Bungotakada : ตามรอยภาพยนตร์ ‘ปาฏิหาริย์ร้านชำของคุณนามิยะ’ ที่บุงโกะทาคาดะ
Bungotakada
Showa Retro Town – Bungotakada
ออกเดินทาง
“อยากไปในที่ที่คนยังไม่ค่อยรู้จัก และตรงกับความสนใจของเรา” คือความตั้งใจของฉันและน้องสาว เมื่อคิดถึงเรื่องการเดินทางไปฟุกุโอกะในครั้งนี้
ขณะที่กำลังเสิร์ชหาข้อมูลสำหรับทริปบนอินเตอร์เน็ต สายตาของฉันก็ไปสะดุดพบชื่อเมือง “บุงโกะทาคาดะ (Bungotakada)” ในจังหวัดโออิตะโดยบังเอิญ ช่างเป็นเมืองที่ชื่อยาวและไม่คุ้นหูเอาเสียเลย แต่สิ่งที่ทำให้เราตกลงใจว่าจะไปที่นี่โดยไม่ลังเลก็คือ เขาบอกว่าเมืองนี้เป็น Showa Retro Town (สมัยโชวะ ครอบคลุมตั้งแต่ช่วง ค.ศ.1926-1989) พูดให้นึกภาพง่ายๆ ก็คือยุคแฟนฉันของคุณปู่คุณย่า คุณตาคุณยาย พ่อแม่ และก็เด็กยุค 90 นั่นเอง ไม่รอช้าเราจัดการจองตั๋ว Northern Kyushu JR Pass* และจับรถไฟไปลงที่ Usa Station (อ่านว่า อุสะ ไม่ใช่ยูเอสเอนะ) ในวันที่สองของการเดินทาง สถานีอุสะอยู่ก่อนถึงสถานีเบปปุที่คนไทยรู้จักเป็นอย่างดีแค่ไม่กี่สถานีเท่านั้น
สถานีรถไฟอุสะ (Usa Station)
เมื่อลงมาจากรถไฟและออกมาหน้าสถานีแล้วเราก็พบกับ…ความเวิ้งว้าง
ไร้วี่แววของเมืองโชวะเรโทรโดยสิ้นเชิง เบื้องหน้าเราคือคิวแท็กซี่เล็กๆ ที่มีคุณลุงคนขับรอรับผู้โดยสารอยู่สองคน เบื้องหลังคือกลุ่มบ้านเรือนอันเงียบเหงา ลิบๆ นั่นคือทุ่งนาและทิวเขา ฉันกับน้องถึงกับหันมามองหน้ากัน
“นี่เรามาถูกที่กันจริงๆ ใช่ไหม”
มองออกไปจากสถานี ไม่ต้องตกใจ สามารถใช้บริการคิวแท็กซี่หรือเดินไปขึ้นรถบัสที่ป้ายทางด้านซ้ายมือเยื้องกับสถานีได้
ขณะที่กำลังลังเลนั้นเอง รถเมล์คันหนึ่งก็แล่นมาจอดที่ป้ายรถเมล์หน้าสถานี ไม่รอช้า เรารีบขึ้นไปถามทาง คุณลุงคนขับตอบกลับมาด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “รถจะไปจอดที่อู่รถที่บุงโกะทาคาดะ จากนั้นต้องเดินต่อไปเอง” หลังได้คำตอบเพียงไม่กี่อึดใจ รถเมล์ก็เคลื่อนตัวออกไปช้าๆ พาเราวิ่งผ่านถนนเงียบเหงา นาข้าว ทั้งรถมีแค่เราสองคนพี่น้อง คุณยายผู้โดยสาร และคุณลุงคนขับ สิริรวมสี่ชีวิตเท่านั้น
รถบัสที่จะพาเราไปยังเมืองบุงโกะทาคาดะ
สิบนาทีต่อมารถก็พาเรามาถึงอู่รถเมล์ที่ดูเก่าและร้างสุดๆ ไม่แพ้สถานีอุสะที่เราเพิ่งจากมา มองหน้ากับน้องสาวครั้งที่สอง…
“พวกเราจะรอดกันมั้ย” ถามกันและกันด้วยใจตุ้มๆ ต่อมๆ
อู่รถบัส เราจะลงกันที่นี่
ลงจากรถมายืนงง แล้วก็ใจชื้นขึ้นมาเมื่อเจอผู้ชายคนหนึ่งเดินมาพร้อมกับกล้องในมือ ต้องเป็นนักท่องเที่ยวไม่ผิดแน่! มองไปด้านหลังเห็นประตูบานหนึ่ง ด้านบนมีป้ายเขียนว่า Showa Retro Town! เลยรีบพุ่งตัวไปทันที แล้วอยู่ๆ เมืองบุงโกะทาคาดะก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า เหมือนอยู่ๆ เราก็ก้าวผ่านประตูทะลุมิติ ที่พาไปสู่อีกโลกหนึ่งซึ่งเวลาได้ถูกหยุดเอาไว้ตั้งแต่หลายสิบปีที่แล้ว
หลังประตูบานนี้คือเมืองที่เราตามหา
ปลายทางที่น่าจดจำ
ออกจากอู่รถแล้ว ภาพตรงหน้าคือถนนย่านร้านค้าเก่าแก่ที่ทอดยาว หากมองไปทางด้านขวาจะมีศูนย์บริการนักท่องเที่ยวและพิพิธภัณฑ์ซึ่งเราสามารถหยิบแผนที่และเอกสารนำเที่ยวได้ (เพิ่งมารู้ทีหลัง) หรือหากใครชอบเดินเรื่อยเปื่อยไม่มีแบบแผนก็ไม่ผิดกติกา
ตอนนั้นเป็นเวลา 11 โมง แทบไม่เห็นผู้คนนอกจากเจ้าของร้านขายขนมที่ออกมาส่งเสียงทักทายเรียกลูกค้าเท่านั้น ฉันและน้องสาวเดินเล่นถ่ายรูป แวะดูนั่นนี่ไปเรื่อยๆ แบบไม่รีบร้อน เคยไปแต่พิพิธภัณฑ์ที่จำลองบรรยากาศเก่าๆ แต่นี่เมืองเล็กๆ ทั้งเมืองกลายเป็นเหมือนพิพิธภัณฑ์เลยต้องใช้เวลากันหน่อย
ย่านร้านค้าเก่านี้กินพื้นที่กว้างขวางไปจนถึงอีกฝั่งของแม่น้ำ สามารถเดินซอกแซกไปได้หมด เห็นความตั้งใจของชุมชนในการส่งเสริมการท่องเที่ยวให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันคือตัวอาคารบ้านเรือนนั้นเก่าแก่อยู่แล้วโดยไม่ต้องทำอะไร แต่ถ้าลองมองผ่านกระจกตู้โชว์ร้านค้าหรือบ้านเรือน จะเห็นว่าเจ้าของบ้านไม่เพียงแค่เอาของเก่ามาวางโชว์ไว้ให้ดูเฉยๆ แต่ยังเขียนคำอธิบายอายุและประวัติสั้นๆ ของสิ่งของแต่ละชิ้นด้วย ยังมีลูกเล่นสนุกๆ ตามพื้นที่ว่างต่างๆ ทั้งเกมเป่ายิ้งฉุบบนสะพานข้ามแม่น้ำ เกมเขาวงกตตรงจุดนั่งพัก Trick Art บนกำแพงและพื้น ฯลฯ ให้เราค้นพบไปตลอดทางไม่เบื่อเลย
รู้ตัวอีกทีก็มีนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ ปรากฏตัวตรงจุดนั้นจุดนี้ ไม่ได้มีแค่เราสองคนพี่น้องอีกต่อไป เราพบว่าที่นี่ค่อนข้างเป็นที่นิยมในหมู่ชาวญี่ปุ่นทีเดียว สังเกตจากรถที่ขับชมเมืองเป็นระยะๆ ข้อดีของบุงโกะทาคาดะคือปริมาณคนไม่ได้แน่นขนัด ทุกคนกระจายตัวกันไปตามถนนและซอกซอยต่างๆ บางพื้นที่ของเมืองก็แทบจะไร้คนเดินผ่าน
มื้อกลางวันเราเลือกฝากท้องที่ร้าน Otoraya ใกล้กับอู่รถเลย เป็นร้านเก่าแก่มีชื่อเสียง มีคนดังแวะมากินมากมายสังเกตจากภาพถ่ายและลายเซ็นที่ติดอยู่เต็มผนัง ที่สำคัญรสชาติอร่อยและราคาเป็นมิตรมาก เพราะเขาไม่ขึ้นราคามาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1980 แล้ว เราสั่งข้าวผัดผักดองทาคานะหอมกรุ่นจานละ 350 เยน เซ็ตบะหมี่จัมปงที่มีผักดอง ข้าว โอเด้งเสิร์ฟมาด้วยในราคาแค่ 600 เยน มื้อนี้ก็อิ่มอร่อยเหมือนมีคุณแม่ชาวญี่ปุ่นมาทำให้กิน
มื้ออร่อยที่โอโทระยะ
หลังจากนั้นพวกเราก็ใช้เวลาตลอดบ่ายอ้อยอิ่งตามจุดต่างๆ ของเมือง มารู้ทีหลังจากเดินครบทั้งเมืองแล้วว่า บุงโกะทาคาดะเคยเป็นที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง “ปาฏิหาริย์ร้านชำของคุณนามิยะ” (The Miracles of the Namiya’s General Store) ที่สร้างจากหนังสือนิยายขายดี เขียนโดย ฮิงาชิโนะ เคโงะ เรื่องนี้มีแปลภาษาไทยด้วย พิมพ์ซ้ำหลายครั้งแล้ว ใครชอบอ่านอะไรที่อิ่มเอมใจไม่ควรพลาด
บ้านที่จำลองหน้าร้านจากเรื่อง “ปาฎิหารย์ร้านชำของคุณนามิยะ”
เราเดินผ่านหน้าบ้านหลังหนึ่งซึ่งจำลองหน้าตาเป็นร้านขายของชำในแบบภาพยนตร์เป๊ะๆ แต่ปัจจุบันด้านล่างกลายเป็นร้านทำผมสมัยใหม่ บ้านนี้เคยถูกใช้เป็นที่จัดกิจกรรมสมัยโปรโมทภาพยนตร์ใหม่ๆ ส่วนตัวบ้านที่ใช้ถ่ายทำจริงตอนนี้ไม่เหลือสภาพแล้ว แต่ในแผ่นพับบอกว่าเราสามารถใช้ AR (Augmented Reality) ทำให้เห็นภาพจำลองเสมือนจริงได้ นอกจากนี้ยังมีสถานที่ถ่ายทำอีกหลายๆ จุดรอบเมือง ทั้งที่อยู่ในระยะเดินได้และต้องขับรถไป ข้าวของที่เคยถูกใช้ในการถ่ายทำถูกเก็บรวบรวมและจัดแสดงไว้ที่ตัวพิพิธภัณฑ์ใกล้กับอู่รถบัสนั่นเอง
ข้าวของประกอบฉากจากภาพยนตร์ถูกเก็บรวบรวมไว้ที่อาคารเดียวกับพิพิธภัณฑ์
อยากบอกว่าภายในพิพิธภัณฑ์ก็น่าสนใจมาก มีห้องเรียนจำลอง แล้วยังมีส่วนจัดแสดงพิเศษ (ต้องเสียค่าบัตร) ที่เจ๋งมากๆ คือจำลองเป็นบรรยากาศบ้านคน มีแสงสีเสียงประกอบ แม้มีพื้นที่จำกัดแต่ทำได้ดีมากๆ อีกอาคารหนึ่งมีพิพิธภัณฑ์ขนมวัยเด็กที่คนญี่ปุ่นเรียกว่า Dagashi จัดแสดงคอลเล็กชันตุ๊กตา ของเล่น ของสะสมนับพันๆ ชิ้น สุดยอดมาก ตอนที่ไปทางพิพิธภัณฑ์มีส่วนที่จัดร่วมกับ team lab ด้วย หากสนใจก็สามารถซื้อตั๋วเข้าชมเพิ่มเติมได้
มาปลอมตัวเป็นนักเรียนอีกครั้งได้ที่ห้องเรียนจำลอง
สามารถเช่าชุดแต่งเดินถ่ายรูปเล่นในเมืองได้
ภายในพิพิธภัณฑ์ขนมวัยเด็ก
โดเรม่อนน นายอยู่ที่ไหน
ภายในส่วนจัดแสดงพิเศษของพิพิธภัณฑ์ความฝันในยุคโชวะ
ใครที่มีแพลนมาเที่ยวแถบคิวชูแล้วอยากลองเปลี่ยนบรรยากาศหรือหาที่เที่ยวใหม่ๆ ที่ไม่วุ่นวายลองมาที่เมืองบุงโกะทาคาดะดู คุณอาจจะได้รับพลังและความชุ่มชื่นหัวใจจากการได้หวนระลึกถึงความทรงจำในวัยเยาว์อีกครั้งแบบพวกเราก็ได้
จริงๆ แล้วเมืองนี้มีสถานที่น่าเที่ยวทั้งทางธรรมชาติและวัฒนธรรมอีกเยอะเลย วัดที่มีรูปสลักหินเก่าแก่ก็ดูน่าสนใจมาก ดูเป็นแนวอารยธรรมโบราณ ต่างกับวัดหรือศาลเจ้าญี่ปุ่นที่เราเห็นกันบ่อยๆ ถ้ามีเวลามากกว่านี้พวกเราจะไม่พลาดแน่ๆ
Info
Access: หากเดินทางด้วยรถไฟ ให้ลงสถานีอุสะ (Usa) แล้วนั่งรถบัสจากหน้าสถานีไปลงที่ป้ายบุงโกะทาคาดะ (Bungotakada Bus Terminal) ค่าโดยสาร 250 เยน ขากลับให้ขึ้นรถจากที่เดียวกัน ที่จุดรอรถหมายเลข 3 รถจะออกเป็นระยะ
★ หากใครซื้อพาส Northern Kyushu JR Pass ให้เลือกนั่งรถไฟด่วน Sonic เพราะพาสไม่สามารถใช้กับ Sanyo Shinkansen (วิ่งระหว่างโอซาก้าและคิวชู) ได้ รถจะพาเราไปถึงสถานีโคะคุระ (Kokura Station) แล้วจะหันหัวกลับเพื่อวิ่งไปทางจังหวัดโออิตะ เราไม่ต้องเปลี่ยนขบวนแต่อย่างใด เพียงแค่หมุนเบาะที่นั่งกลับด้านไปอีกทิศทางนึงก็พอ (ใช้เท้ากดคันโยกปรับเบาะที่ด้านล่าง) เนื่องจากรถที่จะจอดสถานีอุสะมีค่อนข้างจำกัด จึงขอแนะนำให้เช็คขบวนและเวลาให้ดีก่อนเดินทางจะได้ไม่พลาด
Website: www.showanomachi.com/en