Hakodate in 3 days : เติมรอยยิ้มแต้มความสดใสไปกับหิมะขาวที่ฮาโกดาเตะ
ไปเที่ยวฮาโกดาเตะ (Hakodate) กัน!
อยู่โตเกียวก็ขึ้นเหนือไปเที่ยวฮอกไกโดกันได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องจองตั๋วเครื่องบินให้ยุ่งยาก เราจะเปิดทริปฮาโกดาเตะ (Hakodate) ฮอกไกโดตอนใต้นี้ด้วยรถไฟชินคันเซ็นจากโตเกียว ซึ่งรวมอยู่ในบัตรโดยสารสุดคุ้ม “JR East-South Hokkaido Rail Pass” ที่เราอยากแนะนำถึงความสะดวกสบายและคุ้มค่ากับเงินที่ต้องจ่ายไปเป็นที่สุด
จริงๆ แล้วบัตรโดยสารนี้ใช้ได้ครอบคลุมแถบฮอนชูตะวันออกจนถึงแถบฮอกไกโดตอนใต้ ก็คือบัตรเดียวเที่ยวตั้งแต่โตเกียวขึ้นไป หรือจะแวะเที่ยวจังหวัดในภูมิภาคโทโฮคุสักวันสองวันก็ยังได้ เพราะสามารถใช้โดยสารทั้ง Shinkansen, Limited Express, Rapid Train และ Local Train ได้ไม่จำกัดเที่ยวถึง 6 วัน ถ้าลองเทียบกับการโดยสารเครื่องบิน ที่เที่ยวบินน้อย รวมถึงระยะเวลาของเที่ยวบินไม่ต่างกันมาก นี่ยังไม่รวมขั้นตอนตั้งแต่การเดินทางไปสนามบิน รอเช็คอิน รอกระเป๋าอีกนะ ที่สำคัญได้เพลิดเพลินกับวิวสวยๆ ตลอดทาง ต้องแบบนี้สิถึงจะเรียกว่าโคตรคุ้ม
แต่สำหรับทริปนี้เราเลือกเมืองฮาโกดาเตะเป็นจุดหมาย เวลาราวๆ 4 ชั่วโมงบนรถไฟถ้าเทียบกับวิวอันแสนงดงามระหว่างทางแล้วก็ไม่รู้สึกว่ายาวนานเลยสักนิดขอเตือนไว้หน่อยว่ารถไฟชินคันเซ็นไปฮอกไกโดเป็นแบบจองที่นั่งทั้งขบวนนะ อย่าลืมจองล่วงหน้ามาก่อน และเราอยากแนะนำให้จองที่นั่งริมหน้าต่างกันดู แล้วจะรู้ว่าสวยจนหุบยิ้มไม่ได้มันเป็นยังไง
กดที่นี่เพื่อซื้อบัตรโดยสารรถไฟ JR East-South Hokkaido Rail Pass
Info
JR East-South Hokkaido Rail Pass
Ticket Price:
ซื้อภายในประเทศญี่ปุ่น 27,000 เยน (ผู้ใหญ่ 12 ปีขึ้นไป) / 13,500 เยน (เด็ก 6-12 ปี)
ซื้อนอกประเทศญี่ปุ่น 26,000 เยน (ผู้ใหญ่ 12 ปีขึ้นไป) / 13,000 เยน (เด็ก 6-12 ปี)
Period: 6 วันแบบยืดหยุ่นได้ (เลือกเดินทางวันใดก็ได้ 6 วัน ภายในระยะเวลา 14 วันนับตั้งแต่วันแลกรับตั๋ว)
Website: http://www.jreasthokkaido.com/e/
Smile, Eat, Repeat Hakodate!
ฮอกไกโดเป็นแดนในฝันที่มีทุกอย่างที่ชาวไทยเราถวิลหา ทั้งอาหารทะเลสดๆ ราเมนรสอร่อย ขนมหวานที่ทำจากนมเนยเนื้อเนียนในท้องถิ่น หิมะขาวกับอากาศหนาวเย็น นอกเหนือจุดร่วมที่ดีงามเหล่านั้น ฮาโกดาเตะยังแตกต่างจากซัปโปโรและเมืองอื่นๆ ตรงที่มีความโรแมนติกของเมืองท่าริมทะเล ความวินเทจของรถราง ความสะดวกของการเดินทางท่องเที่ยวด้วยรถบัส และวิวทิวทัศน์ที่ผสมผสานทั้งตะวันตกและตะวันออกไว้อย่างกลมกลืน
จะดูให้เก่าก็ได้ จะว่าใหม่ก็ไม่ติด แต่คิดว่าทุกคนควรต้องแวะมาเที่ยวที่นี่สักครั้งนะ เพราะท่ามกลางอากาศหนาว เวลาของเราที่นี่ไหลเอื่อยๆ อย่างเพลิดเพลินและอบอุ่นเลยล่ะ
Day 1 |
Tokyo⇨ Hakodate ⇨Lucky Pierrot ⇨ Hakodate Bay Area ⇨Ajisai Ramen ⇨Mt.Hakodate
เย้! มีรถชินคันเซ็นวิ่งไปถึงฮาโกดาเตะแล้ว
เราไม่ต้องตื่นเช้ามากนัก ลากกระเป๋าเดินฉับๆ ไปจับรถชินคันเซ็นฮายาบุสะรอบ 8:20 น. และหย่อนตัวลงเก้าอี้ริมหน้าต่างที่จองไว้ (รถไฟไปฮอกไกโดเป็นแบบจองที่นั่งทั้งขบวนนะ) วิวที่ค่อยๆ เปลี่ยนไปจากตึกสูง ชุมชนเมือง สู่ชนบท และภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยสีขาวโพลน ชวนให้นั่งมองได้เรื่อยๆ ยิ่งถ้าจองฝั่งแถว 2 ที่นั่งทัน น่าจะยิ่งฟิน เพราะจะชมธรรมชาติได้อย่างใกล้ชิดไม่ติดรางรถไฟที่อยู่ขนานกัน ไฮไลต์อยู่ที่อุโมงค์ลอดทะเลความยาว 53 กม. แม้จะมองไม่เห็นอะไรภายนอกหน้าต่างเลย แต่ก็อดตื่นเต้นไปกับเทคโนโลยีการก่อสร้างไม่ได้
“Welcome to Hokkaido” เสียงประกาศดังขึ้นหลังความมืดมิดผ่านพ้นไป
12:22 น.ความหนาวและความขาวยืนยันว่าเราเดินทางมาถึงฮาโกดาเตะเรียบร้อย
นั่งรถไฟจากชินฮาโกดาเตะโฮคุโตะ (Shin Hakodate Hokuto) มาลงที่สถานีฮาโกดาเตะ เราพุ่งตัวเอากระเป๋าไปฝากไว้ที่โรงแรมก่อนเลย เพราะ Hakodate Danshaku Club Hotel & Resorts อยู่ห่างจากสถานีรถไฟเพียงแค่ 7 นาที แม้ตอนเดินผ่านตลาดเช้า จะเห็นร้านข้าวหน้าอาหารทะเลสดๆ มากมาย แต่ขออดใจไว้ก่อน ข้ามถนนอีกบล็อกไปกิน “เบอร์เกอร์ไก่สไตล์จีน” ที่ร้าน Lucky Pierrot อาหารขึ้นชื่ออีกอย่างของฮาโกดาเตะ
เบอร์เกอร์ไก่ทอดกรอบนอกนุ่มในใส่น้ำซอสรสเข้มข้นนี้เด็ดจริง สมศักดิ์ศรีรางวัลชนะเลิศร้านเบอร์เกอร์ท้องถิ่นญี่ปุ่นยอดเยี่ยมที่สามารถชิงพื้นที่อาหารทะเลมาขึ้นแท่นอาหารดังประจำเมืองอีกอย่างได้ ไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟของที่นี่ก็เข้มข้นควรลอง นอกจากอาหารรสเลิศ การตกแต่งก็เยี่ยม บ้างก็ยกให้ร้านนี้เป็น 1 ในแลนด์มาร์คที่ต้องมาถ่ายรูปเลยทีเดียว เพราะ Lucky Pierrot เตะตาทุกคนด้วยการตกแต่งอันสดใสสไตล์ More is More ทั้งภายในและภายนอก Lucky Pierrot เปิดกิจการมาตั้งแต่ปี 1987 ตอนนี้มี 17 สาขาทั่วเมืองซึ่งทางเจ้าของไม่คิดจะขยายไปที่อื่นด้วย Exclusive เฉพาะเมืองฮาโกดาเตะสุดๆ
ท้องอิ่มแล้วขอไปเดินย่อยแถวย่านริมอ่าว นั่งรถรางมาลงที่สถานีอุโออิจิบะโดริ (Uoichiba-dori)
ท่าเรือฮาโกดาเตะเป็นหนึ่งในท่าเรือแรกๆ ของญี่ปุ่นที่เปิดช่องทางการค้ากับต่างประเทศในสมัยก่อน สมัยนั้นการค้าในย่านนี้คึกคักไม่แพ้ปัจจุบัน แม้จะเปลี่ยนจากธุรกิจขนส่งระหว่างประเทศเป็นห้างร้านค้าสำหรับนักท่องเที่ยว โกดังผนังอิฐสีแดงที่เรียงตัวสวยเด่นเป็นสัญลักษณ์ของเมืองอยู่ริมทะเลคือ คาเนะโมริเรดบริกแวร์เฮ้าส์ (Kanemori Red Brick Warehouse) อดีตโกดังพาณิชย์แห่งแรกของฮาโกดาเตะที่ผันตัวมาเป็นศูนย์รวมสินค้าหลายรูปแบบและขนมหลากชนิด สายช็อปรับรองอยู่ละลายทรัพย์แถวนี้ได้ทั้งวัน ที่สำคัญร้านดังๆ ทั้งร้านอาหาร ร้านขนม ร้านของฝากล้วนมาเปิดสาขาที่นี่ด้วยกันทั้งนั้น ใครเวลาน้อยจอดที่นี่ได้ครบม้วนเดียวจบ
กะมาเดินชมวิวอ่าวย่อยอาหารกลางวันสักหน่อย พอเจอขนมหวานละลานตาก็อดใจอ่อนไม่ได้ จัดไอศกรีมเจลาโต้เจ้าดัง Milkissimo ต่อด้วยชีสเค้กเนื้อซูเฟล่เนียนนุ่ม Petite Merveille ซะเลย และก่อนกลับไม่ลืมซื้อ Snaffle’s เซ็ตเล็กกลับไปกินต่อที่โรงแรม เพื่อความสบายใจ
ถ้าไม่จุใจเดินไปช็อปต่อได้ที่ฮาโกดาเตะเมจิคัง (Hakodate Meiji kan) อดีตไปรษณีย์เก่าที่ผันตัวมาเป็นอาคารพาณิชย์ แต่เราเดินถ่ายรูป ช็อปปิ้งจนหมดแรงแล้ว ขอแวะไปเติมพลังด้วยราเมนน้ำซุปเกลือที่ร้านอาจิไซ (Ajisai) ดีกว่า เพราะว่าพูดถึงราเมงฮาโกดาเตะ ต้องลองชิมซุปเกลืออันเรียบง่ายแต่หอมอร่อย
ราเมนน้ำดำ ราเมนซุปเกลือใส่หมึกของปลาหมึกและน้ำมันเข้มข้นสูตรพิเศษของทางร้าน
กินของเด็ดชิมของดังแล้วต้องปิดท้ายวันด้วยการดูของดี
วิวยามค่ำคืนของเมืองฮาโกดาเตะเป็นที่เลื่องชื่อว่าสวยติดท็อปทรีของโลก แถมยังได้ดาวมิชลินสามดวงจาก Michelin Green Guide Japan ด้วย ขอบอกเลยว่าภาพทะเลขนาบแผ่นดินที่มีไฟส่องประกายระยิบระยับสวยแจ่ม สวยจริง ควรขึ้นไปดูสักครั้ง วิวที่มองจากเคเบิลคาร์ตอนขึ้นลงก็โรแมนติกดี การเดินทางแสนสะดวก จะนั่งรถบัสไปลงหน้าสถานีโรปเวย์เลยก็ได้ หรือจะเดินจากสถานีรถรางจูจิไก (Jujigai) ก็ใกล้นิดเดียว
ก่อนกลับโรงแรม เดินไปดูไฟอิลลูมิเนชั่นที่ถนนบล็อกติดกันเติมความระยิบระยับชวนฝันก็ทำให้เป็นวันที่หวานละมุนดีนะ
Day 2 |
Morning Market ⇨Motomachi ⇨Gotoken⇨Transistor Cafe ⇨Hakodate Tropical Botanical Garden ⇨Yunokawa Hot Spring⇨ Daimon Yokocho
จองโรงแรมที่อยู่ติดกับตลาดเช้าทั้งที วันนี้แหละ จะกินให้เต็มที่
ตลาดของทะเลแห่งนี้เปิดตั้งแต่ 6:00-14:00 น.ใครใคร่ตื่นตอนไหนก็แวะมาได้ตามสะดวก เราชอบที่แม้เป็นตลาดของสดแต่สะอาดสะอ้านน่าเดิน ถ้าอยากมาตกหมึกขอให้มาไวหน่อยเพราะขายหมดเร็วมาก แต่ถึงพลาดไปก็ยังมีอาหารทะเลให้ซื้อกินหรือเอากลับบ้านมากมายทั้งแบบแปรรูปแล้วและแบบสดๆ หลายๆ ร้านพร้อมจะทำให้กินตรงนั้นเลย
เราแวะชิมซาชิมิแซลมอนที่คุณป้าเจ้าของร้านเชิญชวนว่าแม้จะยังดูแข็งๆ แต่อร่อยแน่นอน แม้ไม่มั่นใจแต่คิดว่าเป็นโอกาสดีที่จะได้ลองทานซาชิมิแบบชาวไอนุที่เรียกว่า “รุยเบะ” ซึ่งเป็นการนำอาหารทะเลแช่แข็งมาสไลซ์กินกับโชยุ จุดเด่นอยู่ที่เท็กซ์เจอร์กึ่งแช่แข็งที่ละลายได้รสปลาในปาก
ถ้าต้องการจัดหนัก ลองข้าวโปะด้วยของทะเลสดๆ เดินไปดงบุริ โยะโคโจ (Donburi Yokocho) ที่อยู่ติดกันได้เลย มีร้านไคเซ็นด้งเรียงรายให้เลือกเยอะมาก เมนูก็หลากหลาย จับคู่ของสดที่ชอบได้ตามใจ ส่วนคนที่ไม่ทานของดิบก็มีเมนูปลาย่างต่างๆ ให้เลือกเช่นกัน
ก่อนออกไปเดินเที่ยวต่อ เราอยากแนะนำให้กินซอฟต์ครีมเนื้อเนียนรสเข้มข้น ที่แอบมีความท้าทายคือราคาเพียง 350 เยน แต่คุณจะกดไอติมให้สูงเท่าไหร่ก็ได้แล้วแต่ความสามารถ! สนุกด้วย แถมอร่อยแน่นรสนม เสร็จจากของหวานจบมื้อเช้าด้วยกาแฟดริปหอมๆ ในตลาด ถือเป็นการเริ่มต้นวันที่งดงาม
เรานั่งรถรางจากหน้าสถานีฮาโกดาเตะมาลงที่สุเอะฮิโระโจ (Suehiro-cho) เพื่อเดินชมแลนด์มาร์คชื่อดังอีกแห่งของเมืองฮาโกดาเตะคืออาคารสไตล์ตะวันตกย่านโมโตมาจิ (Motomachi)
สถาปัตยกรรมแถวนี้มีคุณค่าทั้งทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ส่วนมากเคยเป็นโบสถ์หรือบ้านพักของชาวต่างชาติที่มาทำงานที่นี่ เช่น โบสถ์โรมันคาทอลิกโมโตมาจิ (Motomachi Roman Catholic Church), โบสถ์ออร์ทอดอกซ์ฮาโกดาเตะ (Hakodate Orthodox Church),โบสถ์อิพิสโคพัลฮาโกดาเตะแห่งญี่ปุ่น (Hakodate Episcopal Church) หรือแม้แต่ศูนย์ให้ข้อมูลการท่องเที่ยวซึ่งเคยเป็นสำนักงานย่อยของรัฐบาลฮอกไกโดยังสวยเสียจนต้องแวะ
น่าเสียดายที่ตอนนี้ศาลาประชาคมเก่าของฮาโกดาเตะ (Old Hakodate Public hall) ปิดปรับปรุงครั้งใหญ่จนถึงปี 2021 แต่ไม่เป็นไรอดีตสถานกงสุลอังกฤษประจำฮาโกดาเตะ (Old British Consulate) ก็น่าสนใจ เพราะมีทั้งคาเฟ่จิบชาเก๋ๆ ที่มีสวนกุหลาบให้ชมในฤดูใบไม้ผลิและร้านของของกระจุกกระจิกน่ารักอยู่ด้านใน
ความน่ารักอีกอย่างของย่านนี้คือทางลาดชันที่ทอดตัวลงไปทางท่าเรือ ที่ทำให้เราได้ชมวิวสโลปสวยไปอีกแบบ ฮาจิมังซากะ (Hachiman-zaka) คือสโลปดังตัวแทนกลุ่มที่ลงตัวสุดเพราะถนนกว้างเห็นวิวโอ่อ่าที่รับกันระหว่างท้องถนน, ท้องทะเล และบ้านเรือนเรียงรายตามความลาดชัน ถ้าเดินมาถึงแล้วจะรู้สึกคุ้นตาบ้างก็ไม่แปลก เพราะโลเคชั่นนี้ผ่านการถ่ายโฆษณา ละครภาพยนตร์ และโปสเตอร์มานับไม่ถ้วน
อิ่มเอมไปกับคุณค่าเชิงประวัติศาสตร์แล้ว ถึงเวลาเติมคุณค่าทางอาหารและโภชนาการที่ร้านโกะโทเค็ง (Gotoken)
วันนี้เราเลือกกินข้าวแกงกะหรี่แบบคอร์สเก๋ๆ เมนูขึ้นชื่อของที่นี่ ใครชอบอาหารตะวันตกสไตล์ญี่ปุ่นน่าจะชอบร้านนี้เลย เพราะนอกจากแกงกะหรี่รสกลมกล่อม เขาออกตัวว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้าน Japanized Western Food ด้วย คอนเฟิร์มโดยประสบการณ์ที่ทำอาหารฝรั่งเศสและรัสเซียเสิร์ฟชาวญี่ปุ่นมาหลายยุคสมัย ในอาคารเก่าแก่กว่าร้อยปีที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นสมบัติทางวัฒนธรรมแห่งชาตินี้มีร้านขายขนมอบและงานศิลปะต่างๆ ให้เดินชมด้วยนะ
ส่วนพาร์เฟ่ต์ร้าน Transistor Cafe คือความลงตัวที่ทำให้เราเริ่มต้นยามบ่ายอย่างสดใส บรรยากาศร้านอบอุ่นด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้และแสงไฟสีอมส้ม เราสั่งสตรอว์เบอร์รี่มิลค์พาร์เฟ่ต์ ความเปรี้ยวของผลไม้, ความหวานของแผ่นไวท์ช็อกโกแลตกับไอศกรีมและความนวลนมของครีมสดเข้ากันได้ดีมากๆ (ใครสนใจลองเช็ควันเวลาเปิด-ปิดจาก IG ก่อนนะ ขนมหวานบางเมนูขายหมดไว ควรจองล่วงหน้า)
นั่งรถรางยาวๆ ไปจนสุดสาย เพื่อแวะชมย่านยุโนะคาวะกันดีกว่า
เดินประมาณ 15 นาทีจะเห็นเรือนกระจกทรงพีระมิดเป็นสัญญาณบอกว่ามาถึงสวนพฤกษศาสตร์เขตร้อนฮาโกดาเตะ (Hakodate Tropical Botanical Garden) แล้ว สวนนี้ราคามิตรภาพมาก ค่าเข้าชมเพียง 400 เยนและถ้านั่งบัสมาก็ลงป้ายเนตไตโชคุบุทซึเอ็นมาเอะ (Nettai Shokubutsuen-mae) ได้เลย
ส่วนเป้าหมายหลักของเราในวันนี้คือ “ฝูงพี่ลิงแช่ออนเซ็น”
ลิงป่าญี่ปุ่นตัวน้อยใหญ่กระจายตัวกันแช่น้ำร้อนตามมุมโปรดคือวิวสุดพิเศษที่เราหาดูได้เฉพาะช่วงฤดูหนาวเท่านั้น ตัวไหนที่แช่เบื่อแล้วก็ขึ้นไปปีนป่ายสะพานบ้าง แต่ไม่ช้าก็เร็ว ก็กลับมาหย่อนตัวลงบ่อน้ำร้อน ทำหน้าชิลล์ให้เราอิจฉา อยู่กลางแจ้งนานๆ ถ้าเริ่มหนาว เราจะเดินไปแช่ออนเซ็นเท้าบ้างก็ได้ หรือจะเข้าไปชมพรรณไม้กว่า 300 ชนิดในเรือนกระจกก็เพลิดเพลินอย่างอบอุ่นดี
ถัดมาไม่ไกล กิจกรรมที่เราฟินมากจริงๆ คือ “การแช่ออนเซ็นชมวิวทะเล”
ย่านยุโนะคาวะเป็นโซนรีสอร์ทน้ำพุร้อนที่มีเรียวกังให้เลือกหลายสไตล์ น้ำแร่ที่นี่โด่งดังเรื่องการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ เราตั้งใจไปที่โรงแรมยุโนะฮามะ (Yunohama Hotel) เพราะเปิดให้คนนอกเข้ามาแช่ออนเซ็นได้ ที่สำคัญมีออนเซ็นกลางแจ้งที่ติดริมหาด เห็นแดดสะท้อนทะเลสวย (ขอแนะนำให้ไปอาบน้ำและแช่ตัวในบ่อในตึกก่อน เพราะโซนกลางแจ้งไม่มีสบู่แชมพู ต้องเตรียมไปเองจ๊ะ)
*หมายเหตุ ขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้างเพื่อเสริมแรงต้านแผ่นดินไหว จึงปิดให้บริการจนถึงวันที่ 26 เมษายน โดยมีกำหนดการว่าจะเปิดให้บริการบางส่วนที่ก่อสร้างเสร็จแล้วตั้งแต่วันที่ 27 เมษายน นอกจากนี้ออนเซ็นกลางแจ้งจะเปิดบริการจนถึงวันที่ 11 สิงหาคมเท่านั้น หลังจากนั้นจะมีการย้ายที่ แต่ไม่ต้องเสียใจไป เพราะว่าที่ใหม่ก็จะยังเห็นวิวทะเลเหมือนที่เดิม
คลายความเหนื่อยล้าที่เดินสะสมมาหลายวันเสร็จแล้ว ถึงเวลากินอีกรอบ!
ไดมงโยะโคะโจ (Daimon Yokocho) อยู่ห่างจากสถานีฮาโกดาเตะเพียงแค่ 5 นาที เป็นตรอกเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยร้านอาหารอร่อยของดีของเมือง เช่น ซูชิ ซาชิมิ อาหารฝรั่งเศสที่ทำจากวัตถุดิบในท้องถิ่น คุชิคัตสึ เจงกิสข่าน ราเมน และอิซากายะ บรรยากาศบ้านๆ ร้านเล็กๆ เรียบง่ายที่เน้นรับแขกไม่เกิน 10 คน
สำหรับจานเด็ดที่อร่อยถูกใจที่สุดคือ เกี๊ยวซ่าสีดำที่ใส่หมึกของปลาหมึก จากร้านฮาโกดาเตะอิกะยะ (Hakodate Ikaya) แป้งเหนียวนุ่มกัดเข้าไปเจอไส้ร้อนๆ ที่มีน้ำซุปนิดหน่อย หอมอร่อยมากๆ อร่อยและขายดีจนต้องจำกัดให้สั่งโต๊ะละ 1 จานเท่านั้น เพราะเป็นของโฮมเมด ทำได้ครั้งละไม่มากจึงมีไม่พอขาย แต่ไม่เป็นไรเกี๊ยวซ่าไส้มันฝรั่งสีเหลืองทองก็อร่อยใช้ได้เชียวล่ะ
Day 3 |
Onuma Area ⇨Izakaya Kobushi ⇨Goryokaku Area ⇨Tokyo
มาเที่ยวฮาโกดาเตะช่วงฤดูหนาวทั้งที ต้องไปเล่นกับหิมะสักหน่อย แม้เราจะไม่ใช่สายสกีหรือสโนว์บอร์ดก็ไม่มีปัญหา
เดินจากสถานีเจอาร์โอนุมะโคเอ็น (JR Onuma Koen) ประมาณ 5 นาทีจะเจออุทยานแห่งชาติโอนุมะ (Onuma Quasi-National Park) ที่สวยแปลกตาไปอีกแบบเมื่อถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ แค่เดินชมวิวถ่ายรูปกับหิมะก็สนุกแล้ว ถ้านึกสนุกอยากปั้นตุ๊กตา ที่นี่ก็มีหิมะและพื้นที่ให้เพียงพอเกินความต้องการ กิจกรรมยอดฮิตที่เห็นชาวญี่ปุ่นหลายคนทำกันคือการนั่งตกปลา
ถ้าเดินไปแถวฮาคุโจไดเซบัตโตะ (Hakuchodai Sebatto) จะได้เห็นฝูงหงส์ขาวด้วย แต่เราขอเดินไปอีกทิศสู่โพโรโตะคัง (Poroto-kan) เพราะมีสโนว์โมบิล, เลื่อน และยางโดนัทให้ไถลเล่นกับหิมะเพลินๆ
สำหรับมื้อกลางวันแถวนี้ เราว่าควรลองเนื้อวัวโอนุมะ คุณป้าที่ศูนย์ให้ข้อมูลการท่องเที่ยวแนะนำให้เราไปลองกินที่ร้าน Izakaya Kobushi ชื่อร้านมีคำว่าอิซากายะก็จริงแต่ขายอาหารกลางวันด้วยราคามิตรภาพทีเดียว แถมลุงป้าเจ้าของร้านก็ใจดีมากๆ เราสั่งสเต๊กเนื้อกระทะร้อนพร้อมข้าวและซุปซึ่งอร่อยมาก ใครอยากกินเบากว่านี้ก็มีเมนูข้าวหน้าเนื้อ หรือโซบะทั่วๆ ไปด้วยนะ
คาวแล้วขอตบหวานด้วยไอศกรีมสีดำ (ที่ของจริงแลดูออกสีเทาๆ) เพราะใส่หมึกของปลาหมึก สีแปลกดี ไม่มีกลิ่นคาว และยังหวานเหมือนเดิม
เพียง 30 นาที รถไฟด่วนพาเรากลับมาเจอวิวเมืองของสถานีฮาโกดาเตะ เรานั่งรถรางมาลงที่โกเรียวคาคุโคเอ็นมาเอะ (Goryokakukoen-mae)
แวะซื้อกาแฟที่ร้าน Tailor Coffee ที่ชั้นใต้ดินของห้าง Share Star Hakodate ไว้จิบอุ่นๆ ระหว่างทางเดินไปยังโกเรียวคาคุทาวเวอร์ ซึ่งถ้าติดใจจะแวะซื้อเมล็ดกาแฟที่ร้านคั่วฝั่งตรงข้ามห้างก็ได้
โกเรียวคาคุทาวเวอร์เป็นอีกหนึ่งจุดชมวิวเมืองฮาโกดาเตะที่สวยมาก ณ ความสูง 90 เมตร เราสามารถชมวิวได้แบบพาโนรามา ค่อยๆ เดินดูบ้านเมือง พลางอ่านข้อมูลเชิงประวัติศาสตร์ที่สนุกและน่าสนใจไม่แพ้ความสดใสของท้องฟ้าและทะเล
ถ้าเดินลงมา 1 ชั้น จะเจอคาเฟ่เล็กๆ ที่ขายไอศกรีมนมแสนอร่อยและเครื่องดื่มอุ่นๆ ก่อนกลับอย่าลืมแวะไปเดินเล่นในสวนสาธารณะซึ่งมีสำนักงานปกครองฮาโกดาเตะ อาคารไม้สุดเท่ที่เพิ่งได้รับการบูรณะจนสวยเนี้ยบ ช่วงฤดูใบไม้ผลิที่นี่เป็นจุดชมซากุระที่พีคมากไม่แพ้วิวหิมะเลย
ในแง่ประวัติศาสตร์ ที่นี่ก็น่าสนใจไม่น้อย เพราะปราสาทและป้อมปราการรูปดาวนี้เป็นสิ่งก่อสร้างที่รัฐบาลโทกุงาวะสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นที่ทำการของรัฐในยุคที่ญี่ปุ่นเพิ่งถูกบังคับให้เปิดประเทศที่ต้องเจรจากับประเทศต่างๆ เพื่อป้องกันชายฝั่งทะเลและวางแผนการปกครอง จึงจำต้องหาทำเลที่เหมาะกับการป้องกันเมือง ส่วนดีไซน์ที่แปลกตานี้เป็นการเลียนแบบป้อมปราการสไตล์ยุโรปในยุคนั้น วิธีเล่าเรื่องการสร้างที่นี่ไปจนถึงสงครามฮาโกดาเตะที่ใช้ทั้งบนหอชมวิวและในสำนักงานปกครองฮาโกดาเตะ เช่น รูปการ์ตูน โมเดล วิดีโอ และเทคโนโลยีต่างๆ ทำให้เนื้อหาที่ดูหนักเข้าใจง่ายและไม่น่าเบื่อเลย
ดูวิว ชมธรรมชาติจนฉ่ำใจ ได้เวลากลับไปสแตนบายแถวสถานีรอกลับโตเกียว ถ้าอยากส่งท้ายให้สมกับการมาเที่ยวฮาโกดาเตะ แดนใต้แห่งเกาะฮอกไกโดซึ่งเป็นย่านที่เริ่มต้นทำฟาร์มนมวัวต่างๆ ก่อนใครเพื่อน (ร้านขนมชื่อดังหลายร้านจึงถือกำเนิดขึ้นแถวนี้ไงล่ะ!) เชิญแวะร้านขายขนมในสถานีฮาโกดาเตะที่รวมของดังไว้เกือบครบทุกยี่ห้อ ตุนของหวานได้ตามอัธยาศัย
เผลอแป๊บเดียวหมดเวลา 3 วันแล้ว ยังมีที่ที่อยากไปอีกอยู่เลย ขอบคุณฮาโกดาเตะที่สอนให้รู้ว่า ความหนาวเป็นเรื่องสนุก อิ่มจนจุกเป็นเรื่องธรรมชาติ
LUXURIOUS ATTENTION TO DETAILS: A LEAP TOWARDS BETTER STAY
at Hakodate Danshaku Club Hotel & Resorts
แค่ก้าวเข้ามาถือว่าการพักผ่อนได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
กล้าพูดได้เต็มปากว่าที่นี่เป็น 1 ในโรงแรมที่นำไปสู่การพักผ่อนที่หย่อนใจที่สุดตั้งแต่เคยพักมา
ภายนอกโรงแรมดูหรูหรา เมื่อเดินเข้ามาจะพบกับความเอาใจใส่ของพนักงานที่รอต้อนรับอยู่ที่ล็อบบี้อันโอ่โถงเราแอบปลื้มร้านขายของฝากด้วย แม้จะเล็กแต่ก็มีของเด็ดประจำเมืองไม่น้อย เมื่อเช็คอินเสร็จ เดินมาถึงห้องพัก เรารู้เลยว่าความประทับใจที่มีต่อ Hakodate Danshaku Club Hotel & Resorts เพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น
Roomy Comfy Stay
เปิดประตูห้องเข้ามา น้ำตาจะไหล ห้องกว้างมาก!
ด้วยความเคยชินกับห้องโรงแรมบิสสิเนสโฮเทลญี่ปุ่นที่ 20 ตร.ม. ถือว่าใหญ่แล้ว พอได้เจอห้องขนาดประมาณ 40 ตร.ม. (ซึ่งคือขนาดเล็กสุดของที่นี่) มีอ่างอาบน้ำระบบอัตโนมัติ โซฟาตัวเขื่อง ทีวีจอแบนขนาดใหญ่ ครัว และอุปกรณ์ครบครันพร้อมระเบียงแสนกว้างก็คิดได้ว่า การพักผ่อนที่แท้จริงมันเริ่มต้นที่ที่อยู่นี่แหละ
ในความกว้างขวาง มีความใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่จะทำให้การท่องเที่ยวของเรารื่นรมย์ขึ้น เช่น แท็บเล็ตกันน้ำสำหรับใช้ดูทีวีระหว่างแช่อ่างอาบน้ำ, ลำโพงบลูทูธสร้างความสุนทรีย์แบบมีมิติ, กาดริปกาแฟโดยเฉพาะและอุปกรณ์เครื่องหนังต่างๆ ที่เป็นผลงานของดีไซเนอร์ท้องถิ่น นอกจากนี้กาแฟและชาที่ใช้ก็เป็นการร่วมมือกันกับร้านดังในเมืองคิดสูตรพิเศษสำหรับแขกที่มาพัก ทำให้เราประหยัดเวลา ขีดฆ่าคาเฟ่ที่ต้องไปฮ็อปออกจากลิสต์ได้ไป 2 ที่เลยทีเดียว และแน่นอนว่า เตียงนุ่มนอนสบาย สัญญาน WiFi แข็งแรงดีมาก
Fabulous Breakfast
จุดเด่นที่ไม่พูดถึงไม่ได้คืออาหารเช้า
ที่นี่มีให้เราเลือกถึง 3 แบบคืออาหารเช้าสไตล์ตะวันตกที่มีครัวซองต์แสนอร่อยจัดเซ็ตใส่ตะกร้าโดยคาเฟ่ดัง, บัตรคูปองทานข้าวหน้าปลาดิบ หรือเซ็ตปลาย่างที่ร้านในตลาดเช้าซึ่งเป็นพันธมิตรกันและมีให้เลือกหลากหลาย โดยเราสามารถดูเมนูของแต่ละร้านได้จากเอกสารที่ทางโรงแรมเตรียมไว้ให้ในห้อง ตัวเลือกนี้เหมาะมากสำหรับวันที่เรากะไปเดินตลาดอยู่แล้ว และตัวเลือกสุดท้ายซึ่งเหมาะอย่างยิ่งสำหรับวันขี้เกียจคือนำตลาดปลามาไว้ที่ห้อง! วิธีการคือเราเลือกเมนูอาหารที่ต้องการจากร้านที่กำหนดไว้ล่วงหน้า และทางร้านจะนำมาเสิร์ฟให้ถึงที่ คนไม่ทานอาหารดิบไม่ต้องตกใจไป ทุกร้านมีเมนูอาหารสุกแล้วเตรียมไว้ด้วย
ชีวิตดีคือชีวิตที่ตื่นเช้ามามีอาหารอร่อยรออยู่
Great Location
ด้วยความที่ใกล้ทั้งรถไฟ, รถราง และรถบัสในระยะไม่เกิน 7 นาที ทำให้การท่องเที่ยวของเราสะดวกตั้งแต่วันแรกที่มาถึงยันวันกลับ ที่สำคัญเดิน 3 นาทีถึงตลาดเช้า ทำให้เราไม่ต้องฝืนกระชากวิญญาณขึ้นมาตั้งแต่ไก่โห่เพื่อมาให้ทันความคึกคัก และเดินอีกแค่ 10 นาทีก็ถึงย่านริมทะเลที่เต็มไปด้วยร้านค้าและร้านอาหารมากมาย เรียกได้ว่าถ้าไม่คิดอะไรมากก็ใช้ชีวิตวนเวียนอยู่แถวรอบๆ โรงแรมก็ได้ ตรงข้ามโรงแรมมีร้านสะดวกซื้อด้วย ขาดเหลืออะไร พุ่งไปได้ตลอดวัน
แต่สิ่งที่เราชอบมากที่สุดของที่ตั้งโรงแรมคือ ความสงบใจที่ได้จากการทอดสายตามองวิวจากระเบียงที่เห็นทั้งภูเขาและทะเลของฮาโกดาเตะ
Info
Hakodate Danshaku Club Hotel& Resorts
Website: danshaku-club.com
Book the hotel: กดที่นี่เพื่อจองโรงแรม
แผนที่การเดินทางใน Hakodate
แผนที่การเดินทาง Day 1 & Day 2
แผนที่การเดินทาง Day 2
แผนที่การเดินทาง Day 3
แผนที่การเดินทาง Day 3
โหลดไฟล์แผนที่ได้ที่นี่ KIJI HAKODATE MAP