคิดว่าตัวเองคือซาชิมิไม่ก็เทมปุระครับ เหตุผลที่เลือกซาชิมิเพราะส่วนหนึ่งผมชอบปลาดิบ และคิดว่าเมนูนี้เป็นเมนูที่ปรุงแต่งน้อยที่สุด ว่ากันด้วยที่คุณภาพและวัตถุดิบ ส่วนตัวผมคิดว่าตัวเองเป็นคนไม่ได้ปรุงแต่งอะไร มีความมั่นใจและแสดงออกความเป็นตัวของตัวเองเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้คน ส่วนอีกเมนูคือเทมปุระ เพราะเป็นเมนูแรกที่กินแล้วทำให้รู้สึกชอบอาหารญี่ปุ่นครับ เทมปุระเป็นอาหารทอดกรอบที่เรียบง่าย แต่กว่าจะได้เทมปุระที่อร่อยจึงต้องมีเทคนิค เหมือนผมที่เป็นคนดูง่ายๆ แต่ภายในก็มีความเป็นตัวของตัวเองที่แสดงออกมาให้คนได้เห็นคุณภาพของเราเมื่อต้องอยู่ในบทบาทใดบทบาทหนึ่งครับ

 

“เราต้องหา passion และมีความสุขกับงานที่ทำ

เราก็จะทำงานนั้นต่อไปได้เรื่อยๆ เอง”

 

Q. ได้ยินมาว่ามีผลงานด้านงานเขียนด้วย

ก็เคยมีครับ เมื่อก่อนเคยเขียนรีวิวอาหารลงคอลัมน์ให้กับ BK Magazine ในส่วนที่เกี่ยวกับอาหารทั้งหมดเลยครับ ลักษณะคอลัมน์มีทั้งเขียนแนะนำร้านเปิดใหม่ในกรุงเทพ เมนูอาหารของร้าน คือเราเข้าไปนั่งกินเอง จ่ายเอง เหมือนลูกค้าคนหนึ่งซึ่งไม่ได้ไปขอไปรีวิวกับทางร้านโดยตรง ทำให้ผมได้นำประสบการณ์ทั้งตอนเรียนและตอนทำงานมาใช้ในงานเขียนที่ต้องวิเคราะห์เชิงลึกเยอะมาก

ผมอยากจะบอกว่าร้านอาหารในกรุงเทพเนี่ยเปิดใหม่อยู่เรื่อยๆแทบทุกสัปดาห์ ยิ่งเป็นช่วงที่ธุรกิจอาหารเฟื่องฟู ยิ่งมีร้านเพิ่มขึ้นมากครับ แต่ในปัจจุบันสังคมเราพัฒนาไปเร็วมาก มีโซเชียลมีเดียที่เข้าถึงเร็วและง่าย ทุกอย่างดูเร็วไปหมด ร้านอาหารเหล่านี้ก็สามารถเซิร์ทหาได้ง่ายให้คนตามไปกินแทบจะแบบเรียลไทม์เช่นกันครับ

 

Q. วง The Ginkz มีที่มาอย่างไร

วงนี้เริ่มจากสมาชิกของวงคือวินกับยูซึ่งเรียนที่มหาวิทยาลัยเดียวกัน เกิดไอเดียอยากลองทำเพลงสักเพลงหนึ่งที่ดนตรีดี ไพเราะ แต่เนื้อหาเพลงไม่มีความสอดคล้องหรือได้ใจความอะไรทั้งนั้น เพราะอยากรู้ว่าหากนำเสนอในรูปแบบนี้แล้ว ผลตอบรับจะเป็นอย่างไร เลยเกิดเพลงที่มีชื่อว่า ‘ปลิงดอง’ พอปล่อยเพลงนี้ออกไป ปรากฏว่าผลตอบรับกลับมาค่อนข้างดีในระดับหนึ่งเลยครับ จนมีคนชวนไปเล่นดนตรี ซึ่งตอนนั้นสมาชิกยังมีแค่ 2 คน ทำให้ต้องฟอร์มวงขึ้นมาครับ

 

ขอขอบคุณภาพจาก @theginkz

 

Q. แล้วชื่อวงละ

ชื่อวงมาจากเสียงที่เกิดขึ้นเมื่อเหรียญหล่นลงพื้นแล้วดัง ‘กิ๊ง~’ เป็นนิยามของคำว่า ‘เกิน’ ซึ่งเหมาะกับวงของเรา เพราะว่าสมาชิกเราสติ ‘เกิน’ กันทุกคนครับ

 

Q. ชื่อ ‘ปลิงดอง’ มีที่มาไหม

ไม่มีครับ ตอนนั้นแค่อยากเขียนอะไรที่ทำให้คนงงๆ ชื่อเพลงก็ตั้งขึ้นมาแบบไม่มีเหตุผลด้วยเหมือนกันครับ อันที่จริงแล้วเพลงแรกของวง The Ginkz คือ ‘บอกฉัน’ แต่เพลงที่ทำให้หลายคนรู้จักเราคือ ‘ปลิงดอง’ แต่เพลงที่เป็นกระแสมากที่สุดคือ ‘แอบปลื้มสาวมุสลิม ม.1/5’ ครับ

 

Q. The Ginkz เป็นเพลงแนวไหน

ถ้าให้จำกัดความ ผมคิดว่าเป็นแนว Progressive Variety ก็แล้วกันครับ เพราะเพลงที่ทำออกมามันมีความหลากหลายและไม่หยุดอยู่นิ่ง แนงเพลงมีทั้งป๊อบ ร็อค หมอลำ บอสซาโนวา รวมถึงเมทัลด้วย มันไม่ไม่มีจุดตายตัว แต่ก็ไม่ได้ตามเทรนด์มากจนเกินไป พอมีไอเดียอะไรดีๆที่บ่งบอกความเป็นตัวเราก็จะใส่มันเข้าไปในเพลงครับ

 

Q. ช่วยพูดถึงเพลง ‘โอฮาโย’ ให้ฟังหน่อย

เพลง ‘โอฮาโย’ เป็นเพลงจังหวะเร็วครับ เรียกว่าเป็นเพลงปลุกใจก็ได้ ที่เลือกใช้คำว่า ‘โอฮาโย’ เพราะคิดว่าเป็นคำที่ทุกคนเข้าใจง่าย เป็นคำทักทายในทุกๆเช้าที่ตื่นนอน เหมือนปลุกทุกคนให้ตื่นจากความฝันแล้วออกไปเผชิญกับโลกความเป็นจริงครับ

เพลงนี้เราทำดนตรีและเอ็มวีให้มีความเป็นญี่ปุ่นด้วย ปล่อยเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายนปีที่แล้ว จนถึงตอนนี้ ผลตอบรับถือว่าดีมากในระดับหนึ่งเลยครับ

 

ขอขอบคุณภาพจาก @theginkz

 

Q. เพลงอื่นเกี่ยวกับญี่ปุ่น

มีเพลงที่ทำออกมาเล่นๆครับ ชื่อว่าเพลง ‘โอปลาดุก’ ไม่เคยนำไปเล่นที่ไหน ส่วนคอนเซปต์จะเป็นอย่างไรนั้นลองฟังใน Youtube ดูนะครับ (หัวเราะ) ส่วนอีกเพลงหนึ่งนั้นจะอยู่ในอัลบัมที่จะออกปลายปีนี้ขออณุญาตไม่บอกชื่อนะครับ แต่คอนเซปต์เพลงคือความรักไม่จำกัดอายุ ซึ่งมีความงดงามซ่อนอยู่ในรูปแบบความรักนี้

 

Q. ตอนนี้สามารถติดตามผลงานได้ทางไหนบ้าง

หลักๆคือทาง Youtube ครับ ใช้ชื่อว่า The Ginkz เลย ส่วนใหญ่เป็นซิงเกิลที่เราทำแล้วนำมาเผยแพร่ให้ทุกคนได้สัมผัสพวกเราผ่านเพลงเหล่านี้

 

Q. นอกจากทาง Youtube แล้ว สามารถติดตาม The Ginkz ได้ที่ไหนอีกบ้าง

สามารถติดตาม The Ginkz ได้ตามอีเว้นต์ต่างๆเลยครับ ล่าสุดได้ไปแสดงสดที่ร้าน Parking Toys ตรงเกษตรนวมิทร์มา เป็นอีเว้นต์การกุศลระดมทุนเพื่อช่วยเหลือพี่เขียด ซึ่งเป็นโปรดิวเซอร์ท่านหนึ่งที่ป่วยด้วยอาการทางสมองครับ ส่วนในช่วงสิ้นเดือนหน้าพวกเราจะไปทัวร์ปักษ์ไต้ในงานงาน ‘Wilderer South Tour’ กับพี่ๆคณะ Brand New Sunset และวงเพื่อนๆ อีกเพียบ (ยิ้ม)

 

Q. เคยมีโอกาสไปแสดงดนตรีในต่างประเทศบ้างไหม

ยังไม่มีเลยครับ แต่เคยมีโอกาสเล่นเปิดให้กับวงดนตรีอินดี้จากเดนมาร์กอย่างวง Ice Age และล่าสุดก็มีวงไต้ดินจากออสเตรเลียชื่อ Sincerely, Grizzly ครับ ก็หวังไว้ว่าสักวันหนึ่งว่าเพลงของวง The Ginkz จะเข้าถึงชาวต่างชาติมากขึ้น เพราะเคยมีโอกาสได้รับฟีดแบกบางส่วนจากคนต่างชาติที่เคยฟังเพลงเรา แม้จะไม่เข้าใจภาษาไทยแต่เขาก็ชอบดนตรี ชอบการแสดงออกที่บ่งบอกถึงตัวตนของวงครับ

 

Q. ได้ยินมาว่าชอบ Hello Kitty มาก

ใช่ครับ ชอบมากเลย เห็นอะไรที่เป็นคิตตีก็อยากซื้อไปหมด อยากบอกว่าสมัยเด็กๆนี่ไม่ชอบคิดตีเลยครับ เพราะเพื่อนชอบล้อผม ชื่อผมคือ Kritthee ใช่ไหมครับแล้วเสียงมันพ้องกับคำว่า Kitty พอเพื่อนเห็นเราก็จะทักว่า Hello Kitty ตลอดเลย ก็จะรู้สึกไม่ชอบเพราะเราเป็นเด็กผู้ชาย แล้วอีกอย่างหนึ่ง เวลานึกถึงคิตตีก็จะนึกถึงเด็กผู้หญิง คาแรคเตอร์แมวผูกโบ

ผมเกลียดคิตตีมาตลอดชีวิต จนอายุได้ประมาณยี่สิบกลางๆ อยู่ดีๆ ทัศนคติมันก็เปลี่ยนไป อาจจะด้วยระยะเวลาหรือประสบการณ์ที่ผ่านเข้ามาด้วยส่วนหนึ่ง อย่างเมื่อก่อนผมเป็นคนฟังเพลงทำนองหนักหน่วงมาตลอด แต่ระยะหลังเริ่มเปิดรับอะไรมากขึ้น ทำให้ฟังหลากหลายขึ้น คิตตีเองก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่ผมเริ่มเปิดรับ ด้วยเช่นกัน เหมือนเราสร้างสมดุลให้ชีวิต พอเห็นคิตตีก็เลยรู้สึกชอบ รู้สึกว่ามันน่ารักดี แถมไหนๆก็ยังชื่อใกล้เคียงกันอยู่แล้ว ก็เลยหันมาชอบมันเลยครับ

คิตตียังช่วยเบรกความหนักหน่วงจากงานของผมได้ด้วย ที่หลายคนเห็นผมสักตามตัวมากมายขนาดนี้ สนุกสุดเหวี่ยงบนเวที แต่ในอีกมุมหนึ่งผมก็มีความอ่อนโยนและอ่อนไหวง่ายเช่นกันครับ

 

 

Q. ชอบถึงขั้นสะสมเป็นคอลเลคชั่นด้วยไหม

เรียกว่ามีมุมคอลเลคชั่นเล็กๆ ของคิตตีในห้องดีกว่าครับ ที่ห้องก็จะมีตุ๊กตาคิตตีตัวใหญ่ มีด นาฬิกา เสื้อ เคสโทรศัพท์ หรืออะไรที่รู้สึกชอบก็จะซื้อมาเก็บไว้

ถึงผมจะเป็นนักสะสมคนหนึ่งที่ชอบคิตตีมาก แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นศึกษารายละเอียดที่ลึกลงไปขนาดนั้น คิดว่าถ้ามีโอกาสไปญี่ปุ่นก็อยากจะลองไปถิ่นของ Hello Kitty ดูสักครั้งครับ เคยคิดจะลองสักลายคิตตีด้วยนะ

 

Q. คิดว่าคิตตี้เป็นแมวไหม

ถ้าตามที่ซานริโอบอก คิตตีคือเด็กผู้หญิงคนหนึ่งครับ ส่วนตัวผมหรือใครที่เติบโตมากับ Hello Kitty ก็จะยอมรับเขาในฐานะแมวน่ารักตัวหนึ่ง

 

Q. ช่วยฝากผลงานหน่อย

ฝากติดตาม The Ginkz บน Facebook https://www.facebook.com/theginkz/ กับ ค่าย https://www.facebook.com/BatteryMusic/ ด้วยนะครับ ปลายปีนี้จะออกอัลบัมเต็มเป็นอัลบัมแรก แต่สำหรับใครที่สนใจก็สามารถไปฟังบน youtube ได้เลยครับ

 

 

LIKE & SHARE

ชอบเรื่องนี้จนต้องบอกต่อ