STUDY HARD, PLAY HARDER

แล้วฉันก็ตกหลุมรักโรงเรียนอย่างหนักหน่วงมาก

โรงเรียนที่ว่าคือแคมปัสของมหาวิทยาลัยในเกียวโต ตอนที่แล้วเล่าถึงสระน้ำข้างสหกรณ์ของมหาวิทยาลัยใกล้กับตึกคณะนิติศาสตร์ อันเป็นที่นั่งดื่มกาแฟหยอดเหรียญราคาถูกสมฐานะนักเรียน และเป็นที่นั่งสูบบุหรี่คุยกันของทั้งอาจารย์และนักเรียน

นอกจากถนนหนทางอันร่มรื่นกว้างขวางจนกระทั่งตัวแคมปัสของมหาวิทยาลัยก็สามารถเป็น “สวนสาธารณะ” ได้ด้วยตัวของมันเอง ลานหน้าหอนาฬิกานั้น มีเด็กประถม เด็กมัธยมจากข้างนอกมาซ้อมเล่นสเก็ตบอร์ด ซ้อมเต้น ซ้อมการแสดงอะไรต่อมิอะไรได้ด้วยซ้ำ

อดคิดถึงพื้นที่แคมปัสของหลายๆ มหาวิทยาลัยเมืองไทยไม่ได้ ยิ่งเป็นมหาวิทยาลัยในต่างจังหวัด หรือแม้กระทั่ง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์รังสิต ที่ไม่ได้อัตคัดเรื่องความกว้างขวางของสถานที่ แต่แคมปัสกลับแห้งแล้ง ไร้ร่มเงา หันไปทางไหนก็มีแต่แดดร้อนเปรี้ยงๆ ไม่สามารถเดินเล่น นั่งเล่นได้เลย

แปลกใจเล็กน้อยว่า เกือบทุกมหาวิทยาลัยมีคณะสถาปัตยกรรม ทำไมไม่ใช้บุคลากรในคณะสถาปัตยกรรมของตนเอง มาทำภูมิทัศน์มหา’ลัยให้สวยงาม ร่มรื่น แข่งกันทำแลนด์สเคปของแคมปัสให้โลกลือ เป็นเกียรติเป็นศักดิ์ศรีแก่คณะสถาปัตยกรรมของมหาวิทยาลัยนั้นๆ ด้วย

ว้าย… กะว่าจะเขียนอะไร มุ้งมิ้ง น่ารัก จะมาแวะหงุดหงิดกับเรื่องประเทศไทยทำไม

พ้นจากการหลงใหลในแลนด์สเคปของแคมปัส (ซึ่งเมื่อเทียบกับมหา’ลัยอื่นๆ มีแต่คนประณามว่า อี๋ แคมปัสเกียวได ทั้งเก่า ทั้งซอมซ่อ เชย โบราณ แต่คนโลกแคบอย่างนั้นที่เที่ยวน้อย เดินทางน้อย เท่าที่เห็นนี่ก็อยากจะเอาตัวไปนอนเกลือกกลิ้งกับดิน กับหญ้า กับต้นไม้ทุกต้นในมหา’ลัยอยู่แล้ว) มันคือโลกแห่งความเป็นจริงที่ต้องเข้าเรียนหนังสือ

ปีแรกไม่ต้องทำอะไรมาก จงอุทิศตัวให้กับการเรียนภาษาญี่ปุ่น!

นักเรียนไทยคนอื่นๆ ที่ไปเรียนในรุ่นเดียวกัน เกือบทั้งหมดมาเรียนวิศวะฯ และเกือบทั้งหมดจบวิศวะฯ จุฬา เกือบทั้งหมดของพวกเขาเป็นมนุษย์ประเภท เหรียญเงิน เหรียญทองโอลิมปิกวิชาการ อภิมหาเนิร์ด อันเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่ฉันไม่เคยเห็น ไม่เคยต้องแผ้วพานในชีวิตมาก่อน ดังนั้นแค่คุยกับเพื่อนๆ กลุ่มนี้ก็แทบจะต้องใช้โปรแกรมแปลภาษาไทยเป็นไทยกันแล้ว เพราะเขาคุยกันแบบเด็กกรุงเท้พ กรุงเทพฯ ที่ชีวิตมีเรื่องเรียน เรียน เรียน กวดวิชา หรือการเอาชนะโจทย์คณิตศาสตร์ยากๆ (ทุกวันนี้ในกรุ๊ปไลน์ คนพวกนี้ยังส่งโจทย์คณิตศาสตร์แปลกๆ มาเล่นกันอยู่เลย)

สิ่งที่ฉันกำลังจะบอกคือ คนเหล่านี้เรียนเก่งมาก มากจนน่าตกใจ ในชั้นเรียนภาษาญี่ปุ่น ขณะที่มนุษย์สันคะยอมมะงุมมะงาหรากับ อะ อิ อุ เอะ โอะ เผลอแป๊บเดียว มนุษย์เหล่านี้แต่งประโยคภาษาญี่ปุ่น และไม่กี่เดือนก็เขียนเรียงความภาษาญี่ปุ่น พูดภาษาญี่ปุ่น อ่านคันจิง่ายๆ กันได้แล้ว

โอ๊ยยย มันกดดันมาก

ส่วนฉันนะเหรอ นั่งฟังครูสอนไป 15 นาที  เวลาที่เหลืออีกชั่วโมงก็นั่งเหม่อมองท้องฟ้า แสงแดด  ตื่นเต้นกับใบไม้ที่ร่วงลงมากับลมเย็น

ใครจะทนนั่งอยู่ในห้องเรียนได้ – ใช่ไหม

หนักเข้า ยัยคนนี้ไม่เข้าห้องเรียนเอาเลย เรียนไปก็ไม่รู้เรื่อง แล้วไปไหน? ก็ไปนั่งจิบกาแฟ สูบบุหรี่ข้างสระน้ำ ใต้ต้นซากุระไง นั่งจนเบื่อก็เอาจักรยานออกไปปั่นเล่น

โห…เมืองทั้งเมืองมันเหมือนเป็นสนามเด็กเล่นเลย สำหรับฉัน เมืองที่ปั่นจักรยานไปเล่นที่ไหนก็ได้ เมื่อไหร่ก็ได้ ไร้ข้อจำกัด มันคือสนามเด็กเล่นนั่นแหละ

ตอนนี้เองที่ฉันได้ค้นพบซอกซอยที่มีร้านอีลุกจุ๊กจิ๊ก ขายงานคราฟต์ ตั้งแต่งานเสื้อผ้า งานถ้วยชาม และยังไม่เจอร้านกาแฟที่ไม่มีกลิ่นอายโบร่ำโบราณแบบร้านคะระฟุเนยะ แต่เป็นร้านกาแฟเล็กๆ กลิ่นกาแฟ กับขนมอบหอมๆ ไม่ได้หอมแบบร้านเค้กฝรั่ง แต่เหมือนกลิ่นกาแฟผสมกลิ่นไม้สน กลิ่นเทียนหอม กลิ่นเนยเบาๆ

ภาวะใจแตกก็มาเยือน

การโดดเรียนก็บ่อยขึ้นตามลำดับ สารภาพว่าไม่ชอบการเรียนภาษาที่มหาวิทยาลัยจัดให้เลย เรียนไม่รู้เรื่อง การบ้งการบ้านก็ไม่ทำ

เกือบหมดเทอม เพื่อนรุ่นเดียวกัน อ่าน เขียน พูด ภาษาญี่ปุ่นกันได้หมดแล้วและเริ่มเข้าแลป คือ เข้าไปเรียน ไปเตรียมตัวสอบเข้าปริญญาโทยังคณะและภาควิชาต้นสังกัด แต่ฉันยังหูหนวกตาบอด อ่านไม่ได้ พูดไม่ได้ แล้วก็แปลกใจตัวเองมากที่ไม่อนาทรร้อนใจ ทั้งยังมีความสุขกับการค้นพบตลาด ซูเปอร์มาร์เก็ต แหล่งช็อปปิ้ง แหล่งซื้อผัก ผลไม้ มาทำอาหาร

การทำครัวอย่างพิสดารพันลึกก็กำลังจะก่อตัวขึ้นเร็วๆ นี้.

สำหรับใครที่พลาดตอนก่อนหน้า สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่

LIKE & SHARE

ชอบเรื่องนี้จนต้องบอกต่อ