โตเกียวเป็นเมืองที่อะไรๆ ก็ดูรวดเร็ว และหลายครั้งก็ดูวุ่นวาย การไปโตเกียวครั้งล่าสุด ฉันเจอทั้งฝนและคนในปริมาณมาก ด้วยความที่จุดมุ่งหมายหลักในการไปคือการไปทำงานถ่ายภาพ เวลาที่จะใช้แว่บไปเที่ยวส่วนตัวเลยแหว่งๆ วิ่นๆ อยู่สักหน่อย การย้ายตัวเองไปแต่ละจุดในเมืองเลยต้องทำเวลาและจำเป็นต้องซอยขายิก
เอาจริงมันก็เหนื่อยเหมือนกันนะที่ต้องเร่งและรีบในการเดินเที่ยว ดังนั้นถ้าเจอจังหวะดีๆ ที่จะเดินช้าได้ ฉันก็จะคว้าไว้เต็มก้าวเลย ถ้าคุณกำลังเดาอยู่ว่าฉันกำลังจะเล่าถึงอะไร ใช่แล้ว ที่ฉันจะเล่าต่อไปนี้คือช่วงเวลาที่แสนเชื่องช้าในมหานครโตเกียว มันคือบ่ายวันอังคารอันแสนสุขสงบในย่านนากาเมะกุโระ (Nakameguro) ที่ซึ่งมีร้านเล็กๆชื่อว่า ‘Waltz’ ตั้งอยู่
Waltz เป็นร้านเล็กๆ หน้าตาคล้ายบ้านแทรกตัวอยู่ในโซนที่อยู่อาศัย ใกล้กันในระยะเดินไม่กี่วินาทีมีแกลเลอรีขนาดจิ๋วเปิดให้บริการอยู่ด้วย ฉันเดินทางไปที่ร้านโดยรถไฟและเดินเท้าต่อไปอีกพักใหญ่ ต้องยอมรับว่าร้านค่อนข้างหายากและลึกลับ แต่ก็ทำให้รู้สึกสนุก โชคดีที่วันนั้นฝนไม่ตก การเดินเที่ยวเลยรื่นรมย์ขึ้น 150% ว่ากันตามจริง ความเฉื่อยในการเดินถือเป็นตัวเร่งความสุขอย่างหนึ่งของฉันเลย เพราะไม่มากก็น้อยมันทำให้ฉันรู้สึกว่าตัวเองกำลังเดินอยู่จริงๆ (ไม่ใช่กำลังเหาะ) และสะดวกที่จะหยุดถ่ายรูปตรงไหนเมื่อไหร่ก็ได้
วินาทีแรกๆ ที่เดินเข้าไปในร้าน นอกจากตาจะได้เห็นแผ่นเสียง ตลับเทปคาสเซตต์ เครื่องเล่นเทปเรียงตัวกันแน่นร้าน และหูได้ยินเสียงเพลงเปิดคลอในมวลความรู้สึกแล้ว จมูกก็ยังได้สัมผัสกลิ่นหอมจางๆ ในอากาศด้วย หลังจากปล่อยให้สมองคำนวณอยู่พักหนึ่ง ฉันก็สรุป (เอาเอง) ได้ว่ามันคือกลิ่นของความสะอาด! ซึ่งกลิ่นนี้ฉันไม่ค่อยจะได้เจอในร้านขายแผ่นเสียงทั่วไป เพราะของเก่าอย่างแผ่นเสียงมือสองมักมีกลิ่นอับที่ชวนให้รู้สึกไม่สบายจมูกมากกว่ากลิ่นหอมอ่อนๆ
โดยบุคลิกแล้ว Waltz เป็นร้านของคนสายแอนะล็อก (Analog) อย่างแท้จริง จะต่างไปก็ตรงที่ร้านนี้ดูจะเปิดโอกาสให้สาวๆ ได้มาใช้เวลาด้วยได้ง่ายขึ้น ความสว่าง สงบ ผ่อนคลาย และการจัดสรรพื้นที่แบบประณีตเรียบร้อยเป็นความน่ารักของที่นี่คุณซึโนดะ ทาโร หนุ่มเจ้าของร้านและภรรยาของเขาได้จัดหาต้นไม้เล็กๆ มาวางไว้ภายในร้านด้วยทำให้บรรยากาศดูสุขสมบูรณ์ยิ่งขึ้น นอกจากนี้ที่ Waltz ยังมีจำหน่ายนิตยสารเก่า แฮนด์บิล หนังสือเกี่ยวกับภาพยนตร์ และมีเครื่องเล่นเทปพร้อมหูฟังวางไว้ให้ผู้ที่แวะเวียนมาได้ทดลองกดฟังดนตรีผ่านกรรมวิธีแบบแอนะล็อกกัน
ในยุคที่การฟังเพลงและการอ่านแบบดิจิทัล (Digital) เป็นเรื่องแสนสะดวก การหย่อนหัวเข็มลงบนร่องแผ่นเสียง การกรอเทป และการพลิกหน้ากระดาษในหนังสือสักเล่มเพื่อลิ้มรสของช่วงเวลาที่รี่ไหลไปช้าๆ อาจกลายเป็นพฤติกรรมพิสดาร แม้ไม่ใช่คู่ตรงข้ามของความเร็ว แต่ความช้าที่เดินตีคู่วิถีชีวิตดิจิทัลมาแบบไม่สูสีในยุคนี้ได้กลายเป็นความแปลกประหลาดไปเสียแล้ว…จนพวกเราแทบลืมไปแล้วว่าในหลายจังหวะเวลาความช้าเปิดโอกาสให้เราทั้งรู้สึกดื่มด่ำและแสนสุขนั่นอาจเป็นเหตุผลเดียวกับคนที่ชอบปั่นจักรยานมากกว่านั่งรถไฟ ชอบนั่งรถไฟมากกว่าโดยสารเครื่องบินหรือมีความสุขกับการจีบใครบางคนอยู่หลายปีกว่าจะบอกรัก
และนั่นอาจเป็นเหตุผลเดียวกันกับวันที่ฉันชอบหยิบเลนส์มือหมุน (Manual Focus Lens) มาประกบหน้ากล้อง จริงอยู่ที่เลนส์แบบโฟกัสมืออาจจะให้ภาพไม่คมชัดสุดๆแถมยังต้องใช้เวลาในการปรับหาโฟกัสมากกว่าเลนส์อัตโนมัติ แต่ในวันพักผ่อนอันปราศจากการงาน ฉันกลับอยากพึ่งพาเลนส์มือหมุนมากกว่าเลนส์ประเภทเปรื่องปราดฉับไว ในความเห็นส่วนตัวฉันว่าเลนส์มือหมุนกับเลนส์ออโต้บางตัวเมื่อเปรียบเทียบที่ระยะภาพเดียวกันภาพผลลัพธ์นั้นแยกแยะให้ชัดได้ลำบาก เอาเป็นว่าฉันดูเองก็ยังจำไม่ค่อยได้ว่าภาพไหนใช้เลนส์อะไร แต่ถ้าพูดถึงความรู้สึกและความสนุกในการถ่ายภาพเลนส์มือหมุนชวนให้หัวใจสูบฉีดมากกว่า และประสาทสัมผัสตื่นตัวดีกว่า
ซึ่งนั่นเป็นความสุขอย่างหนึ่ง
ในวันที่การถ่ายภาพทำได้ทันใจคล้ายกะพริบตา ภาพบางภาพอยู่ในหัวใจเราเพียงเสี้ยววินาทีแล้วเราก็หลงลืมไป ในวันที่เหตุการณ์และถ้อยคำสามารถส่งผ่านสายไฟเบอร์ออฟติกไปถึงคนในอีกซีกโลกผู้คนจำนวนมากยังคงต้องการพบปะเจอะเจอเห็นหน้าเห็นตา และได้โอบกอดกันและกันในวันที่เสียงดนตรียังมีความหมายเช่นเคย แต่ถูกบีบอัดเป็นไฟล์ขนาดเล็กใครบางคนอยากจะขยายพื้นที่ให้ตัวโน้ตได้โลดแล่นในวิถีดั้งเดิมบนจานเสียงอยากสัมผัสบทเพลงผ่านตลับเทปปกกระดาษลายสวย ในวันที่โลกหมุนเร็วและเทคโนโลยีสามารถช่วยให้คนเราวิ่งไปได้ไกลกว่าวันแรกๆ ใครหลายคนเพียงปรารถนาจะเต้นรำอ้อยอิ่งเชื่องช้า
ที่พรรณนามาเหยียดยาวไม่ใช่เพราะฉันเห็นว่าความช้าเป็นแค่คำตอบเดียวหรอกนะ ฉันเพียงหวังว่าไม่ช้าก็เร็ว เราทุกคนจะเลือกเองได้ ในวันที่ต้องเร็วก็เร็ว และในวันที่ต้องช้าก็มีความช้าเป็นทางเลือก