ภาพที่เรารักบางทีอาจไม่มีความหมายสำคัญอะไรกับใครอื่น และภาพนี้ก็อาจจะเป็นอีกภาพที่เป็นเช่นนั้น

 

 

ฉันถ่ายภาพนี้ที่เกาะมิยาจิมะ (Miyajima) ในจังหวัดฮิโรชิม่า (Hiroshima) ระหว่างกำลังเดินทอดน่องในยามเช้า สำหรับใครหลายคนเมื่อเอ่ยถึงมิยาจิมะก็จะอดนึกถึงศาลเจ้าอิสึกุชิมะ (Itsukushima Shrine) กับประตูโทริอิสีแดงสดไม่ได้ใช่ไหม โดยเฉพาะกับคนชอบถ่ายภาพด้วยแล้ว นี่น่าจะเป็นซิกเนเจอร์ช็อตของการเก็บบันทึกภาพที่มิยาจิมะเลยก็ว่าได้ ซึ่งฉันเองก็เป็นอีกคนที่เดินทางไปถึงมิยาจิมะเพื่อสำรวจและเก็บบันทึกภาพศาลเจ้ากับเสาประตูเอาไว้เหมือนกัน

ประตูโทริอิสูง 16 เมตร ตั้งสวยสง่าอยู่ริมทะเล ทักทายผู้คนทั้งในยามกลางวันและกลางคืน เมื่อน้ำขึ้นประตูจะถูกล้อมรอบด้วยผืนน้ำ เห็นเป็นทิวทัศน์ชวนพิศวง และในขณะที่น้ำลง เราจะสามารถไปเดินชมรอบๆ เสาประตูแบบใกล้ชิดได้ด้วย ศาลเจ้าอิสึกุชิมะเป็นมรดกโลกชิ้นสำคัญและเป็นที่รักที่ศรัทธาของชาวญี่ปุ่นและผู้คนที่มาเยือน ในวันที่เดินทางไปถึง ฉันบังเอิญได้เห็นพิธีแต่งงานจัดขึ้นที่นั่น คู่บ่าวสาวถูกรายล้อมด้วยญาติมิตร มีเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ในชุดกิโมโนยืนทำหน้าทะเล้นอยู่ข้างๆ บรรยากาศในศาลเจ้าทั้งอบอุ่นและเปิดกว้าง เมื่อเห็นฉันยกกล้องขึ้น บ่าวสาวก็ส่งยิ้มกลับมา (จริงๆ เจ้าบ่าวแลบลิ้นให้กล้องด้วย ฮ่าๆ) ทำให้เราในฐานะนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติรู้สึกถึงการต้อนรับแบบน่ารักเป็นกันเองของเจ้าบ้านชาวญี่ปุ่น

สำหรับฉันแล้ว ทั้งหมดนั่นคือความประทับใจและเป็นไฮไลท์ของมิยาจิมะที่ยากจะปฏิเสธได้แต่ที่น่าแปลกใจก็คือ ภาพที่ฉันรักที่สุดจากมิยาจิมะกลับเป็นภาพคู่รักในชุดสีพาสเทลภาพนี้ มันเป็นภาพถ่ายคู่รักธรรมดาๆ ที่ถ่ายได้จากซอยเล็กๆ ในโซนที่อยู่อาศัยใกล้เขตศาลเจ้า ในตอนนั้นตรงช่องว่างระหว่างซอยมีละอองเกสรของต้นอะไรบางอย่างพัดปลิวเข้ามา ความรู้สึกนวลๆ ลอยๆ ปลิวว่อนอยู่ในความจริงที่มีหน้าตาคล้ายความฝัน ฉันรักช่วงเวลาแบบนั้นและสิ่งที่ได้เห็น เลยยกกล้องขึ้นถ่ายภาพ ชายหญิงคู่นี้เป็นบุคคลในเฟรมที่ตกเป็นพยานของช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อ หากต้องสารภาพกันตามตรง ภาพนี้เหมือนจะโฟกัสอะไรไม่ได้เลย นอกจากความรู้สึกที่มีอยู่ในโมเมนต์นั้นเท่านั้น

ภาพนี้คงไม่ได้สมบูรณ์แบบที่สุด แต่ฉันรักภาพนี้พอๆ กับความรู้สึกของการที่ได้เดินออกนอกบ้านไปถ่ายภาพ เพื่อนๆ ที่ชอบเดินเล่นถ่ายรูปไปเรื่อยๆ คงเข้าใจดี คือเราไม่มีทางรู้ล่วงหน้าหรอกว่าเราจะได้ภาพอะไรกลับมา แต่สิ่งที่ทำให้เรารู้สึกรื่นรมย์คือการเดินออกไปเพื่อพบเจอสิ่งที่เราคาดไม่ถึง และบางความรู้สึกในการเลือกกดชัตเตอร์ถ่ายภาพแต่ละช็อต ก็สอนให้เราได้รู้จักตัวเองมากขึ้นอีกทีละนิด บางทีเราอาจจะชอบภาพชีวิตของคู่รักเดินถนนธรรมดาๆ มากกว่าภาพคู่รักในงานแต่งงานอันแสนสุขก็เป็นได้ และความธรรมดาหรือสิ่งที่ธรรมชาติให้มาอาจเป็นของขวัญที่ดีพอแล้วสำหรับเรา

บางทีภาพที่เรารักที่สุด อาจไม่ได้เกิดขึ้นในที่ที่ทุกคนบอกว่าดีที่สุด
ภาพที่เรารัก อาจไม่ใช่ภาพที่เราคาดหวังไว้ตั้งแต่แรกด้วยซ้ำไป

ช็อตที่พิเศษที่สุดสำหรับเรา อาจถ่ายได้จากสถานที่ที่ไม่เคยมีใครเอ่ยถึง หรือไม่มีไกด์บุ๊กหรือรีวิวใดๆ รองรับ ภาพที่ฉันรักเป็นมิยาจิมะในแบบที่ไม่มีอะไรบ่งบอกว่าเป็นมิยาจิมะอย่างที่เหล่านักเดินทางทั่วโลกกล่าวขานถึงในอินเทอร์เน็ต มันอาจดูธรรมดาเสียจนง่ายที่จะหลงลืม แต่ก็ทำให้รู้สึกพิเศษจนยากเกินกว่าจะมองข้าม

Gather ye rosebuds while ye may,
Old Time is still a-flying;
And this same flower that smiles today
Tomorrow will be dying.

ฉันนึกถึงกวีบทนี้ของ Robert Herrick ที่ปรากฏภาพยนตร์เรื่อง Dead Poets Society ภาพยนตร์ที่ทำให้เรารักวลี ‘Seize the day’ วลีที่สอนเราให้รู้จักคว้าวันเวลาเอาไว้ในยามที่ยังทำได้

‘ถ้าเจอโมเมนต์ที่เรารัก ขอให้คว้าเอาไว้’ สำหรับคนที่ถือกล้องอยู่ในมือ ฉันอยากบอกคุณเท่านี้ และถ้าจะให้ดีอย่าเพิ่งรีบเก็บกล้องหลังจากเที่ยวในจุดไฮไลท์เสร็จ เพราะภาพที่คุณรักจริงๆ อาจเกิดขึ้นในพิกัดไม่ใกล้ไม่ไกลข้างๆ กันนี่เอง

 

LIKE & SHARE

ชอบเรื่องนี้จนต้องบอกต่อ