สวัสดีค่ะ ฮันนี่นะคะ หลายคนอาจยังจำกันได้จากคอลัมน์ ‘รีวิวการฝังเข็มกับรีวิวนวดบำบัด’ หรือจาก ‘เด็กเส้นตามรอยฯ’ ที่ตอนนั้นฮันนี่ไปตามหาร้านราเมนอร่อยทั่วกรุงเทพฯ กับพี่โย่งใน KIJI ฉบับที่ 8 และ 9 สำหรับใครที่ยังไม่รู้จักฮันนี่มาก่อน ก็ขอสรุปและแนะนำตัวเองสั้นๆ ง่ายๆ ว่า

ฮันนี่เป็นผู้หญิงที่รักอาหารและการกินมาก และมีทัศนคติว่า “ของอร่อยและไม่อร่อยก็มีแคลอรีเหมือนกัน จะต้องเสียเงินซื้อเหมือนกัน” เพราะฉะนั้นฮันนี่จะคิดมากเสมอเรื่องกินที่ต้องควักเงินเดือนที่หามาด้วยน้ำพักน้ำแรง แลกกับหลายคืนที่ต้องนั่งขอบตาคล้ำเป็นหมีแพนด้าปั่นงาน เพื่อไปกินของอร่อย

ฮันนี่กลับมาอีกครั้งใน KIJI ฉบับนี้กับการตามล่าหาร้านซูชิรสชาติต้นตำรับทั่วกรุงเทพฯ แน่นอนว่า ถ้าอยากกินซูชิแบบพรีเมี่ยมทั้งทีก็ต้องไปกินกับเชฟซูชิชาวญี่ปุ่น ถึงจะได้รสชาติขนานแท้ใช่มั้ยล่ะคะ เหมือนเวลาเราอยากกินอาหารไทยรสชาติดั้งเดิมก็ต้องเป็นแม่ครัวพ่อครัวคนไทยปรุงเท่านั้นจึงจะถึงรสถึงเครื่อง

แต่ส่วนใหญ่ร้านที่มีเชฟญี่ปุ่นรังสรรค์ซูชิมักเป็นร้านที่ไปกินแต่ละทีต้องมีแบงก์พันหลายใบโบยบินออกจากกระเป๋าตังค์เลยทำให้ฮันนี่กินซูชิสไตล์นี้ได้ไม่บ่อยเท่าไร แต่ด้วยความอยากกินล้วนๆเป็นแรงผลักดันให้ฮันนี่ตามหาร้านซูชิรสชาติดีในราคาเป็นมิตรต่อกระเป๋าตังค์ โดยไม่ต้องจ่ายแบงก์พันหลายใบในหนึ่งมื้อ เลยเป็นไอเดียที่จะแนะนำเซตและคอร์สซูชิราคาไม่เกิน 1,500 บาท ก่อนรวมค่าบริการและภาษีมูลค่าเพิ่มนะจ๊ะ เพื่อให้ตัวเองและคนอื่นๆ ที่รักซูชิเหมือนกัน ได้ไปทำในสิ่งที่เรารักได้บ่อยขึ้น 🙂


PREMIUM SUSHI IN BANGKOK

by Japanese Chef

เช่นเดียวกับอาหารประเภทอื่นๆ ซูชิก็มีหลายแบบในราคาแตกต่างกันไป ให้ผู้บริโภคอย่างเราๆได้เลือกอร่อยกันตามความพอใจของแต่ละคน แต่ใน KIJI ฉบับนี้ ฮันนี่อยากแนะนำร้านซูชิคุณภาพเยี่ยมในราคาที่เข้าถึงได้ 3 ร้าน กล้ารับรองเลยว่าคุ้มค่าและไม่ทำให้ผิดหวังอย่างแน่นอนค่ะ

 

 

MIZUKOSHI

มิซุโคชิ

แน่นอนว่าร้านซูชิร้านแรกที่ฮันนี่เลือกมาแนะนำและเปิดเรื่อง จะต้องไม่ธรรมดาแน่ เริ่มตั้งแต่การตบแต่งร้านที่ขอบอกเลยว่า เมื่อคุณก้าวเท้าเข้ามาก็เหมือนกับเดินเข้าร้านซูชิญี่ปุ่นขนานแท้ หากถ่ายรูปภายในร้านและอัปพร้อมเช็กอินว่าอยู่ญี่ปุ่น เพื่อนๆคงเชื่อสนิทใจ ร้านมิซุโคชิแห่งนี้ใส่ใจทุกรายละเอียด เพราะเชื่อว่าประสบการณ์การรับประทานอาหารที่ดีและน่าจดจำมีมากกว่าแค่อาหารอร่อยกับบริการยอดเยี่ยม

เราสามารถเลือกนั่งที่เคาน์เตอร์ไม้ที่ทำจากต้นฮิโนะกิขนาดใหญ่อายุกว่าร้อยปีที่มีลวดลายอ่อนช้อยก็ได้ ถ้าใครต้องการความเป็นส่วนตัวก็สามารถนั่งโต๊ะธรรมดาหรือแบบห้องส่วนตัวได้ตามความชอบ ฮันนี่ชอบนั่งตรงเคาน์เตอร์ไม้และชมการปั้นซูชิแบบ Full HD เติมเต็มประสบการณ์และทำให้ซาบซึ้งกับซูชิแต่ละคำที่เรานำเข้าปากมากขึ้น

หัวหน้าเชฟคิมิโนะริ โอะกุมะ (Kiminori Okuma) คือผู้ช่ำชองด้านซูชิและมีประสบการณ์สายตรงด้านอาหารญี่ปุ่นมานานกว่า 40 ปี และเคยเป็นเชฟซูชิให้ร้านอาหารญี่ปุ่นย่านกินซ่านานกว่า 12 ปี ซึ่งย่านนี้ขึ้นชื่อว่าเป็นย่านเศรษฐกิจมั่งคั่ง ทั้งเป็นแหล่งรวมร้านอาหารชั้นนำและหรูหราของญี่ปุ่นอีกด้วย

ซูชิของร้านมิซุโคชิเป็นสไตล์เอะโดะมะเอะซูชิ (Edomae-Sushi) หรือหลายคนอาจรู้จักในฐานะซูชิสไตล์โตเกียว ถือกำเนิดในยุคเอะโดะของญี่ปุ่นหรือช่วง ค.ศ. 1603-1868 สมัยนั้นซูชิจัดเป็นอาหารประเภทฟาสต์ฟู้ดเพราะใช้เวลาปั้นไม่นานและราคาไม่แพง สามารถรับประทานได้ง่ายด้วยมือเปล่า ไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไรมากมาย จึงเหมาะกับวิถีชีวิตและนิสัยคนในสมัยเอะโดะที่ไม่ชอบการรอคอยอะไรนานๆ ซูชิเลยกลายเป็นอาหารที่ได้รับความนิยมมาก

แต่ในปัจจุบันซูชิก็ถูกเลื่อนขั้นจากฟาสต์ฟู้ดมาเป็นไฟน์ไดนิง (Fine Dining) แต่วัฒนธรรมซูซิที่ถูกมองว่าเป็นอาหารฟาสต์ฟู้ดยังถูกพบเห็นได้ในรูปแบบร้านซูชิสายพานและร้านซูชิเล็กๆทั่วประเทศญี่ปุ่นรวมถึงในร้านอาหารญี่ปุ่นต่างๆทั่วโลกอีกด้วย

ไหนๆ ก็พูดถึงซูชิแบบไฟน์ไดนิงแล้วก็ต้องพูดถึง Dinner Special Set 1,500 บาท เซตซูชิสุดคุ้มครบเครื่องของทะเลชั้นดีจากท้องทะเลญี่ปุ่นที่ถูกคัดสรรและรวบรวมไว้ในเซตนี้เสิร์ฟพร้อมกับซุปมิโซะ ขอเริ่มจากการแนะนำพระเอกของเซตอย่างปลาฮมมะกุโระ (Bluefin Tuna) กันก่อนเลย

ปลาสายพันธุ์นี้ถูกขนานนามว่าเป็นราชันย์แห่งปลามะกุโระ ทั้งเรื่องขนาดตัวที่ใหญ่และปริมาณไขมันแทรกในเนื้อมีมากกว่าสายพันธุ์อื่นๆ ถือไขมันเป็นปัจจัยหลักในการกำหนดราคาประมูลซื้อขายปลามะกุโระ ยิ่งมีไขมันมากเท่าไรปลาตัวนั้นยิ่งราคาแพงขึ้นตามไปด้วย

ในเซตซูชิมื้อเย็นสุดพิเศษนี้มีเนื้อจากทั้งสามส่วนสำคัญของปลามะกุโระให้ได้อร่อยกัน ตั้งแต่โอะโตะโระ (เนื้อส่วนหน้าท้อง) ปกติถ้าเอามาทำซูชิหนึ่งคำก็ราคาหลายร้อยบาทแล้ว และชูโตะโระ (เนื้อส่วนแก้ม) ซึ่งปลาฮมมะกุโระหนักกว่าหนึ่งร้อยกิโลกรัมจะมีเนื้อส่วนแก้มไม่กี่กิโลกรัมเท่านั้น แล้วก็ส่วนอะกะมิ (ส่วนเนื้อแดง) ส่วนนี้เป็นกล้ามเนื้อปลาที่ใช้ในการว่ายน้ำ เลยเป็นเนื้อแดงล้วน ไร้มัน กินง่ายไม่เลี่ยน

 

 

นอกจากเนื้อปลาฮมมะกุโระแล้ว ในเซตยังมีปลาคัมปะจิเนื้อแน่นสีขาวอมชมพูกับปลาแซลมอนนอร์เวย์รวมอยู่ในหมวดปลาของเซตนี้ด้วย ถัดจากปลาฮมมะกุโระแล้วยังมีหน้าไข่หอยเม่น (Bafun Uni) ที่มีราคาสูงที่สุดพันธุ์หนึ่งในโลก ของดีส่งตรงจากจังหวัดฮอกไกโด และหน้าไข่ปลาแซลมอนเม็ดสีส้มแสดสดใสที่สดเด้งทุกเม็ด ไม่มีกลิ่นคาวและปรุงรสได้เค็มกำลังดี ถือว่าเป็นอีกสองหน้าไฮไลต์ในเซตนี้

จุดเด่นอื่นๆนอกจากหน้าของทะเลแล้ว ยังมีข้าวสำหรับทำซูชิที่ต้องนำเข้าจากจังหวัดอิบะระกิของญี่ปุ่นเท่านั้น และขิงดองที่ทางร้านลงทุนซื้อขิงมาดองเอง เพื่อให้ได้รสชาติกลมกล่อม เช่นเดียวกับโชยุสูตรเฉพาะปรุงรสด้วยปลาแห้ง สาเก และคมบุเองเหมือนกัน

ร้านมิซุโคชิยังมีอีกหนึ่งเมนูที่ฮันนี่อยากแนะนำให้ทุกคนลองสั่งมากิน แม้ไม่ได้มีแค่ซูชิอย่างเดียวเหมือนเมนูอื่นๆที่ฮันนี่เลือกมานำเสนอ แต่ขอบอกเลยว่าโกะโชะกุรุมะ เบ็นโตะ (Goshokuruma Bento) 1,480 บาท เป็นอีกหนึ่งเมนูที่ไม่ควรพลาดเหมือนกัน เพราะเป็นเบ็นโตะแบบจำลองรถลากญี่ปุ่นดั้งเดิมที่มีความอร่อยแตกต่างกันถึงสามชั้น

เริ่มจากชั้นแรกที่เป็นชั้นกับแกล้มและของกินเล่น มีทั้งกุ้งตัวใหญ่ชุบแป้งทอดปลาหมึกย่างทาไข่แดง เนื้อหอยลายลวกราดซอสมิโซะเปรี้ยว ไข่ม้วน ถั่วเอะดะมะเมะต้ม เบคอนพันหน่อไม้ฝรั่ง และปลาอินทรีหมักย่างซอสมิโซะด้วยวิธีใช้ผ้าคั่นระหว่างมิโซะกับเนื้อปลา เพื่อไม่ให้หนังปลาติดกับมิโซะและไหม้ไฟง่ายเวลาย่างเนื้อปลาอินทรีจึงมีกลิ่นหอมและรสชาติของมิโซะที่หมักเข้าเนื้อจนเป็นเมนูขึ้นชื่อที่ทางร้านภาคภูมิใจ ส่วนชั้นที่สองก็มีบุตะโชงะ (Buta Shoga) เนื้อหมูนุ่มลิ้นผัดซีอิ๊วญี่ปุ่นและขิงเคียงกับสลัดผักออร์แกนิกหลากสี และชั้นสุดท้ายคือซูชิและมะกิต่างๆ มีทั้งหน้าอะกะมิ ทะโกะ แซลมอน คัมปะจิและมะกิแตงกวาญี่ปุ่นสดหวานกรอบ

 

ร้านมิซุโคชิแบ่งเวลาเปิดร้านออกเป็นสองช่วง คือช่วงมื้อกลางวันและช่วงมื้อเย็น ถ้าใครสนใจเมนู Dinner Special Set และโกะโชะกุรุมะ เบ็นโตะ ก็สามารถมาได้ทั้งสองช่วงเวลาเลย แต่ฮันนี่แนะนำให้มาช่วงมื้อเย็นดีกว่า เพราะจะมีชาซากุระร้อนจากซากุระเต็มดอกดองเกลือ เมื่อเทน้ำร้อนลงไป ดอกซากุระสีชมพูอ่อนๆจะเบ่งบานอีกครั้งที่ก้นถ้วย ให้รสชาติเค็มอ่อนๆ เหมาะเป็นเครื่องดื่มคู่กับซูชิไว้คอยบริการฟรีให้ลูกค้าด้วย
 
_
 
Tell: 087-646-3939
Address: 2F Room, L2/10-11 Rain Hill Sukhumvit 47 Rd.
Opening Hours: 11:00-14:00, 17:00-22:30 (L.O.22:00) Closed: Thu.
 
 
 
Sushi Fact → เนื้อปลาซูชิยิ่งสดยิ่งดีงั้นเหรอ?

คนส่วนใหญ่มักจะเข้าใจว่า ความสดของวัตถุดิบคือหัวใจสำคัญของซูชิ และมีภาพเชฟจับปลาเป็นๆ มาวางบนเขียงแล้วแล่เนื้อเป็นชิ้นๆ ขณะยังดิ้นสะบัดหางเพื่อทำซูชิกันเลยทีเดียว
 
แต่ความจริงแล้ว เนื้อปลาบางชนิดอย่างเช่นปลามะกุโระ จะต้องผ่านการบ่ม (Aging) ซึ่งอาจกินเวลานานถึงสองสัปดาห์ก่อนนำมาทำเป็นซูชิได้ ทั้งนี้เพื่อให้เนื้อปลาแห้ง ไม่แฉะ ไม่เละ และได้รสชาติที่ดียิ่งขึ้น เนื่องจากในเนื้อปลาสดๆ จะมีน้ำอยู่มากเกินไป หากนำมาปั้นบนข้าวซูชิอุ่นๆเนื้ออาจจะเละและยังทำให้ข้าวแฉะอีกด้วย

 

 

ENDO SUSHI

เอ็นโด ซูชิ
 
ร้านเอ็นโดซูชิเจ้าเก่าแก่จากตลาดปลาโอซาก้าที่มีประวัติยาวนานกว่าร้อยปี เริ่มต้นจากการเป็นเพียงร้านอาหารเล็กๆที่ใช้วัตถุดิบคุณภาพดีและสดใหม่เสมอ จนเป็นที่ถูกอกถูกใจเหล่าลูกค้าที่ได้ลิ้มลองซูชิร้านนี้ แม้เวลาผ่านไปนานและผู้ดูแลร้านตอนนี้คือทายาทรุ่นที่ 4 แล้ว ก็ยังคงรักษารสชาติอันเป็นเอกลักษณ์และคุณภาพความสดใหม่ของวัตถุดิบที่ใช้ได้ไม่เปลี่ยนแปลง ด้วยความใส่ใจและพิถีพิถัน จึงมีร้านเอ็นโดซูชิเพียงสองสาขาในโอซาก้าเท่านั้น และสาขาที่ประเทศไทยถือเป็นสาขาแรกและสาขาเดียวในต่างประเทศอีกด้วย
 
Sushi Jo-Maze Set เซตซูชิพรีเมี่ยมที่มีให้เลือกถึง 5 เซต ในราคาเซตละ 480 บาทเท่ากัน แต่ละเซตจะมีซูชิถึง 5 หน้า สองเซตโปรดที่ฮันนี่มักสั่งเป็นประจำคือ Aburi Set และ Set A เหตุผลก็ไม่มีอะไรมากเลย แค่เพราะว่า ‘อร่อย’ อันที่จริงสั่งมารับประทานแค่สองเซตก็อิ่มกำลังดีแล้วละค่ะ แต่ถ้าใครยังไม่อิ่มก็สามารถสั่งเซตที่สามเพิ่มได้อีกด้วย ราคาทั้งสามเซตรวมกันแล้วยังอยู่ในงบหนึ่งพันห้าร้อยบาทอยู่เลย
 
เมนู Set A จะเป็นเซตรวมซูชิหน้าของทะเลสด ขณะที่เมนู Aburi Set จะเป็นเซตรวมหน้าปลาทะเลที่ค่อนข้างมีไขมันในเนื้อปลาอยู่แล้ว อย่างปลาไหลอุนะงิ ปลาชิเมะซาบะ เอ็งงะวะ และปลาแซลมอนพร้อมหอยโฮะตะเตะที่ทุกคำผ่านการลนไฟมาแล้ว เมื่อถูกไฟไขมันในเนื้อปลาทั้งหลายจะละลายและส่งกลิ่นหอมมากขึ้นขณะที่ผิวหน้าของเนื้อปลาเริ่มเกรียมนิดๆ
 
ส่วนใน Set A ประกอบด้วยซูชิหน้าปลาไหลอะนะโงะ หน้าไข่หอยเม่นหน้าเอ็งงะวะ หน้าโทะโระ และปลาฮะมะจิ ยิ่งใครชอบกินปลามะกุโระละก็ ไม่ควรพลาดซูชิจากปลามะกุโระของร้านเอ็นโดซูชิเป็นอันขาด ปลาร้านนี้พิเศษมากตรงที่เป็นปลาอินโดมะกุโระที่ไม่ได้ส่งตรงจากประเทศญี่ปุ่นหรือสเปน แต่กลับมาจากประเทศอินโดนีเซียนี่เอง
 
ก่อนหน้าที่ฮันนี่จะรู้จักร้านเอ็นโดซูชิ ก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าประเทศอินโดนีเซียเป็นแหล่งส่งออกปลามะกุโระชั้นดี ในการประมูลราคาปลามะกุโระบางครั้ง จะมีปลาอินโดมะกุโระบางตัวราคาสูงกว่าปลาฮมมะกุโระอันโด่งดังเสียอีก ความพิเศษที่ทำให้ปลาอินโดมะกุโระแตกต่างจากปลาฮมมะกุโระอย่างชัดเจนที่สุดคือ สัมผัสของเนื้อปลาจะมีความแห้งและเฟิร์ม โดยเฉพาะส่วนอะกะมิที่ฮันนี่ว่าอร่อยกว่าปลาฮมมะกุโระเสียอีก เนื้อจะไม่เปียกหรือฉ่ำเยิ้มจนค่อนไปทางเละเลยและก็หารับประทานได้ยากมาก
 
เท่าที่ฮันนี่รู้จักในตอนนี้ก็น่าจะมีแค่ร้านเอ็นโดซูชิ ร้านเดียวเท่านั้นในกรุงเทพฯ ที่เสิร์ฟปลามะกุโระชนิดนี้ ถ้าใครยังไม่ค่อยเข้าใจที่ฮันนี่อธิบายก็ขอแนะนำให้มาลองชิมด้วยตัวเองจะดีที่สุด ฮันนี่ก็เป็นคนหนึ่งแหละที่คิดว่า สิบรีวิวหรือจะสู้หนึ่งลิ้นของเราชิมเองใช่ไหมล่ะคะ

 

อีกหนึ่งเรื่องที่ฮันนี่คิดว่าควรบอกก่อนไปรับประทานที่ร้านนี้คือ ร้านนี้ไม่มีถ้วยน้ำจิ้มโชยุให้ลูกค้านะจ๊ะ แต่จะมีแผ่นป้ายอธิบายวิธีกินซูชิให้อร่อยแบบร้านเอ็นโดซูชิ โดยมีถ้วยใส่โชยุและแปรงหนึ่งด้ามจุ่มอยู่ให้แทน
 
เวลาจะกินต้องนำแปรงชุ่มโชยุมาทาซูชิทีละชิ้นและกินซูชินั้นให้หมดในคำเดียว เมื่อขนแปรงสัมผัสกับหน้าซูชิ รสชาติและไขมันจะติดกับขนแปรงขึ้นมา พอเราจุ่มแปรงลงในถ้วยอีกครั้งความอร่อยของเนื้อปลาก็ผสมกับโชยุที่เหลือ ยิ่งเราใช้แปรงโชยุทาซูชิมากเท่าไร รสชาติของโชยุในถ้วยก็จะเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเคล็ดลับเฉพาะของร้านเอ็นโดซูชิที่มัดใจลูกค้าไว้ได้นั่นเอง
 
_
 
Tell: 02-712-5211
Address: 2F The Taste Thonglor, Soi Thong Lo 11, Sukhumvit 55 Rd.
Opening Hours: 11:30-14:00 (L.O.13:30), 17:30-22:30 (L.O.22:00)  Closed: Mon.
 
 
 
Sushi Fact → นั่งกินซูชิที่ไหนดีที่สุด?

อันที่จริง ไม่ว่าจะนั่งตรงบริเวณไหนในร้าน เราก็สามารถสั่งซูชิมากินได้ ทั้งเคาน์เตอร์บาร์ โต๊ะธรรมดา ห้องส่วนตัวหรือแม้แต่บนเพดาน ถ้าหากร้านอนุญาตและไม่รบกวนลูกค้าคนอื่นๆ ก็ไม่ใช่เรื่องผิดหรือมีกฎข้อห้ามใดๆ ในการเลือกที่นั่ง
 
แต่ถ้าพูดในแง่ของเรื่องรสชาติแล้ว การนั่งที่เคาน์เตอร์บาร์แล้วกินซูชิให้เร็วที่สุดหลังปั้นเสร็จจะดีที่สุด เนื่องจากรสชาติของซูชิจะเปลี่ยนไปตามอุณหภูมิของข้าวและเนื้อปลา การที่พนักงานต้องรอให้ซูชิปั้นเสร็จทุกคำแล้วค่อยยกมาเสิร์ฟที่โต๊ะของเรา อุณหภูมิของข้าวก็จะลดลงตามไปด้วย ซึ่งอาจส่งผลต่อรสชาติซูชิได้

 

 

SUSHI CYU & CARNIVAL YAKINIKU

ซูชิชู แอนด์ คาร์นิวัล ยากินิคุ
 
ร้านซูชิชูตบแต่งภายในร้านด้วยสไตล์ญี่ปุ่นดั้งเดิม ทำให้บรรยากาศมีความเป็นส่วนตัวและเงียบสงบจนเป็นเอกลักษณ์ แม้เราไม่ได้เลือกนั่งในห้องส่วนตัวห้องใดห้องหนึ่งก็ตาม ร้านนี้เหมาะกับคนที่ชอบบรรยากาศส่วนตัวแบบอบอุ่นเป็นกันเอง และมีเพียงสองสาขาในกรุงเทพฯ คือที่ Ei8ht Thonglor กับ All Seasons Place
 
สาขาในลิสต์ของฮันนี่ครั้งนี้คือสาขาทองหล่อที่เปิดบริการตั้งแต่ปี ค.ศ. 2008 และไม่ได้มีดีเพียงซูชิเท่านั้น ถ้าดูจากชื่อเต็มๆก็คงรู้แล้วว่า ยะกินิกุที่นี่ก็เด่นและเด็ดไม่แพ้ซูชิเหมือนกัน ถ้ามาที่นี่ก็สามารถเลือกกินทั้งสองอย่างได้โดยไม่ต้องรักพี่เสียดายน้องเลย แต่เนื่องจาก KIJI ฉบับนี้เป็นเรื่องราวของซูชิ เราเลยจะขอโฟกัสไปที่ซูชิก่อนนะคะ

 

 

ฮันนี่เลือกสองเมนูมาแนะนำกัน เมนูแรกที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือชุด Omakase กลางวันสุดคุ้มในราคาเพียง 1,490 บาทเท่านั้น ใช่แล้วค่ะ เราสามารถเลือกนั่งหน้าเคาน์เตอร์บาร์ซูชิ ชมเชฟปั้นซูชิเพลินๆ และกิน Omakase แบบคำต่อคำ ด้วยของทะเลดีๆ นำเข้าโดยตรงจากตลาดปลาสึกิจิในงบพันห้าได้จริงๆ
 
โดยเชฟชาวญี่ปุ่นและเชฟชาวไทยที่มีประสบการณ์ทำงานในร้านอาหารญี่ปุ่นมากว่า 17 ปี และเป็นเชฟร้านซูชิชูแห่งนี้กว่าอีก 8 ปีด้วย ลูกค้าสามารถรีเควสต์ได้ด้วยว่าอยากกิน Omakase กับเชฟท่านไหนแต่ควรโทรมาสำรองที่นั่งและจองตัวเชฟล่วงหน้านะจ๊ะจะได้ไม่ต้องรอคิวนานๆ หรือมารู้ทีหลังว่าเชฟคนที่เราชอบหยุดงานวันที่เราจะไปพอดี
 
เรื่องคุณภาพและความสดก็หายห่วงได้เลย เพราะวัตถุดิบจากทะเลส่วนใหญ่ทางร้านซูชิชูจะนำเข้าสัปดาห์ละ 3 ครั้งจากญี่ปุ่น ทุกวันอังคาร วันศุกร์ และวันอาทิตย์ สำหรับของทะเลต่างๆในเซต Omakase มักผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกัน เชฟจะเลือกเฉพาะของดีที่สุดตามแต่ละฤดูกาลมาใช้ในร้านเท่านั้น จะไม่นำของทะเลที่ไม่สดมาเสิร์ฟบนโต๊ะลูกค้าเด็ดขาด
 
ด้วยคำว่า ‘ชู’ (Cyu) ในชื่อร้านที่แปลว่า ‘ความซื่อสัตย์’ ร้านนี้จึงยึดถือเป็นปรัชญาในการดำเนินธุรกิจว่า จะซื่อตรงต่อลูกค้าเสมอ ทั้งในเรื่องอาหารและบริการ ทำให้ทั้งคนญี่ปุ่นและคนไทย หรือแม้แต่ดาราดังและคนที่มีชื่อเสียงกลายเป็นลูกค้าขาประจำของร้าน

 

 

หากใครมีงานรัดตัวจนไม่มีเวลาว่างมานั่งกินซูชิ Omakase ในช่วงกลางวันก็ไม่ต้องเสียใจไปนะคะ เพราะฮันนี่มีอีกหนึ่งเมนูสำหรับมื้อเย็นเอาใจคนที่มีเวลาว่างช่วงเย็นมาแนะนำด้วย ถึงเมนู Nigiri Toku (ข้าวปั้นหน้าปลาดิบอย่างดี) จะไม่ใช่ Omakase ก็ตาม แต่ยังเป็นเซตที่อัดแน่นด้วยของทะเลจากตลาดปลาสึกิจิเหมือนกัน
 
ไม่ว่าจะเป็นหน้าปลามะกุโระ ปลาไหล อิกุระ โฮะตะเตะ และหน้าอื่นๆอีก และวะซะบิของร้านก็มีความพิเศษเฉพาะตัว โดยนำวะซะบิญี่ปุ่นสองชนิดมาบดรวมกัน เพื่อให้กลิ่นฉุนกำลังดีและรสเผ็ดกลมกล่อมเหมาะกินคู่กับซูชิทั้งหมดเก้าคำและอีกหนึ่งมะกิในเซตนี้เซตเดียว ในราคาเพียง 1,150 บาท
 
หรือถ้าใครอยากสั่ง Omakase มื้อเย็นมากินก็ได้นะคะ เพราะร้านซูชิชูมีบริการ Omakase ในช่วงเย็นเหมือนกันแม้ราคาสูงกว่าเซตมื้อกลางวันเล็กน้อย แต่ยังคงความคุ้มค่าสมราคาเช่นเดียวกัน เสียดายที่ฮันนี่ไม่ได้แนะนำ Omakase มื้อเย็นในครั้งนี้ด้วย เพราะราคาเกินงบประมาณที่ฮันนี่ตั้งเอาไว้ไปนิดหนึ่งเท่านั้นเอง
 
_
 
Eight Thonglor
Tell: 02-713-8312
Address: 2F Eight Thonglor, Soi Thong Lo 8
Opening Hours: Mon-Fri 11:30-14:00 (L.O.13:45), 18:00-22:30 (L.O.22:00) Sat-Sun-Holiday 11:30-22:00 (L.O.21:30)
All Seasons
Tell: 02-251-1995
Address: All Seasons Place, Wireless Rd.
Opening Hours: Mon-Fri 11:30-14:00, 18:00-22:30 (L.O.22:00) Sat-Sun-Holiday 11:30-14:00, 17:30-22:00 (L.O.21:30)

 

ติดตามร้านซูชิ พรีเมียม อีก 3 ร้านที่เหลือได้ที่นี่

LIKE & SHARE

ชอบเรื่องนี้จนต้องบอกต่อ