Pretty Leaves of Red Vol.01 | 3 จุดชมใบไม้ร่วงในญี่ปุ่น สุดธรรมดา ที่ไม่ธรรมดา
สารบัญ
More than just pretty leaves of red |
ณ ประเทศเกาะเล็กๆ อย่างญี่ปุ่น แม้การเปลี่ยนสีของใบไม้ในฤดูใบไม้ร่วง เป็นเพียงเรื่องหมุนเวียนไปตามปกติทุกปี แต่หลายคนก็ไม่อาจปฏิเสธความงดงามที่ธรรมชาติสร้างสรรค์ขึ้นมาได้เลย แน่นอนว่าเหล่านักตามล่าใบไม้แดง คงมีสถานที่ในดวงใจ และพากันมุ่งหน้าสู่สถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ที่ถูกใจ ซึ่งส่วนใหญ่นับว่าเป็นที่สุดของความงาม
ฤดูใบไม้ร่วงในญี่ปุ่นจะเริ่มตั้งแต่กลางเดือนกันยายน ยาวนานไปเกือบถึงปลายเดือนธันวาคม โดยวิถีการเปลี่ยนสีเริ่มจากพื้นที่บนเกาะฮอกไกโด ไล่ไปจนครบทั้ง 8 ภูมิภาค ทำให้เหล่านักเดินทางจากทั่วทุกมุมโลกหรือแม้แต่คนญี่ปุ่นเอง เริ่มวางแผนจากการพยากรณ์ประจำปีที่ประกาศก่อนใบไม้เริ่มเปลี่ยนสี เพื่อเตรียมแบกกระเป๋าเดินทางไปทักทายความงามตามสถานที่ต่างๆ ที่ปักหมุดไว้ในทริปท่องเที่ยว
จุดชมใบไม้เปลี่ยนสีในญี่ปุ่น มีหลายรูปแบบแตกต่างกันไป ทั้งในรูปแบบตามธรรมชาติอย่างบนภูเขาหรือเรียบแม่น้ำ ทั้งที่อยู่ในเมืองใหญ่หรือเมืองที่ห่างไกลออกไป หรือทั้งที่อยู่ในรูปแบบสถานที่ที่สามารถทำกิจกรรมอื่นร่วมกับการชมใบไม้ไปพร้อมๆ กัน แต่ไม่ว่าจะเป็นสถานที่แบบไหน ก็ย่อมมีความพิเศษแตกต่างกันไป มีชื่อเสียง จนดึงดูดใจให้ใครหลายคนอยากไปสัมผัส
ในครั้งนี้ หากเราลองเปลี่ยนมาตามหาและเที่ยวชมใบไม้ในสถานที่สามัญธรรมดา ไม่ได้เป็นที่นิยมในหมู่คนญี่ปุ่นหรือนักท่องเที่ยวดูบ้าง จะเป็นอย่างไรบ้าง… สถานที่ที่ให้เราเดินทอดน่องได้อย่างสบายกายและใจ เงียบสงบ บางทีเราอาจมีภาพสวยๆ ในมุมมองใหม่แปลกตา นอกเหนือไปจากภาพใบไม้สีเหลือง ส้ม แดง เพิ่มเข้ามาในกล้องตัวเก่งก็เป็นได้
เมื่อจุดชมใบไม้เปลี่ยนสี กลับไม่ใช่สถานที่มีชื่อเสียง :
ไม่ว่าภูมิภาคไหนในญี่ปุ่น ล้วนมีจุดชมใบไม้สวยๆ ดึงดูดตาและใจให้ผู้คนมาเยือน ถึงอย่างนั้น เราก็พบว่ามีมุมสุดแสนธรรมดาซ่อนอยู่ ไม่ว่าจะอยู่ในย่านการค้าที่เผลอมองข้าม ย่านวัฒนธรรมเก่าแก่อันห่างไกล หรือแม้แต่ในสวนสวยที่มีจุดชมอยู่บนดิน ดูน่าค้นหาและสวยงามแปลกตา อยากให้คุณได้สัมผัส ‘จุดชมใบไม้ร่วง’ ที่ซ่อนความหมายไว้ในใบไม้แดงแสนธรรมดา ว่ามีบรรยากาศเป็นเช่นไร
金森赤レンガ倉庫
Kanemori Red Brick Warehouse, HOKKAIDO
ม่านผืนแดงแห่งย่านดาวน์ทาวน์
_
ย่านดาวน์ทาวน์ คือสถานที่ที่ผู้คนมักใช้เวลาไปกับการจับจ่ายซื้อของมากกว่าเดินทอดน่อง อ้อยอิ่ง ยิ่งเป็นจังหวัดฮอกไกโดซึ่งขึ้นชื่อเรื่องธรรมชาติ ภูเขา และแม่น้ำ การชมใบไม้เปลี่ยนสีในสถานที่แบบนี้ จึงแทบไม่ได้อยู่ในลิสต์เลย ที่หนักเข้าไปใหญ่ จุดที่เรากำลังแนะนำให้ไปชมใบไม้นั้น อยู่ไกลถึงเมืองฮะโกะดะเตะ (Hakodate)
สถานที่ที่จะกล่าวถึงคือ “คะเนะโมะริ เรด บริก แวร์เฮาส์” หรือโกดังอิฐแดงคะเนะโมะริ เป็นอาคารสถาปัตยกรรมยุโรปอันทันสมัย ตั้งเรียงรายขนานไปกับอ่าวฮะโกะดะเตะ (Hakodate Bay) อันกว้างใหญ่ มีทั้งท่าเรือ ร้านอาหาร ร้านของหวาน ร้านนั่งดื่ม ร้านขายของกระจุกกระจิก ให้ชาวเมืองหรือนักท่องเที่ยวได้พักผ่อนหย่อนใจ
แล้วใบไม้สีแดงอยู่ตรงไหนล่ะ…
แม้โกดังอิฐแดงคะเนะโมะริ เป็นเพียงตึกแสนธรรมดา แต่ในความธรรมดานี้มีความสวยงามปรากฏอยู่ นั่นคือเหล่าเถาไอวี่ที่พันเลื้อยปกคลุมตึกจนแทบมองไม่เห็นผนัง เดิมทีที่ผนังเคยเป็นสีเขียวขจี เมื่อเข้าสู่กลางเดือนตุลาคม จึงจะเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงสดแซมสีเขียวแก่ เพิ่มเลเยอร์ให้สีอาคารดูมีมิติยิ่งขึ้น ไม่ว่าเถาไม้เหล่านี้จะพันรอบอาคารฝั่งที่ติดถนนใหญ่ เราก็สังเกตเห็นได้ง่ายยามเดินทางด้วยระบบขนส่งมวลชน หรือตึกฝั่งที่หันออกไปเผชิญหน้ากับอ่าว เพียงเดินผ่านอาคารเหล่านี้ไปยังร้านอาหารหรือสถานที่ที่ต้องการ เท่ากับว่าเราได้ชมธรรมชาติและรับกลิ่นอายของอ่าวฮะโกะดะเตะไปพร้อมๆ กัน
ยิ่งไปกว่านั้น จากท่าเรือยังมองเห็นภูเขาฮะโกะดะเตะลูกใหญ่ (Mt. Hakodate) ไม่ใกล้ไม่ไกล ยามใบไม้เปลี่ยนสี คุณจะได้เห็นภูเขาทั้งลูกปกคลุมด้วยสีส้มอมเหลือง แซมสีเขียวอ่อนแก่ กลายเป็นแบ็กกราวนด์ให้บรรยากาศของอ่าวและอาคารโกดังโดดเด่นสวยจับใจ
ทุกๆ ฤดูใบไม้ร่วง ความสวยงามนี้จะอยู่คู่กับชาวเมืองแทบทุกกิจกรรมในกิจวัตรประจำวัน เหมือนคนในครอบครัวที่กลับมาใช้ชีวิตร่วมกันช่วงหนึ่งทุกปี จะออกไปกินข้าว ซื้อของ ทำธุระ หรือเดินเล่น ก็เห็นอาคารต่างๆ อวดม่านใบไม้เปลี่ยนสี เห็นภูเขากลายเป็นสีส้มทั้งลูก เพียงเท่านี้ก็ให้ความรู้สึกอบอุ่น ผ่อนคลายจิตใจไม่น้อย
ไม่เพียงบริเวณอ่าวที่ชวนให้สัมผัสใบไม้เปลี่ยนสีอย่างใกล้ชิด หากเดินออกไปอีกสักนิดจนถึงทางลาดบริเวณโมะโตะมะชิ (Slopes in Motomachi) คุณยังได้เห็นสีสันของใบไม้ที่เรียงรายอยู่สองข้างทาง บางทีอาจได้ชื่นชมจนกลับถึงที่พักเลยก็เป็นได้
แม้บรรยากาศยามนี้ เป็นเรื่องสามัญธรรมดาสำหรับชาวเมือง แต่พวกเขาก็ยินดีที่ใบไม้เปลี่ยนสีกลับมาทักทายทุกคนอยู่ทุกปี ดังนั้น หากอยากลองสัมผัสบรรยากาศธรรมดาๆ ที่ดูไม่ธรรมดา ฮะโกะดะเตะก็น่าจะเป็นคำตอบที่ใช่สำหรับคุณ
Area Info ;
武家屋敷通り
Kakunodate Bukeyashiki Street, AKITA
นั่งรถลาก มองใบไม้ บนถนนสายวัฒนธรรม
_
คะกุโนะดะเตะ (Kakunodake) คือเมืองที่ครั้งหนึ่งในอดีตเคยมีปราสาทและชุมชนหมู่บ้านซามูไร ปัจจุบันอยู่ในจังหวัดอะกิตะ ภูมิภาคโทโฮะกุ นับจากถูกค้นพบในปี ค.ศ. 1620 หรือเกือบ 400 ปีมาแล้ว หมู่บ้านแห่งนี้ยังคงสภาพโครงบ้านเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง แม้ไม่มีปราสาทหลงเหลือให้เห็นความสวยงามอีก แต่ทว่าบ้านซามูไรกว่า 80 ครัวเรือน ก็ยังพร้อมพาเราย้อนกลับไปสัมผัสเรื่องราวในอดีตได้อย่างเข้าถึงทุกอณูความรู้สึก
นี่คือที่มาโดยคร่าวของถนนเส้นนี้ ซึ่งมีบ้านของเหล่าซามูไรในยุคโบราณ ปลูกเรียงแถวทอดยาวอยู่เบื้องหลังรั้วไม้สีดำสองข้างทาง เคียงคู่ไปกับต้นไม้สูงใหญ่เรียงชิดข้างริมรั้ว บางพื้นที่กิ่งก้านยังโค้งเข้าหากันคล้ายอุโมงค์พรรณไม้ให้เดินลอดผ่านอย่างไรอย่างนั้น
คะกุโนะดะเตะคือหนึ่งในจุดชมซากุระที่สวยงามมากในญี่ปุ่น แม้ช่วงนั้นจะเนืองแน่นไปด้วยผู้คน แต่นักท่องเที่ยวหลายคนหรือแม้แต่คนญี่ปุ่นเอง ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “ไกลเกินไป” หรือ “ไปยากลำบากเหลือเกิน” เช่นนั้น หากลองเปลี่ยนโทนสีให้ดูอบอุ่นขึ้น ด้วยสีเหลือง ส้ม น้ำตาล และแดง ของฤดูใบไม้ร่วงดูบ้างล่ะ แบบนี้ดูมีเสน่ห์ชวนให้อยากมาทักทายใบไม้เปลี่ยนสีขึ้นมาบ้างไหม
ความจริงแล้ว คะกุโนะดะเตะตั้งอยู่ใกล้แม่น้ำฮิโนะกินะอิ (Hinokinai River) ที่มีต้นไม้ทอดยาวเป็นแถวสุดลูกหูลูกตา กระนั้น ใบไม้กลับไม่ได้เปลี่ยนสีอวดความสวยงามเท่าฤดูกาลอื่นๆ มีทางเดินให้ชมใบไม้บนถนนเพียงระยะสั้นๆ หรือผู้คนที่มาเยือนนั้นอาจบางตา ทว่าความสวยงามและบรรยากาศเงียบสงบในฤดูกาลนี้ กลับเพิ่มเสน่ห์ให้บ้านโบราณให้ดูมีมนตร์ขลังยิ่งขึ้น
นอกจุดชมความงามบริเวณสองข้างทางที่อวดใบไม้เปลี่ยนสีตัดกับกำแพงสีดำ ภายในบริเวณบ้านยังเปิดต้อนรับนักท่องเที่ยวให้เข้าไปสัมผัสกลิ่นอายวิถีชีวิตผู้คนในยุคก่อนแบบใกล้ชิดยิ่งขึ้น ได้สำรวจข้าวของเครื่องใช้ ทำความเข้าใจอุปกรณ์ในครัวเรือนหรืองานบ้านอันแปลกตา รวมถึงศึกษาการใช้งานห้องหับต่างๆ แทบทุกบริเวณบ้านแต่งแต้มด้วยสีส้มสดใสของใบไม้เปลี่ยนสี ทั้งยังมีพิพิธภัณฑ์รวบรวมเครื่องแต่งกาย อาวุธ หรือข้าวของเครื่องใช้ให้ศึกษา เรียกว่าได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์และซึมซับบรรยากาศไปพร้อมๆ กัน
ในส่วนของบ้านซามูไรแต่ละหลัง ทั้งสถาปัตยกรรม วัสดุ กลไก หรือแม้แต่การออกแบบ ล้วนบอกเล่าความเป็นอยู่ในอดีตที่สอดคล้องกับความแตกต่างตามระดับชั้นซามูไร ตั้งแต่บ้านบนพื้นที่ไม่กี่ตารางเมตร ตัวบ้านเล็กตามสัดส่วนของอาณาบริเวณ ไปจนถึงบ้านที่มีพื้นที่ใช้สอยกว้างขวาง ลักษณะของบ้านดูมีระดับสมฐานะตามไปด้วย เรียกได้ว่า ยิ่งเราเข้าใกล้พื้นที่ที่เคยมีปราสาทมากเท่าไร บ้านซามูไรก็ยิ่งมีระดับสูงมากขึ้นเท่านั้น ความงดงามละเอียดอ่อนที่ซ่อนอยู่ในรูปแบบเรื่องเล่าจากอดีตกาลเหล่านี้ ทำให้ที่นี่ได้รับการยกย่องให้เป็น “เกียวโตน้อยแห่งโทะโฮะกุ” (The little Kyoto of Tohoku)
นอกจากการเดินชมความงาม และตามเก็บภาพประทับใจจนไฟล์ในเม็มโมรีกล้องแทบล้น เรายังสามารถนั่งรถลากที่พร้อมพาไปรู้จักเส้นทางชมความงามใหม่ๆ หรือจุดที่เราอาจเผลอใจไปกับสถานที่อื่นๆ จนลืมไปเยือนอีกสถานที่เสียสนิท บริการรถลากเหล่านี้จะพาเราไปพบความงดงามในจุดที่อาจคาดไม่ถึงมาก่อน
สำหรับผู้ที่รักความสงบ และสนใจประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะวิถีบุชิโด ลองรับคะกุโนะดะเตะไว้ในอ้อมใจสักนิด คุณอาจได้พบสิ่งที่มากกว่าวัฒนธรรมที่นำเสนอบนสื่อนี้ก็เป็นได้
Area Info ;
国営ひたち海浜公園
Hitachi Seaside Park, IBARAKI
สัมผัสพรมก้อนกลมสีแดงสดผืนใหญ่
_
คุณคิดว่า หากเปลี่ยนการชมใบไม้สีส้มอมเหลืองจากต้นไม้สูง มาเป็นไม้พุ่มอ้วนกลมสีแดงสดบนพื้นดูบ้าง จะเป็นอย่างไร…
ไม่ใช่แค่ใบไม้หรือเถาไอวี่ ที่เปลี่ยนสีให้บรรยากาศโดยรอบโอบล้อมไปด้วยกลิ่นอายฤดูใบไม้ร่วงเท่านั้น แต่เจ้า “พุ่มโคเคีย” (Kochia) ก็เปลี่ยนสีได้เช่นกัน โดยเฉพาะที่สวนฮิตะชิ ซีไซด์ พาร์ก (Hitachi Seaside Park) ในจังหวัดอิบะระกิ (Ibaraki) ช่วงฤดูใบไม้ร่วงนั้นมีพุ่มโคเคียอวดสีสวยงามให้ชมถึงสามหมื่นกว่าต้น ซึ่งมีให้ชมเพียงที่นี่ที่เดียว นับว่าเป็นเป็นแลนด์มาร์คสำคัญของ จุดชมใบไม้ร่วง เลยก็ว่าได้
สวนฮิตะชิ ซีไซด์ พาร์ก ตั้งอยู่บนชายฝั่งด้านมหาสมุทรแปซิฟิก ความพิเศษของสวนแห่งนี้คือ มีสภาพแวดล้อมเป็นทั้งเนินทราย ป่าไม้ ทุ่งหญ้า และแหล่งน้ำพุร้อนธรรมชาติ ครบทุกรูปแบบเพียงแห่งเดียวในญี่ปุ่น มีพื้นที่กว้างขวางถึง 3 ล้าน 5 แสนตารางเมตร โดยราว 2 ล้านตารางเมตรถูกปรับปรุงเป็นสวนปลูกพืชพันธุ์ให้ชมความงามตลอดทั้งปี รวมทั้งพื้นที่ทำกิจกรรมนันทนาการ และพักผ่อนหย่อนใจ จากตรงนี้ยังมีชิงช้าสวรรค์ขนาดยักษ์ให้ขึ้นไปชมสวนจากด้านบนแบบ 360 องศา ได้อีกด้วยนะ
พุ่มโคเคียเป็นหนึ่งในพันธุ์ไม้ที่ผู้ดูแลสวนทดลองปลูกอยู่นาน กว่าจะออกมาเป็นทุ่งโคเคียสวยงามละลานตา เดิมทีแล้วเจ้าพืชต้นนี้เติบโตในพื้นที่แห้งแล้ง รวมถึงประเทศแถบตะวันตกเฉียงใต้ ไม่ใช่พืชท้องถิ่นของญี่ปุ่น เมื่อนำมาปลูกจึงอ่อนแอและตายง่าย เผยโฉมให้เห็นความงามได้เพียงไม่นาน จนกระทั่งสามารถพัฒนาปรับปรุงให้ทนรับสภาพอากาศของญี่ปุ่นได้ ความสำเร็จครั้งนี้ไม่เพียงก่อเกิดพืชพันธุ์ใหม่ๆ ในญี่ปุ่น แต่ยังสร้างความแปลกใหม่และความแปลกใจ ให้แก่ผู้ที่ไม่เคยพบเห็นได้สัมผัสความสวยงามของมัน
โดยปกติพุ่มโคเคียที่เหี่ยวแห้ง รากจะหลุดจากดินแล้วกลิ้งขลุกๆ ไปตามพื้น (อย่างที่เห็นในหนังคาวบอยตอนดวลปืน) เมื่อโดนลมพัด เมล็ดที่ติดอยู่กับก้อนกลมๆ จะช่วยให้โคเคียขยายพันธุ์และเติบโตในดินแดนที่มันกลิ้งผ่าน แต่พุ่มโคเคียของสวนฮิตะชิใช้วิธีลงต้นกล้าขนาดใกล้เคียงกันหลุมละต้นอย่างทะนุถนอม และมีระยะห่างเท่าๆ กัน หากคุณมีโอกาสไปเยือนสวนแห่งนี้ จะพบว่ามันเติบโตเป็นพุ่มเรียงรายกันอย่างเป็นระเบียบทีเดียว
สาเหตุที่ผู้ดูแลสวนทำเช่นนี้ เพราะต้องการให้โคเคียแต่ละต้นเติบโตและแผ่กิ่งก้านตามธรรมชาติเต็มที่โดยไม่ต้องเบียดเสียด และมีขนาดพุ่มกลมเท่ากันทุกต้น ทำให้โคเคียกว่าสามหมื่นต้นเติบโตไปพร้อมเพรียงกัน คล้ายพรมผืนใหญ่บนเนินเล็กๆ คอยทักทายผู้มาเยือนและแบ่งปันความสดใส
สีของมันค่อยๆ เปลี่ยนไปตามฤดูกาล โดยเริ่มจากก้อนสีเขียวอ่อนในช่วงฤดูร้อน ก่อนแปรเปลี่ยนเป็นสีชมพูแซมเขียวช่วงเดือนตุลาคม สีแดงสด และสีเหลืองทองตามลำดับในฤดูใบไม้ร่วง ช่วงที่สวยงามที่สุดคือทุกพื้นที่เปลี่ยนเป็นสีแดงสดตัดกับสีท้องฟ้าอย่างชัดเจน ยิ่งเวลาพุ่มไม้ต้องลมพลิ้วไหว ดูคล้ายกับว่าพวกมันโยกตัวไปตามจังหวะเพลง ก่อนค่อยๆ เหี่ยวแห้งไปตามกาลเวลา
หากลองเปลี่ยนการชมใบไม้จากต้นมาเป็นพุ่มก้อนอ้วนกลมสีแดงสดบนพื้นดูบ้าง ก็คงให้ความรู้สึกตื่นเต้นและอบอุ่นหัวใจไม่แพ้กัน
Area Info ;
info
Hitachi Seaside Park
Website : en.hitachikaihin.jp