Paradise Ishigaki ใต้สุดเขตร้อนโอะกินะวะ [EP.3]: นั่งเกวียนชมวิว ล่องเรือชมปลา
รับลมทะเลเย็นฉ่ำสดชื่น ฟังเสียงวาฬพ่นน้ำ ยืดเหยียดแขนขาในน้ำใสกลางฝูงปลาหลากสี เขย่งปลายเท้าบนหาดทรายรูปดาว ดื่มด่ำช่วงเวลาของการนั่งเกวียนเทียมควายพร้อมฟังเสียงดีดซันชิน สัมผัสวัฒนธรรมริวกิวแท้ ที่ ‘อิชิงะกิ’ เกาะทางตอนใต้สุดของโอะกินะวะ ประเทศญี่ปุ่น
นั่งเกวียนชมวิว นั่งเรือชมปลา ⇒
เราตื่นนอน อาบน้ำแต่งตัวกันแต่เช้า เสร็จแล้วจึงพากันลงมาที่ล็อบบี้ อาหารรับวันใหม่คือเมนูข้าวปั้นฝีมือเชฟของโรงแรม ซึ่งปั้นกันสดๆแล้วเสิร์ฟตรงนั้นเลย แถมลูกค้าที่มาพักสามารถเลือกไส้ข้าวปั้นได้ตามใจชอบอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นไส้บ๊วย ไส้สแปม ไส้มิโซะ ฯลฯ ไส้ที่อยากแนะนำคือ ไส้สแปม เพราะว่าอร่อยจริงๆ
เราเคยพบเจอว่าที่เกาหลีใต้ก็มีวัฒนธรรมการกินสแปมกระป๋องเช่นเดียวกัน แต่ที่ญี่ปุ่น เชฟใช้สแปมปรุงเป็นเมนูอาหารที่แตกต่างกัน แม้ว่าจะเป็นสแปมยี่ห้อเดียวกัน แต่เรากลับชอบใจกับวิธีการนำสแปมมาทำอาหารของโอะกินะวะมากกว่า สาเหตุที่โอะกินะวะกับเกาหลีใต้มีวัฒนธรรมการกินสแปมกระป๋องเหมือนกัน เพราะว่าในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ทหารอเมริกันเคยยกพลขึ้นบกสองแผ่นดินนี้ แล้วนำเจ้าเนื้อกระป๋องที่ว่าติดมาด้วยนั่นเอง
หลังกินข้าวเสร็จ การผจญภัยก็เริ่มขึ้น เราใช้เวลา 5 นาทีเดินจากโรงแรมไปถึงท่าเรือ ที่นั่นมีเจ้าหน้าที่ชาวต่างชาติจากบริษัททัวร์ที่เราซื้อทริปไว้ คอยอธิบายรายการท่องเที่ยวอย่างละเอียดเป็นภาษาอังกฤษตรงเคาน์เตอร์ (ดีต่อใจมาก) ทัวร์ของญี่ปุ่นในครั้งนี้ทำให้เราได้รู้จักทัวร์รูปแบบใหม่ ซึ่งไม่มีหัวหน้าคอยนำทัวร์เหมือนทั่วๆไป แต่บริษัททัวร์จะให้ชุดตั๋วสำหรับค่าใช้จ่ายทั้งหมดตามโปรแกรมที่เราเลือกทัวร์
นอกจากจะหมดห่วงเรื่องตั๋วแล้ว ยังสบายใจเรื่องตกรถตกราด้วย (คงไม่สนุกแน่ๆถ้าหลงบนเกาะ) เพราะแต่ละที่ที่เราไป จะมีคนคอยแจ้งเวลาและสถานที่ตามโปรแกรมที่เราเลือก ซึ่งในวันนี้เราจะเริ่มต้นด้วยการล่องเรือชมป่าชายเลน ป่าชายเลนเหมือนกับเมืองไทยทุกประการ เพียงแต่ชนิดของต้นไม้ก็จะเปลี่ยนไปบ้าง เป็นพันธุ์ที่ไม่เคยเห็นในเมืองไทย จากนั้นเราจึงขึ้นรถไปนั่งเกวียนเทียมควายที่จอดรออยู่
น้องควายของที่นี่ แม้มีสปีชีส์เดียวกับน้องควายบ้านเรา แต่ก็ไม่ได้เหมือนกันเป๊ะเสียทีเดียว เพราะควายแดนใต้ของโอะกินะวะดูจะอวบอ้วนสมบูรณ์ ขนตางอนยาว และเขายาวใหญ่
คนบังคับเกวียนชาวท้องถิ่นของที่นี่เล่าให้ฟังว่า ควายเหล่านี้อยู่กันเป็นครอบครัว นี่คือควายเจนเนอเรชั่นที่สามแล้ว คนเรามีธุรกิจแบบรุ่นสู่รุ่น ควายโอะกินะวะเองก็เช่นเดียวกัน เราสามารถเห็นภาพควายรุ่นปู่ ทำงานคู่กับควายรุ่นหลาน อายุไขเฉลี่ยของพวกมันอยู่ที่ 30-40 ปี มีหน้าที่หลักคือ ลากเกวียนลุยน้ำโคลนตื้นๆ ไปกลับระหว่างเกาะยุบุ (Yubu Island) เป็นระยะทางสั้นๆ ใช้เวลาประมาณ 15 นาที/รอบ วันหนึ่งหลายรอบหน่อย เกวียน 1 เล่ม บรรจุผู้โดยสารได้ประมาณ 10 คน ทั้งนี้ก็เพื่อไม่ให้น้องควายต้องรับน้ำหนักมากจนเกินไป
พวกมันถูกฝึกให้ทำงานมาตั้งแต่อายุสิบกว่าปี แถมยังได้รับการดูแลอย่างดี ให้ควายแช่น้ำ อาบน้ำ ทำความสะอาดจนไม่มีกลิ่นเหม็นสาบเลย บางครั้งในระหว่างทำงาน น้องควายของเราก็เกิดอาการอยากปล่อยหนัก คนขับเขาจะรู้แล้วเปิดแผ่นไม้ออกมาบังก้นน้องควายให้พ้นจากสายตานักท่องเที่ยว เราก็เลยได้ยินแต่เสียงเหมือนของหนักๆร่วงลงน้ำดัง ‘ต๋อม’ เท่านั้น ฮ่า~
เสร็จกิจธุระส่วนตัวของน้องควายแล้ว พวกมันก็ลากเกวียนของเรามุ่งหน้าฝ่าโคลนตื้นพาไปยังเกาะเล็กๆที่ชื่อยุบุค่ะ เกาะแห่งนี้ ในอดีตคนจากเกาะทะเกะโตะมิ (Taketomi Island) และคุโระชิมะ (Kuroshima Island) ที่อยู่ใกล้เคียง เคยอพยพมาตั้งรกรากที่นี่ พวกเขาใช้ควายน้ำทำเกษตรเป็นหลัก ช่วยให้เกาะยุบะพัฒนาและเจริญรุ่งเรืองขึ้นเป็นอย่างมาก จนถึงกับมีคำกล่าวที่ว่า “มีควายสองตัวแค่ 2 ตัว ก็ปลูกบ้านได้แล้ว”
ในปี ค.ศ. 1955 มีการบันทึกไว้ว่า เกาะแห่งนี้เจริญรุ่งเรืองมาก ถึงขนาดที่บ้านแต่ละหลังจะต้องมีควายอย่างน้อย 1 ตัวเลยทีเดียว แต่ในปี ค.ศ. 1969 เกาะนี้กลับได้รับผลกระทบร้ายแรงจากพายุไต้ฝุ่น คนบนเกาะแทบทั้งหมดจึงอพยพไปยังเขตมะอิฮะระ (Maihara) บนเกาะอิริโอะโมะเตะ (Iriomote Island) ซึ่งเป็นดินแดนที่อยู่ตรงข้ามกับเกาะนี้แทน
ถึงอย่างนั้น คุณตาเซจิ อิริโอะโมะเตะ (Seiji Iriomote) และภรรยา กลับไม่ยอมอพยพไปด้วย พวกเขาอยากจะพัฒนาเกาะแห่งนี้ให้กลับมาสวยงามดุจสวรรค์บนดินอีกครั้ง ด้วยการปลูกไม้เมืองร้อนต่างๆ โดยมีควายเพียงตัวเดียวคอยช่วยเหลือ ต้นปาล์ม ต้นไม้ต่างๆ รวมถึงดอกไม้เมืองร้อนหลายชนิดที่พากันบานสะพรั่ง จนทำให้แทบทั้งเกาะเขียวชอุ่มอย่างที่เห็นในปัจจุบันนี้ คือผลลัพธ์ของความตั้งใจและทุ่มเทของคุณตาคุณยายนั่นเองค่ะ
เรานั่งเกวียนซึมซับบรรยากาศกันจนถึงมื้อกลางวัน ห้องอาหารบนเกาะยุบุติดแอร์เย็นฉ่ำอย่างดี อาหารมาเป็นเซ็ตข้าวกล่องของแต่ละคน ข้างในประกอบด้วยกับข้าวสไตล์โอะกินะวะแท้ที่มีวัตถุดิบหลายชนิด ซึ่งอร่อยทุกอย่างเลยจริงๆ พนักงานช่วยจัดที่นั่งให้แขกแต่ละคนอย่างเป็นระเบียบและรวดเร็ว ใครมาสองคนก็ให้นั่งหนึ่งโต๊ะ ใครมาสามคนก็นั่งอีกหนึ่งโต๊ะ ไม่ต้องปะปนกัน
เกือบลืมไปเลยค่ะ จุดที่สวยงามอีกแห่งบนเกาะแห่งนี้คือ “แหลมปลากระเบน” ที่สามารถชมวิวทะเลได้ 180 องศา มีเปลให้นอนเล่นรับลมและไอแดด และมีร้านกาแฟเล็กๆน่ารักคอยบริการด้วย
ก่อนขึ้นเกวียนเทียมควายกลับ ชายหนุ่มชาวโอะกินะวะคนขับเกวียนขามา ช่วยอาสาถ่ายรูปให้พวกเรากับน้องควายอย่างเป็นมิตร น้องควายเองก็ให้ความร่วมมืออยู่ไม่น้อย พอเก็บรูปจนเป็นที่น่าพอใจ เราจึงพากันขึ้นเกวียนเดินทางกลับ
ขณะที่ล้อเกวียนหมุนไปตามแรงลาก คุณลุงคนขับก็ชวนให้พวกเราร้องเพลงด้วยกัน โดยให้แหงนหน้าดูเนื้อเพลงที่แปะอยู่บนเพดาน แม้พวกเราจะอ่านไม่ออก แต่การฟังคุณลุงกับนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นบางคนที่ได้มาร่วมทริปร้องเพลงกัน ก็ให้ความรู้สึกดีไม่น้อยเลย เพลงที่พวกเขาร้องนั้น เต็มไปด้วยกลิ่นอายของโอะกินะวะมากเลยค่ะ คล้ายกับความรู้สึกเวลาฟังเพลง Nada Sou Sou ของนะสึกะวะ ริมิ (Natsuwaka Rimi) ฟังแล้วน้ำตาแทบไหลเลยทีเดียว
เกวียนมาส่งเราถึงท่าเรือ เพื่อขึ้นไปทำกิจกรรมต่อไป แวบแรกที่เห็น เรือมีขนาดใหญ่แต่ดูโทรมเล็กน้อย เราสงสัยกันว่านี่จะใช่เรือท้องกระจกหรือเปล่าหนอ หรือว่าต้องไปลงเรือลำเล็กต่ออีกที คุณลุงเจ้าหน้าที่พนักงานบนเรือเดินมาบอกว่าแกพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้ แต่ถึงอย่างนั้นภาษาอังกฤษของลุงก็เข้าใจง่ายและไม่ตกหล่นบกพร่องเลย เราสัมผัสได้ถึงจิตใจบริการและความรักในงานของแกเองได้อย่างเต็มเปี่ยม
เมื่อเรือแล่นออกไปสักพัก คุณลุงก็ให้พวกเราทั้งหมด (ซึ่งก็มีกันแค่ 8 คนเท่านั้นเอง) ลงไปข้างล่างคล้ายส่วนท้องเรือ พวกเรานั่งลงกันบนเบาะยาวตรงกลางลำ ทันใดนั้น ด้านข้างของเรือก็ค่อยๆเลื่อนลง เผยให้เห็นภาพน้ำทะเลใสเพิ่มระดับสูงขึ้นผ่านกระจกด้านข้าง จากนั้นมวลหมู่ปะการังและปลาหลายชนิดก็ปรากฏอยู่รอบๆ โอ้โฮ… หากคุณเคยดูการ์ตูนดิสนีย์เรื่องเงือกน้อยผจญภัย ก็อาจจะพอเห็นภาพที่ปลาน้อยใหญ่ร้องเพลงอยู่รอบตัวเราได้อย่างชัดเจน แถมเรือยังเปิดเพลงธีมดิสนีย์บิลท์อารมณ์ให้สนุกสนานและสดใสกันสุดๆ เหมือนอยู่ในโลกจินตนาการจริงๆ ค่ะ
(อ่านต่อ EP.4: บอกเล่ามุมน่าเที่ยว คลิก)