- 30 Apr. 2021
- 4,793
- 38 แชร์
- แชร์เรื่องนี้
- บันทึกเรื่องนี้
EAT. SNAP. TRIP. x RICOH GR ตอน ตามหา ISE-EBI (Japanese spiny lobster)
เรื่อง : Ricoh GR
- 30 Apr. 2021
- 4,793
- 38 แชร์
- แชร์เรื่องนี้
- บันทึกเรื่องนี้
สารบัญ
การออกเดินทางของแต่ละคนย่อมมีเหตุผลที่แตกต่างกันไป สําหรับเราแล้ว “อาหาร” เป็นแรงจูงใจที่ทําให้ ออกเดินทางไปญี่ปุ่น โดยเฉพาะอาหารท้องถิ่นในแต่ละเมือง ซึ่งมักชวนให้เกิดความสนใจ และอยากออกเดินทางไปเพื่อลิ้มลอง ซึ่งตลอดสิบกว่าปีที่ได้ไปสัมผัสญี่ปุ่นมานั้นมีอาหารต่างๆ มากมายที่ได้สร้างความประทับใจจนกลายเป็นร้านประจําที่มักหาโอกาสกลับไปเสมอ รวมทั้งการได้พบร้านอาหารใหม่ๆ เพื่อลิ้มลองก็เป็นทั้งความท้าทาย และความน่าหลงใหลด้วยเช่นกัน ซึ่งต่อมาก็เป็นสีสันของความสนุกในการเดินทางสําหรับเราในแต่ละทริป และการมีกล้อง Ricoh GR ที่คอยช่วยเราเก็บภาพบันทึกประสบการณ์ต่างๆ เหล่านี้ไว้ได้อย่างยอดเยี่ยมไม่เคยเปลี่ยน
ฝนตกฟ้าครึ้มแถมถ่ายรูปผ่านกระจกของห้องพัก แต่รูปจากกล้อง RICOH GR ก็ยังให้สีที่สดใส
ด้วยความที่ชอบตระเวนชิมอาหาร ดังนั้นเรามักวางแผนทริปที่ไม่เร่งรีบเพื่อจะได้มีเวลาในการซึมซับความอร่อย และได้สัมผัสบรรยากาศดีๆ จากการท่องเที่ยวญี่ปุ่น ซึ่งรวมถึงการถ่ายรูปของเราก็ทํานองเดียวกันเพราะการมีเวลาทําให้เราสามารถผ่อนคลาย และเห็นความงดงามที่อาจจะซ่อนอยู่ หรืออย่างน้อยก็เป็นความรู้สึกที่ดีของเราเมื่อได้ภาพสวยๆ ที่สําคัญเมื่อมีกล้อง RICOH GR อยู่ในมือก็ยิ่งเป็นตัวช่วยที่ดี และทําให้เราถ่ายรูปได้สนุกทุกครั้งอีกด้วย
ISE-EBI : Japanese Spiny Lobster
แรงจูงใจในการตามหา ISE-EBI (Japanese spiny lobster) มาจากหนังญี่ปุ่นเรื่อง “The Chef of South Pola (南極料理人)” เป็นหนังที่เกี่ยวกับทีมนักสํารวจชาวญี่ปุ่น 8 คนที่ขั้วโลกใต้สถานที่ซึ่งมีอากาศหนาว -54 องศา จนไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นๆเลยก็ว่าได้ นอกจากงานในหน้าที่แล้ว สิ่งที่ทําให้ทุกคนมีความสุขในการใช้ชีวิตที่นั่นก็คือเรื่อง “อาหาร” ซึ่งจะมีพ่อครัวที่ส่งไปร่วมอยู่ในทีมเพื่อปรุงอาหารรสชาติอร่อยๆ ให้ทุกคน เพื่อจะได้บรรเทาความคิดถึงบ้านเกิด ทําให้อาหารในแต่ละมื้อเป็นเป้าหมายที่สําคัญในแต่ละวันของทุกคน ! มีตอนหนึ่งในหนังเรื่องนี้ที่พูดถึง ISE-EBI หรือ กุ้งอิเสะ ที่เชฟเพิ่งพบว่ามีอยู่ในคลังวัตถุดิบ เขาจึงไปสอบถามคนในทีมว่าจะเอามาทําอะไรดีทุกคนก็พูดว่าอยากกินกุ้งทอด แม้เชฟจะพยายามโน้มน้าวอย่างไรทุกคนก็ยังยืนยันรวมทั้งหัวหน้าทีมก็ย้ำว่า ต้องการกิน กุ้งชุปแป้งทอดเท่านั้น !!!
ฉากต่อมา… สีหน้าประหลาดใจ และสงสัยของทุกคนที่เห็นอาหารบนโต๊ะกินข้าว กุ้งชุบแป้งทอดที่ทุกคนอยากกินในวันนี้ทั้งหมดหน้าตาและขนาดผิดแผกไปจากที่คุ้นเคย เพราะกุ้งชุปแป้งทอดที่เห็นอยู่นั้นมีขนาดใหญ่มากจนแทบล้นจาน (เหตุผลที่เชฟพยายามโน้มน้าวให้ทุกคนเปลี่ยนเมนูก็เพราะกุ้งอิเสะคือ กุ้งมังกรตัวใหญ่ที่น่าจะนำไปทำเมนูอื่นๆได้แทนที่จะเอาไปชุบแป้งทอดทั้งหมด) เมื่อเราดูการดำเนินเรื่องมาถึงตอนที่ทุกคนนั่งลงแล้วยกหัวกุ้งออกจากจานมาตั้งบนโต๊ะพร้อมๆ กันเป็นฉากที่ดูแล้วรู้สึกขบขันมากๆ
แต่ในที่สุดทุกอย่างก็จบลงอย่างมีความสุข เพราะทุกคนเอร็ดอร่อยกับการได้กินกุ้งทอดตัวโตๆด้วยท่าทางอิริยาบถที่ดูสนุกกับการกินกุ้งชุบแป้งทอด รวมทั้งเชฟที่นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับผลงานของตน…ทำให้เราจดจำหนังเรื่องนี้ได้แล้วก็รู้สึกสนใจ อยากรู้ว่ารสชาติของ ISE-EBI หรือ กุ้งมังกรอิเสะ จะอร่อยขนาดไหนกันนะ !
อยากกินกุ้งอิเสะก็ไป ISE สิ ! ในความจริงแล้ว ISE-EBI หรือกุ้งอิเสะจัดเป็นกุ้งก้ามกราม หรือ กุ้งมังกร (Japanese Spiny Lobster) โดยมีแหล่งกําเนิดที่มีชื่อเสียงอยู่ที่อิเสะชิมะ (Ise-Shima) หรือบริเวณคาบสมุทรชิมะ (Shima Peninsula) อยู่ทางตะวันออกของจังหวัดมิเอะ (Mie) ครอบคลุมบริเวณพื้นที่รอบๆ อุทยานแห่งชาติอิเสะชิมะ ซึ่งรวมเมืองอิเสะ (Ise), โทบะ (Toba), ชิมะ (Shima) และบางส่วนของเมืองมินามิอิเสะ (Minami-Ise) ก็หมายความว่าเราสามารถลิ้มลอง ISE-EBI ได้ในเมืองต่างๆ แถบนี้
จากหนังเรื่องโปรดสู่การตามหา ISE-EBI เพื่อการลิ้มลอง และในที่สุดเราก็พบร้านหนึ่งที่น่าสนใจอยู่ที่เมืองโทบะ
ISE-EBI ตามธรรมชาติจะมีความสมบูรณ์และรสชาติที่ดีที่สุดอยู่ระหว่างเดือนตุลาคมถึงเมษายนของทุกปี ดังนั้น เราจึงปักหมุดและวางแผนการเดินทางแบบสบายๆ ตามสไตล์เที่ยวสายชิลล์กับทริป 2 วัน 1 คืน เพื่อไปลิ้มลอง ISE-EBI ในช่วงฤดูกาลนี้ที่เมืองโทบะ !
แผนเดินทางของเรา
แม้ว่าเราเดินทางไปที่ญี่ปุ่นเพื่อการตามหา ISE-EBI แต่ว่าอย่างไรแล้วสายกินที่ชอบถ่ายรูปและเที่ยวด้วยอย่างเราย่อมไม่พลาดที่จะวางแผนไปยังที่อื่นๆ ด้วย จึงได้ข้อสรุปว่า
– จากกรุงเทพบินตรงลงเครื่องที่สนามบินนาโกย่า ชูบุเซ็นแทรร์ (Nagoya Chubu Centrair Airport) และพักที่นาโกย่า (Nagoya) ก่อนในวันแรกเพื่อจะได้ใช้เวลาจัดการตั๋วเดินทางต่างๆ ที่ต้องใช้ในทริปนี้ให้เรียบร้อย
– รุ่งขึ้นเดินทางไปยังโทบะด้วยรถไฟจากนาโกย่า และเลือกพักที่เมืองอิเสะ ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ใกล้กับเมืองโทบะ และการเดินทางระหว่าง Ise – Toba ก็สะดวกมาก (ช่วงบ่ายมีเวลาก็ใช้เวลาเที่ยวในเมืองอิเสะ)
– ไฮไลท์ของทริปนี้คือ ISE-EBI ที่ร้านอาหารในเมืองโทบะ เราจึงจองโต๊ะกับทางร้านอาหารไว้แล้วในช่วงดินเนอร์ของวันแรกเลย
– วันที่ 2 ไปเยี่ยมชมศาลเจ้าอิเสะ (Ise Jingu) ในเมืองอิเสะ ก่อนที่จะเดินทางกลับไปนาโกย่า
Nagoya – Ise ใช้เวลาเดินทาง 2 ชั่วโมง ด้วยรถไฟด่วนของคินเท็ตสึ (Kintetsu) ลงที่สถานีอิเสะชิ (Ise-shi Station) ตามตารางเวลาที่เลือก เราได้นั่งรถไฟด่วนชื่อว่า Vita Cas เป็นรถไฟด่วนสีส้มหน้าตาโบราณๆ ดูย้อนยุค แต่ภายในรถก็สะอาดสะอ้านดีตามสไตล์ญี่ปุ่น รถไฟขบวนนี้วิ่งไปสุดทางที่สถานีโทบะ (Toba Station) ซึ่งเมืองอิเสะจะถึงก่อน 1 สถานี คือลงที่สถานีอิเสะชิ
เราเช็คสภาพอากาศล่วงหน้าทราบว่าวันนี้ฝนตกเกือบตลอดวัน ซึ่งที่ญี่ปุ่นพยากรณ์อากาศแม่นยํามากอยู่แล้วเลย ไม่แน่ใจว่าไปถึงแล้วจะได้เที่ยวตามแผนที่วางไว้หรือเปล่านะ และระหว่างที่นั่งรถไฟชมวิวไปก็ยกกล้อง Ricoh GR ขึ้น Snap ภาพไป วิวฝนตกที่ด้านนอกดูแล้วชวนรู้สึกถึงอากาศหนาวๆ ของวันนี้
เมื่อมาถึงอิเสะฝนยังตกอยู่ เราเดินข้ามถนนจากสถานีรถไฟไปยังที่พักที่อยู่ใกล้ๆ ก็เปียกปอนกันไปเลยทีเดียว แต่ก็โชคดีที่เสื้อหนาวกันน้ําได้จึงไม่แย่นัก เดิมเราตั้งใจว่าจะไป Ise Jingu (Gegu) หรือศาลเจ้าอิเสะ (ชั้นนอก) ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่พัก แต่ฝนตกอยู่คงไม่สะดวกที่จะไปตอนนี้เราก็เลยคิดว่างั้นเราหาอะไรกินมื้อเที่ยงแถวโรงแรมก่อน แล้วค่อยดูสถานการณ์อีกที และไม่ลืมที่จะขอยืมร่มจากโรงแรม !
มื้อเที่ยงเป็นร้านใกล้ๆ โรงแรม จริงๆ ก็มีร้านที่น่าสนใจหลายร้าน แต่ร้านนี้มีเมนูชุดกุ้งอิเสะด้วยก็เลยอยากลองก่อน ชุดนี้ราคาก็ถือว่าสูง เมื่อกุ้งอิเสะที่ได้มีขนาดตัวไม่ใหญ่นัก ทําให้เราคาดหวังกับมื้อเย็นว่าคุณภาพของ ISE-EBI ที่ร้านอาหารที่จองไว้น่าจะดีกว่า… !
หลังมื้อเที่ยงตอนนี้ฝนก็ยังตกอยู่ก็เลยคิดว่าไม่ควรไปศาลเจ้าอิเสะ แต่เรายังมีเวลาช่วงบ่ายก่อนที่จะไปโทบะ สําหรับมื้อเย็นเลยตัดสินใจไปสํารวจถนนโอฮาไรมาจิ (Oharai-machi) กับตลาดโอคาเกะ (Okage-yokocho) ก่อนดีกว่า ก็เลยเดินไปป้ายรถเมล์หน้าสถานีรถไฟอิเสะชิ จากที่นี่นั่งรถเมล์ไปถนนโอฮาไรมาจิประมาณ 15 นาทีก็ถึง…
Oharai-machi และ Okage-yokocho
ด้วยความชอบเดินถนนย่านการค้าอยู่เป็นทุนเดิม ที่นี่จึงดึงดูดเราได้ดีอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะมีร้านค้าต่างๆ ในตัวอาคารบ้านเรือนโบราณยุคเอโดะที่ดูมีเสน่ห์อย่างมาก สําหรับตลาดโอคาเกะอยู่ใกล้กับศาลเจ้าอิเสะส่วนใน (Naiku) สําหรับถนนโอฮาไรมาจิก็อยู่ใกล้กันระยะเดินเพียง 2 นาที เรียกว่าเดินไปมาถึงกันได้สบาย แต่บ่ายนี้เราขอเดินชมบรรยากาศสํารวจเฉพาะถนนโอฮาไรมาจิกับตลาดโอคาเกะก่อน แล้วพรุ่งนี้ตามพยากรณ์ว่าท้องฟ้าแจ่มใสอากาศดีเราจึงจะถือเป็นฤกษ์ดีในการไปสักการะศาลเจ้าอิเสะกันให้ครบ และคงกลับมาเดินที่นี่ต่ออีกรอบ ร้านค้าต่างๆ เปิดบริการถึงเวลาประมาณ 18:00 น.
แม้ฝนจะตกทําให้มือหนึ่งต้องถือร่ม แต่อีกมือก็ยังยกกล้องถ่ายรูปได้สบาย ต้องขอบคุณ Ricoh GR ที่ทําให้เก็บภาพบรรยากาศแบบเดินไป Snap ไปอย่างสนุกและสะดวกสุดๆ
Akafuku Honten (Akafuku mochi)
เรามาที่ร้าน Akafuku Honten เป็นร้านขนมมีชื่อเสียงของที่นี่ มีขนมขึ้นชื่อคือ Akafuku Mochi ขนมโมจินี้มีต้นกําเนิดมากว่า 300 ปี โดยปกติขนมโมจิญี่ปุ่นมักจะเป็นแป้งข้าวเหนียวห่อถั่วแดงบดไว้ด้านใน แต่ของร้าน Akafuku Honten จะสลับกัน โดยถั่วแดงบดจะอยู่ด้านนอกและหุ้มแป้งโมจิสีขาวไว้ด้านใน นอกจากนี้ยังมีเอกลักษณ์พิเศษกว่าที่อื่นก็คือ ถั่วแดงบดทําเป็นลวดลายเกลียวคลื่นเปรียบเหมือนสายน้ําไหลของแม่น้ําอิซูซุที่มีความสำคัญ ที่อยู่ในบริเวณเดียวกันกับศาลเจ้าอิเสะ ดังนั้นจึงมักเรียก Akafuku mochi ของร้านนี้ว่า Ise Akafuku mochi
เมื่อเดินเข้ามาในตลาดโอคาเกะจะเห็นคนญี่ปุ่นซื้อขนมโมจิของร้าน Akafuku Honten กันจำนวนมาก บางคนหิ้วกันเป็นสิบกล่อง แม้ว่าที่ถนนคนเดินจะมีร้านสาขาของ Akafuku Honten แต่เรามุ่งไปที่สาขาหลักที่เป็นอาคารไม้โบราณหลังใหญ่ที่ดูสวยงามคลาสสิกที่มีอายุกว่า 130 ปี ซึ่งมีลูกค้าแวะเวียนไม่ขาดสายขนาดวันนี้ฝนตกคนยังมากทีเดียว และเราโชคดีที่ได้ที่นั่งด้านในของร้าน ซึ่งมีลักษณะยกพื้นที่ปูด้วยเสื่อแบบบ้านญี่ปุ่นโบราณ สําหรับฤดูหนาวทางร้านจะมีขนมให้เลือก 2 เมนูคือ Akafuku Mochi กับ Zenzai (ซุปถั่วแดงร้อนกับโมจิย่าง) แน่นอนเราเลือกสั่งมาชิมทั้ง 2 เมนูเลย และเราชอบ Zenzai ของที่นี่มากเพราะความอร่อยที่ลงตัวที่ให้รสหวานที่ไม่มากเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้กลิ่นหอมๆ กับความนุ่มเหนียวกําลังดีของโมจิย่างก็ยิ่งเพิ่มดีกรีความอร่อยให้กับ Zenzai ถ้วยนี้
Zenzai มาพร้อมบ๊วยและสาหร่ายดองเค็ม ซึ่งปกติมักเสิร์ฟมาคู่กันอยู่แล้ว เพื่อช่วยแก้เลี่ยน หรือตัดรสหวานที่อาจจะมากเกินไป แต่ของร้านนี้ซุปถั่วแดงไม่หวานมาก และลงตัวกับความอร่อยของโมจิย่างได้ดีทีเดียว
ที่ตลาดโอคาเกะมีร้านค้ามากมาย และที่ชวนให้ละลายทรัพย์ที่สุดก็น่าจะเป็นร้านขายของกินต่างๆ ที่เรียงรายไปตามถนนสายนี้อย่างร้านนี้ขายหอยเป๋าฮื้อย่าง ซึ่งอิเสะชิมะเป็นแหล่งที่อุดมสมบูรณ์ของอาหารทะเล นอกจาก ISE-EBI หรือ กุ้งมังกรอิเสะ ก็มีหอยเป๋าฮื้อ หอยนางรม เป็นของขึ้นชื่อด้วยเช่นกัน แต่วันนี้เราพยายามที่จะไม่ซื้ออะไรชิมเยอะนักเพราะมีดินเนอร์สําคัญรออยู่ แต่พอมาเจอขนมโดนัทร้านนี้ดูน่าอร่อยอดใจไม่ได้รวมทั้งดังโงะของโปรดที่ราดซอสที่มีส่วนผสมของมิโซะแดงทําให้หน้าตาขนมแม้ดูเข้มจนเกือบเป็นสีดํา แต่รสชาติก็อร่อยกลมกล่อมลงตัวดีซึ่งตลอดเส้นทางนี้เหมาะมากที่จะ “ เดิน ชิม ช็อป ” และแม้ว่าวันนี้มีฝนตกตลอดก็ตาม แต่ก็สนุกและมีความสุขกับการอยู่ท่ามกลางสายฝนที่ต้องถือทั้งร่มและถุงช็อปปิ้ง แต่ก็ยังได้เอร็ดอร่อยไปกับขนมของว่างต่างๆ ที่สําคัญยังถือกล้องถ่ายรูปเก็บภาพเป็นที่ระลึกได้อีกเพราะกล้องที่ใช้มีประสิทธิภาพที่ดีในขนาดตัวที่เล็กกะทัดรัด และแบบนี้จะไม่รัก Ricoh GR ได้ยังไงล่ะ
จัดการกับโดนัทเสร็จก็เดินไปเจอร้านชาพอดีเจ้าของร้านเชิญชวนให้จิบชาร้อนๆ กําลังต้องการพอดีเลย ร้านนี้ใครมาเดินเที่ยวยังไงก็ต้องเจอร้านชาที่หน้าร้านมีถ้วยชาเรียงรายให้ชิม และถ้าพูดคุยสอบถามอยากลองชิมชาตัวไหนก็สามารถรีเควสได้ ที่นี่มีใบชาให้เลือกหลากหลายชนิด เราก็เลยอุดหนุนมาหลายอย่างเลย
ระหว่างที่ชงชาให้ชิมเราก็แอบ Snap ตอนชง และรินชาด้วยกล้อง Ricoh GR ที่เก็บภาพได้รวดเร็วมากช่วยให้การยกกล้องขึ้นเพื่อถ่ายรูปอิริยาบถต่างๆ ดูสบายๆ ไม่ดูจริงจังเกินไป เพราะเราอยากให้บรรยากาศทุกอย่างที่เป็นอยู่ยังดําเนินไปตามปกติ แต่ถ้าหากเปลี่ยนใช้กล้องตัวโตๆ อาจจะดูซีเรียสเกินไปก็ได้ หรือถ้ากล้องตัวเล็กแต่ประสิทธิภาพไม่ดีพอก็คงไม่ได้ภาพเช่นกัน ดังนั้นกล้อง Ricoh GR จึงเหมาะมากกับการพกไปเที่ยวและเก็บภาพต่างๆ ได้คุณภาพสุดๆ หน้าตากล้องดูดีมีความเป็นมิตรเข้าถึงง่าย เพราะออกแบบมาในสไตล์มินินอลญี่ปุ่นๆ แถมขนาดเล็กกะทัดรัดที่ซ่อนประสิทธิภาพยอดเยี่ยมเอาไว้ทําให้เรามั่นใจได้ทุกครั้งที่ Snap
เราชอบร้านชาที่อยู่ในย่านการค้าหรือตามตลาด เพราะจะมีความรู้ในเรื่องชาที่ดีเมื่อมีการสอบถามพูดคุย หรือสนใจชาตัวไหนทางร้านก็มักจะชงให้ชิม แถมบางครั้งหากรู้สึกต้องชะตากันมากขึ้น อาจได้ลองชิมชาตัวพิเศษๆ ด้วย ซึ่งเป็นความรู้สึกดีๆ ที่ได้รับกลับมาชวนให้อบอุ่นใจ และเป็นเหตุผลหนึ่งที่ชอบไปเที่ยวญี่ปุ่นเอง เพราะเราสามารถออกแบบทริปที่ต้องการได้แถมมีเวลากับสิ่งที่สนใจได้อย่างไม่ต้องรีบเร่งอีกด้วย
หลังจากพูดคุย และใช้เวลาในร้านชาพอสมควรแล้วก็คิดว่าควรกลับไปเตรียมตัวเพื่อเดินทางไปโทบะสําหรับดินเนอร์คืนนี้ดีกว่า… เราออกเดินทางด้วยรถไฟด่วนจากสถานีอิเสะชิ (Iseshi Station) กับสถานีโทบะ (Toba Station) ใช้เวลาประมาณ 17 นาที
เวลาไปเที่ยวอย่างเมืองเล็กๆ แบบนี้พอเริ่มพลบค่ำก็แทบร้างผู้คน ที่สถานีรถไฟแทบไม่มีผู้โดยสารเลย แต่เพราะเป็นที่ญี่ปุ่นทําให้เรามีความมั่นใจในความปลอดภัยสูง แต่อย่างไรก็ไม่ประมาทเพราะอยู่ต่างบ้านต่างเมือง และมากันเองไม่ได้มาหลายคนแบบเป็นกลุ่ม หรือหมู่คณะก็ควรระมัดระวังรอบคอบบ้าง ระหว่างรอรถไฟก็อดไม่ได้ที่จะ Snap ภาพด้วยกล้อง Ricoh GR และเราชอบโทนภาพรูปนี้ที่ดูมีเสน่ห์ และรู้สึกถึงความลึกลับอะไรบางอย่างในภาพที่มีแต่ความว่างเปล่าของชานชาลารถไฟ ตอนนี้เป็นเวลา 18:00 น. ที่นี่ไม่มีใครนอกจากเราแล้วหรือ ?
เมื่อรถไฟมาจอดเทียบชานชาลาก็เห็นว่ามีผู้โดยสารอยู่บ้าง และส่วนมากก็ลงที่สถานีอิเสะชินี้ ส่วนเราก็ขึ้นรถไฟเพื่อไปเมืองโทบะ ระหว่างทางเป็นวิวป่าเขาพอมืดๆ แล้วแถมในรถไฟก็คนน้อยมากก็รู้สึกวังเวงๆ เหมือนกันนะ
KAGETU
ร้าน KAGETU อยู่ที่เมืองโทบะ โดยจากสถานีรถไฟโทบะนั่งรถต่อไปอีกราว 10 นาที ซึ่งเหตุผลที่เราเลือกมาร้านนี้เพราะที่นี่มีบริการอาหารทะเลตามฤดูกาล และช่วงเวลาที่ไปตอนนี้ตรงกับฤดูกาลของ ISE-EBI SPINY LOBSTER ดังนั้นจึงเป็นวัตถุดิบเด่นที่นําเสนอของร้าน และที่มีชุดรายการอาหารให้เลือกมากมายรวมทั้งแบบ Full course (Full ISE-EBI Spiny Lobster Course) เรียกได้ว่ามีให้เลือกครบทุกรูปแบบที่นํา ISE-EBI เป็นวัตถุดิบหลักในการปรุงอาหาร ที่สำคัญทางร้านมีข้อมูลรายละเอียด และระบุขนาดของ ISE-EBI รวมทั้งจํานวนกุ้งอิเสะที่ใช้ในแต่ละชุดอาหาร ซึ่ง ISE-EBI ที่พอเหมาะสำหรับจะนํามาประกอบอาหารจะมีขนาดประมาณ 20-30 เซนติเมตร ซึ่งนอกเหนือจากแหล่งที่จับมาแล้วขนาดและความสดของกุ้งอิเสะก็เป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงรสชาติที่ดี ส่วนในด้านราคาก็ย่อมสูงไปตามขนาด และคุณภาพของวัตถุดิบเช่นกัน !
ลูกค้าในร้านที่เห็นส่วนมากเป็นคนญี่ปุ่นที่ขับรถมากันเอง สําหรับลูกค้าที่เดินทางมาโดยรถไฟทางร้านก็มีบริการรถรถรับ-ส่งจากสถานีรถไฟโทบะมาที่ร้าน โดยแจ้งล่วงหน้าเพื่อนัดหมายเวลาให้รถมารับได้ตั้งแต่ตอนที่จองโต๊ะได้เลย ดังนั้นเมื่อเราเดินทางมาถึงพนักงานก็รอต้อนรับอยู่แล้ว และจากที่สังเกตส่วนมากเป็นพนักงานที่มีอายุน่าจะราว 50 ปีขึ้นไป ซึ่งจริงๆ แล้วเราชอบนะเพราะจากประสบการณ์เรามักได้รับการบริการที่ดีจากพนักงานที่มีอายุมากหน่อย อาจเพราะแต่ละท่านได้สั่งสมความชํานาญด้านการให้บริการมายาวนานก็ได้ ทำให้เราสัมผัสได้ถึงการเอาใจใส่ดูแลเราในฐานะลูกค้าให้ได้รับการบริการอย่างดีที่สุด ซึ่งอาจเป็นหนึ่งในหลายๆ เหตุผลที่ทําให้เราหลงใหลความเป็นญี่ปุ่นในด้านของความมุ่งมั่นตั้งใจในการทำสิ่งใดๆ ก็ตามอย่างตั้งใจที่สุด รวมทั้งยังมีความเอาใจใส่ในทุกรายละเอียด ซึ่งเป็นภาพสะท้อนความเป็นญี่ปุ่นดั้งเดิมที่เรารู้สึกชื่นชม…
ISE-EBI KIWAMI Course
เราเลือกสั่งชุด ISE-EBI KIWAMI เพราะรายการดูน่าสนใจดีมีการนํา ISE-EBI หรือ กุ้งมังกรอิเสะ ไปปรุงเป็นเมนูหลายรูปแบบ และใช้ ISE-EBI ที่มีขนาดใหญ่ (ทางร้านระบุว่าชุดนี้เป็น Limited quantity) มาประกอบเมนูไฮไลท์ คือ การนึ่งไอน้ํา ซึ่งวิธีการปรุงที่เรียบง่ายนี้จะทําให้เราได้ลิ้มลองรสชาติและคุณภาพของวัตถุดิบอย่างแท้จริง
ทางร้านมีเมนูภาษาอังกฤษ ซึ่งบอกรายละเอียดทั้งราคา(ต่อคน) และรายการของเมนูแต่ละชุดได้เข้าใจดี
ความสวยงามตามลักษณะของกุ้งมังกรอิเสะที่แตกต่างจากกุ้งมังกรทั่วไป คนญี่ปุ่นมีความเชื่อว่า หากใครได้กินก็จะมีอายุยืนยาวและสุขภาพแข็งแรง
เพราะอยากเปรียบเทียบว่าขนาดตัวเล็กกับใหญ่ให้รสชาติรสสัมผัสต่างกันมากน้อย เราก็เลยสั่งอีกชุดเป็น ISE SHIMA Course ซึ่งเป็นเมนูชุดเริ่มต้นของทางร้านที่มีเมนูหลัก คือ กุ้งมังกรอิเสะนึ่งไอน้ํา แต่ใช้ขนาดกุ้งที่ตัวเล็กกว่า ร้านนี้เน้นวิธีการปรุงอาหารทะเลด้วยการอบไอน้ํา ที่โต๊ะจึงมีช่องสําหรับการนึ่งที่เป็นวิธีแบบโบราณด้วยกล่องไม้ และรองด้วยไม้ไผ่สาน เมื่อพนักงานนํากุ้งมาวางเตรียมไว้ที่ข้างๆ โต๊ะเราเลยได้เห็นขนาดที่เปรียบเทียบกัน ดูแล้วก็มีขนาดแตกต่างกันมากพอสมควรเลย
แต่ก่อนจะนึ่งกุ้งมังกรอิเสะ พนักงานก็จะนึ่งหอยนางรมก่อน เพราะใช้เวลาน้อยกว่า ซึ่งหอยนางรมก็เป็นอาหารทะเลขึ้นชื่อของ ISE-SHIMA อย่างหนึ่งเหมือนกัน
ในขณะที่รอ กุ้งมังกรอิเสะ นึ่งไอน้ําที่ต้องใช้เวลานึ่งนาน ทางร้านก็ทยอยเสิร์ฟอาหารแต่ละจานแบบไคเซกิ แต่สุดท้ายอาหารก็ต้องวางเต็มโต๊ะเพราะรับประทานให้หมดทีละอย่างไม่ทัน อาหารในชุดนี้มีความหลากหลายมากทั้งอาหารว่าง ปลาดิบ เครื่องเคียง ซึ่งล้วนมีรสชาติดี แต่อย่างไรเราก็อยากเผื่อที่ว่างสําหรับ ISE-EBI ที่ทําให้เราตามมาถึงถิ่นอย่างนี้
ก่อนอื่นทางร้านเริ่มเสิร์ฟอาหารว่างตามด้วยเมนูซาซิมิก่อน ซึ่งมีกุ้งมังกรอิเสะทั้งตัว หอยเป๋าฮื้อ ซึ่งเป็นอาหารทะเลขึ้นชื่อในแถบนี้เช่นนกัน (ที่ร้านมีชุดอาหารที่เน้นหอยเป๋าฮื้อเป็นไฮไลท์ด้วยเช่นกัน) และปลาดิบที่จัดมาเป็นปลาตามฤดูกาล
อาหารทะเลที่เสิร์ฟแบบซาชิมินั้น นอกจากจะต้องสดมากแล้วยังต้องอาศัยความชํานาญของพ่อครัวฝืมือดีในการใช้มีดแล่หรือหั่น เพราะส่งผลต่อรสสัมผัสในการรับประมานหนึ่งด้วย สําหรับจานนี้คงไม่ต้องบอกว่าสดแค่ไหน เนื้อกุ้งใส สีสวย หวานกรอบมาก และการแล่ที่กําลังดีไม่บางไป ไม่หนาไป และเพราะฝีมือการลงมีดที่มีทักษะ ทําให้เนื้อสัมผัสดีไม่เหนียวเลย
แบบนึ่งโชยุกับเหล้ามิริน ให้สัมผัสที่ไม่เคยลิ้มลองมาก่อน มีความหอมจากมิรินและรสเค็มอ่อนๆ ที่มาเติมให้รสลงตัวยิ่งขึ้น
ในขณะที่อาหารทยอยขึ้นตามรายการ ก็มาถึงหนึ่งในเมนูไฮไลน์อีกอย่างในชุดนี้ก็คือ กุ้งอิเสะขนาดจัมโบ้ย่างทั้งตัว ที่เสิร์ฟแบบให้เห็นขนาดตัวกันเต็มๆ และความร้อนที่ระอุอยู่ เลยต้องรอกันหน่อยจึงเริ่มลงมือจัดการได้ ISE-EBI แบบย่างทั้งตัวจะมีความหอมจากการย่าง แม้ว่าจะใช้กุ้งอิเสะขนาดใหญ่แต่เมื่อย่างโดยใช้ไฟอ่อน ทําให้กุ้งสุกทั่วถึงทั้งตัว และมีระดับความสุกแบบพอดี (ไม่สุกมากไป หรือดิบด้านใน) ทําให้ได้รสชาติเนื้อกุ้งอิเสะที่อร่อยแบบเข้มข้น โดยเฉพาะมันกุ้งนั้นสุดยอดมากๆ
ในรูปเราถือกุ้งด้วยมือขวาเพราะถนัด และกําลังจะจัดการชิมกุ้งตัวยักษ์ แต่ก็อยากถ่ายรูปด้วยก็เลยพยายามถ่ายรูปด้วยมือซ้าย แม้ไม่ถนัดนักแต่เราก็ยังกดภาพได้ชัด นี่คือความสนุกของการถ่ายรูปด้วยกล้องคุณภาพสูงอย่าง Ricoh GR
หอยนางรมนึ่งไอน้ําตัวโตที่ให้รสชาติดีเนื้อแน่นและสดหวานมากๆ (บทความนี้ไม่สามารถเลี่ยงการใช้คําซ้ำเกี่ยวกับรสหวาน และสดมากๆ ได้เลยจริงๆ)
และแล้วกุ้งอิเสะนึ่งไอน้ําทั้งตัวขนาดจัมโบ้ก็ได้เวลา เมื่อพนักงานนําออกจากที่นึ่งแล้วยกใส่จานเสิร์ฟมาพร้อมกับบอกเราว่า เชิญรับประทานได้เลย แต่แม้จะรอไปสักครู่ก็ยังไม่สามารถเพราะกุ้งนึ่งร้อนมือมากๆ ก็เลยบอกให้ช่วยแกะให้หน่อย ซึ่งก็ได้คุณป้าที่เป็นพนักงานอาวุโสช่วยจัดการให้
ความแตกต่างระหว่างแบบย่างกับแบบนึ่งนั้น เรารู้สึกว่าแบบย่างนั้นมีความหอมและให้รสเข้มข้น ส่วนแบบนึ่งไอน้ําจะให้รสหวานที่ชุ่มฉ่ำ ส่วนตัวถ้าให้เลือกเปรียบเทียบแล้วละก้อ เราชอบแบบนึ่งไอน้ํามากกว่า และสําหรับคําถามว่าขนาดของตัวกุ้งอิเสะมีผลต่อความอร่อยหรือไม่ ก็ตอบได้เลยว่าบอกได้ว่ามีผลอย่างมากทั้งรสชาติ และรสสัมผัส แม้ว่ารสชาติกุ้งอิเสะของร้านนี้ที่ระบุว่าเป็นแบบจับตามธรรมชาติก็มีความสด และหวานอร่อยทั้งขนาดเล็กและใหญ่ที่เราได้สั่งมาเพื่อพิสูจน์ซึ่งตามความเห็นส่วนตัวแล้วขนาดตัวของกุ้งอิเสะ ก็ยังส่งผลต่อรสชาติ ซึ่งถ้าเป็นตัวใหญ่เราก็จะสัมผัสรสชาติที่อร่อยของกุ้งอิเสะได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อตั้งใจเดินทางมาถึงถิ่นเพื่อลิ้มลองแล้วก็น่าจะได้สัมผัสความสดอร่อยของกุ้งอิเสะในฤดูกาลนี้ให้เต็มที่ไปเลย
สําหรับกุ้งอิเสะนึ่งไอน้ําเพียงแค่คําแรกก็รู้สึกได้ถึงความอร่อย โดยเฉพาะเมื่อเป็นกุ้งอิเสะขนาดจัมโบ้ที่ให้เนื้อสัมผัสที่ละมุน และรสอร่อยตามธรรมชาติที่ไม่ใส่เครื่องปรุงแต่งใดๆ การทําให้สุกด้วยการนึ่งไอน้ําทําให้เราได้รับรสชาติที่อร่อยตามธรรมชาติของอาหารทะเลอย่างแท้จริง ยิ่งถ้าดูรูปประกอบด้วยก็จะเห็นว่าเนื้อกุ้งมีความนุ่มนวล และมันกุ้งสีเหลืองที่เห็นมีรสชาติที่ดีมากมีความกลมกล่อม สัมผัสนุ่มๆ หอมๆ และอร่อย ซึ่งภาพจากกล้อง Ricoh GR ชวนให้คิดถึงรสชาติจนอยากกลับไปที่โทบะอีกเร็วๆ
จานต่อไป คือ เทมปุระกุ้งอิเสะ แม้จะเริ่มอิ่ม แต่กลิ่นหอมของกุ้งชุปแป้งทอดกับความกรอบละมุนๆ ของแป้งที่เคลือบมาอย่างบางเบาที่ทําให้รู้สึกฝีมือชั้นดีของพ่อครัว ด้วยความอร่อยก็ชวนให้ทานหมดจานได้โดยไม่รู้ตัว
ต่อมากับเมนูข้าวนึ่งห่อด้วยใบไผ่ ถ้าใครชอบทานข้าวปั้นก็ต้องถูกใจในรสชาติดี และซุปมิโซะหัวกุ้งอิเสะที่มาช่วยให้เรารู้สึกสดชื่นกับมื้ออาหารได้ดี เลยอดไม่ได้ที่จะลิ้มลองต่อจนจบคอร์ส
และสุดท้ายจริงๆ ด้วยเมนูของหวาน คือ พุดดิ้งที่มีรสหวานอ่อนๆ ตัดกับรสขมนิดๆ ของซอสกาแฟ ทําให้เป็นของหวานปิดท้ายที่ไม่หนักเกินไปในตอนนี้
จากความประทับใจในภาพยนตร์ญี่ปุ่นเรื่องหนึ่งที่สร้างความสงสัยอยากลิ้มลองรสชาติของ กุ้งมังกรอิเสะ มาก ทำให้ออกเดินทางเพื่อทำตามเป้าหมาย และสำเร็จลงด้วยการเลือกร้าน KAGETU กับเมนู ISE-EBI KIWAMI Course ที่มี ISE-EBI ขนาดจัมโบ้นึ่งไอน้ํา และแบบย่างทั้งตัวในขนาดเดียวกัน (ซึ่งหากจะว่าไปจริงๆ แค่ตัวเดียวก็เกือบจะอิ่มแล้วเพราะตัวใหญ่มาก) ซึ่งเรารู้สึกประทับใจในรสชาติอาหารของร้านมาก เพราะนอกจากใช้วัตถุดิบอาหารคุณภาพดีแล้ว ด้านฝีมือการปรุงก็อร่อยมากคุ้มค่ากับความมุ่งมั่นตั้งใจที่เดินทางมาถึงเมืองโทบะแห่งนี้ และที่สำคัญคือ ทำให้เราได้ลิ้มลอง ISE-EBI แบบจัดเต็มสมใจจริงๆ
ในที่สุดก็ได้เวลากลับมายังเมืองอิเสะ ซึ่งทางร้านบริการรถตู้มาส่งเราที่หน้าสถานีรถไฟโทบะ และเราเดินทางกลับด้วยรถไฟด่วนขบวนสีส้มแบบเดิม ซึ่งตอนนี้เวลาประมาณ 3 ทุ่ม ในโบกี้ไม่มีผู้โดยสารเลยราวกับว่าเราเหมาขบวนรถไฟส่วนตัวเพื่อเดินทางกลับมายังสถานีอิเสะชิ
เมื่อรถไฟเคลื่อนขบวนเดินทาง เราก็เลยยกกล้อง RICOH GR ในมือขึ้นเพื่อ Snap ภาพชานชาลาของสถานีโทบะไว้ ซึ่งตอนนั้นไม่มีผู้โดยสารเลย แต่เราก็อยากบันทึกภาพเพื่อเป็นไดอารี่ความทรงจําสําหรับทริปมาลิ้มลองกุ้งมังกรอิเสะ @ Toba ครั้งนี้
ในตู้โบกี้ที่เรานั่งก็ไม่มีผู้โดยสารอื่นเลย บรรยากาศเงียบสนิทระหว่างทางก็เป็นลักษณะป่าเขา หากเป็นที่อื่นก็คงรู้สึกหวั่นใจอยู่เหมือนกัน แต่เพราะที่นี่คือญี่ปุ่น เราก็เลยยังรู้สึกว่าปลอดภัย !
ในที่สุดเราก็กลับมาสถานีอิเสะชิ แม้ว่าจะยังเห็นมีผู้โดยสารคนอื่นๆอยู่บ้างก็ตาม แต่ก็ดูเงียบกว่าช่วงกลางวันมากทีเดียว อย่างไรก็ตามเมื่อคิดถึงทริปนี้แล้วก็รู้สึกว่า ความประทับใจที่มียังคงอยู่ และการได้มาในช่วงฤดูกาลความอร่อยของ ISE-EBI หรือ Japanese Spiny Lobster ก็ได้ทำให้เราได้ปฏิบัติภารกิจสำเร็จเพราะบรรลุเป้าหมายได้อย่างสวยงาม และอิ่มเอมสุดๆ
เราเชื่อว่าคนที่ออกเดินทางตามหาอาหารอร่อยๆ ระหว่างทางก็คงได้พบประสบการณ์อื่นๆ เหมือนเราด้วยเช่นกัน… สำหรับทริปนี้นอกจากมาตามหาความอร่อยของ ISE-EBI แล้วเราก็ถือโอกาสไปท่องเที่ยวสถานที่ที่น่าสนใจของ ISE ด้วย เพราะในวันรุ่งขึ้นก่อนเดินทางกลับไปยังนาโกย่าเราก็วางแผนที่จะไปสักการะศาลเจ้าอิเสะที่ถือกันว่าเป็น “ บ้านเกิดของชาวญี่ปุ่น ” หรือที่รู้จักกันในชื่อ “ อิเสะซัง (Ise-san) ” ศาลเจ้าหลวงที่คนญี่ปุ่นนับถือมาก และเป็นที่สถิตย์ของอามาเทราสึเทพผู้ประดุจดั่งดวงอาทิตย์และเป็นต้นกําเนิดของราชวงศ์ญี่ปุ่น !
นอกจากนี้ยังมีอาณาบริเวณเป็นผืนป่าที่กว้างใหญ่ ซึ่งเชื่อว่ามีพลังธรรมชาติบริสุทธิ์ที่หากใครได้ไปสัมผัสก็จะช่วยเติมพลังชีวิตด้านบวกให้กับร่างกายของเราได้เป็นอย่างดี หรืออย่างน้อยการได้สัมผัสธรรมชาติที่งดงามก็ช่วยให้จิตใจเรามีความสุข ไม่ต่างจากการมีกล้องคู่ใจที่ใช้งานง่ายช่วยให้เรามีความสะดวกสบายยิ่งขึ้นก็เป็นความสุขใจอย่างหนึ่งด้วยเช่นกัน เพราะมีความสําคัญที่ช่วยให้การถ่ายรูปเป็นไปอย่างราบรื่น และเมื่อใดที่ได้เปิดย้อนดูภาพถ่ายเหล่านี้ก็นำพาความทรงจําที่ดีต่างๆ กลับมาให้เราอีกครั้ง
การที่มีกล้องคุณภาพดีๆ มาตอบโจทย์ได้อย่างลงตัวนั้นช่วยเติมความสุขได้ดีในทุกๆวัน และทุกๆครั้งที่เราได้ Snap ภาพเพื่อบันทึกเรื่องราวการเดินทาง… เราเชื่อว่าหากยอมเปิดใจ หรือมีโอกาสได้สัมผัสกล้อง RICOH GR คุณจะได้พบความจริงที่ว่า กล้องตัวนี้สามารถตอบโจทย์ได้อย่างดีเยี่ยม โดยเฉพาะผู้ที่ชื่นชอบสินค้าคุณภาพดีตามสไตล์ญี่ปุ่น ที่แม้ตัวกล้องจะดูมีขนาดเล็กแต่กลับจับได้ถนัดมือมาก ตัววัสดุที่ใช้ก็มีคุณภาพสูงเพียงสัมผัสจะรู้สึกได้ทันทีถึงกระบวนการผลิตที่ทำได้อย่างประณีตมาก นอกจากนี้ยังใช้ระบบประมวลผลการทํางานที่มีประสิทธิภาพสูงที่ส่งผลให้เราถ่ายรูปได้อย่างรวดเร็วทันใจ และที่สําคัญไปกว่านั้นก็คือ ภาพที่ได้มีความสวยงามสามารถแสดงรายละเอียดของสีสันที่งดงามได้อย่างเป็นธรรมชาติ ซึ่งการที่เราจะได้พบกล้องคู่ใจนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย ดังนั้นเราจึงรู้สึกโชคดี และอยากแนะนําให้ทุกๆ ท่านได้รับประสบการณ์ความสุขนี้จากกล้อง RICOH GR เช่นเดียวกับเรา
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านจนถึงตอนนี้หวังว่าเรื่องราวต่างๆ ที่นํามาเล่าสู่กันนั้นมีประโยชน์และทําให้ผู้อ่านทุกท่านมีความสุข
- GRist Snap Thailand official Group
www.facebook.com/groups/GRistSnap - EEPblog
eepblog.com
Info
KAGETU
Website: kagetu.co.jp