ครั้งนี้เราพาไปสัมผัสกับเมืองอันแสนสงบห้อมล้อมด้วยธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ที่ “จังหวัดอาโอโมริ” ในทริปนี้จะได้ดื่มด่ำครบทั้งธรรมชาติ วัฒนธรรมและศิลปะ โดยเราจะเริ่มจากนั่งชินคันเซนจาก สถานีโตเกียว (Tokyo Station) มุ่งหน้าไปยัง สถานีฮาจิโนะเฮะ (Hachinohe Station) ใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมง 51 นาที ซึ่งทริปนี้เราจะเดินทางโดยรถยนต์เป็นหลัก โดยจะใช้บริการเช่ารถที่ Nippon Rent-a-car ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับสถานี บอกเลยว่าสะดวกมาก เดินแค่ 2 นาทีก็ถึง พอได้รถแล้วเราก็เริ่มออกเดินทางกันเลย

 

DAY 1 : Tokyo Station→ Hachinohe Station → Mt.Hakkoda → Oirase Keiryu Hotel by Hoshino Resorts

จุดหมายแรกของวันนี้ก็คือ ภูเขาฮักโกดะ (Mount Hakkoda) ภูเขาชื่อดังของจังหวัดอาโอโมริที่มีความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศดีมาก เป็นส่วนหนึ่งในอุทยานแห่งชาติ Towada Hachimantai มีเส้นทางให้ศึกษาธรรมชาติทั้งแบบระยะสั้นและระยะยาว ทั้งยังมีกิจกรรมและสถานที่ระหว่างทางให้แวะชมเยอะก่อนอื่นเริ่มต้นที่ ฮักโกดะโรปเวย์ (Hakkoda Ropeway) กระเช้าลอยฟ้าที่พาเราไต่เขาขึ้นไปประมาณ 10 นาที ก็จะถึง Summit Wood Deck ระเบียงไม้จุดชมวิวจุดแรกที่ทำให้เราเห็นวิวภูเขาสวยๆ แบบพาโนรามา ถ้าอยากใกล้ชิดธรรมชาติแบบสุดๆ ด้านบนนี้มีเส้นทางเดินป่าชื่อ Gourd Line ให้เลือกทั้งแบบ 30 นาทีหรือ 60 นาที แล้วแต่กำลังขา เราเลือกแบบ 60 นาที ที่เดินเป็นวงกลม ระหว่างทางเดินมีป้ายบอกทางเป็นระยะๆ ชัดเจน เดินง่ายไม่มีหลง เส้นทางนี้เราจะได้ชมพื้นที่ลุ่มน้ำทาโมยาจิ (Tamoyachi) ที่มีพื้นหลังเป็นทิวเขาเขียว สดชื่น สบายตามากนอกจากนี้ก็มีจุดแวะถ่ายรูป มีต้นไม้น้อยใหญ่ให้หยุดชมตลอดทาง บางช่วงก็มีลมธรรมชาติเย็นๆ พัดมาเดินไปเรื่อยๆ ก็จะวนครบรอบมาถึงจุดขึ้นโรปเวย์ที่เดิม ซึ่งใครที่รักการเดินเขาชอบสัมผัสอากาศสดชื่นก็ต้องมาเที่ยวในฤดูร้อนนี่แหละเหมาะที่สุด

Info
Hakkoda Ropeway
Location: เมืองโทวาดะ (Towada) จังหวัดอาโอโมริ
Hours: 9:00-16:20 น.
Entrance Fee: ไป-กลับ ผู้ใหญ่ 2,200 เยน เด็กต่ำกว่า 13 ปี 700 เยน / เที่ยวเดียว ผู้ใหญ่ 1,400 เยน เด็กต่ำกว่า 13 ปี 450 เยน (เด็กอนุบาลไม่เสียค่าใช้จ่าย)
Website: http://www.hakkoda-ropeway.jp/english

 

หลังจากซึมซับธรรมชาติจนเหงื่อซึมเบาๆ แล้ว เราก็ออกเดินทางไปเช็กอินที่ Oirase Keiryu Hotel by Hoshino Resorts รีสอร์ทแสนสงบเพียงแห่งเดียวกลางหุบเขาโออิราเสะ หนึ่งในสถานที่ที่ธรรมชาตินิ่งสงบจนคุณอาจลืมไปเลยว่าชีวิตเคยวุ่นวายแค่ไหน รีสอร์ทนี้มีแนวคิดเรียบง่ายแต่ลึกซึ้งว่า “Keiryu Slow-Life” หรือแปลได้ประมาณว่า “ใช้ชีวิตช้าๆ ไปกับเสียงลำธาร” ที่นี่ไม่มีเสียงรถยนต์ ไม่มีแสงนีออน มีแต่อากาศเย็นสดชื่นในยามเช้า เสียงนกร้อง และกิจกรรมกลางแจ้งที่ชวนให้เรากลับมาเชื่อมต่อกับธรรมชาติอีกครั้งพอเข้ามาในล็อบบี้ก็ต้องทึ่งกับการตกแต่งภายในที่อลังการ ทั้งโคมไฟระย้า กระจกบานใหญ่ที่มองเห็นต้นไม้เขียวสดด้านนอก ที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือเตาผิงไฟยักษ์ “Mori no Shinwa” ความสูง 8.5 เมตร ที่เด่นสะดุดตาผลงานของ คุณโอคาโมโตะ ทาโร่ (Taro Okamoto) ศิลปินชาวญี่ปุ่นชื่อดังผู้ที่ออกแบบหอคอยแห่งดวงอาทิตย์ (Tower of the Sun) ในงาน Expo ’70 ที่หากใครเป็นแฟนตัวยงก็อาจจะจำลวดลายอันเป็นเอกลักษณ์นี้ได้ระหว่างทางเดินไปห้องพักก็จะผ่านโซน Keiyu-Base เป็นพื้นที่ส่วนกลางที่มีเตาผิงไฟยักษ์ “Kashin” ความสูง 10 เมตร ซึ่งก็เป็นผลงานของ คุณโอคาโมโตะ ทาโร่ อีกเช่นกัน ซึ่งชิ้นนี้เป็นผลงานทิ้งทวนก่อนที่เค้าจะเสียชีวิตนั่นเอง ทันทีที่ก้าวเข้ามาในห้อง สิ่งแรกที่สัมผัสได้คือ ความเงียบ แบบที่มีแค่เสียงลำธารเบาๆ คลออยู่ด้านนอก และวิวตรงหน้าต่างที่สวยราวกับภาพวาด ต้นไม้เขียวปกคลุมลำธารที่มีน้ำใสไหลผ่านเบาๆ เหมือนเป็นที่ที่เราจะได้พักใจและดื่มด่ำกับธรรมชาติอย่างแท้จริง
การตกแต่งภายในห้องเหมือนจำลองเอาหุบเขาโออิราเสะมาไว้ที่นี่ มีท่อนไม้จริงประดับเรียงรายอย่างเป็นระเบียบอยู่ตรงผนังห้อง มีออนเซ็นส่วนตัวพร้อมกระจกรอบด้าน, มุมนั่งเล่นที่หันออกสู่ลำธาร และที่ชอบมากที่สุดคือ ผนังตกแต่งด้วยมอสจริงๆ ซึ่งทำให้รู้สึกเหมือนนอนอยู่ในป่าห้องที่เราพักคือ Keiryu Suite Room มีขนาดใหญ่ถึง 120 ตารางเมตร รองรับแขกได้สุงสุดถึง 6 คน ถ้าหากเข้าพัก 2 คน ราคาเริ่มต้นที่คนละ 97,300 เยน/คืน (ราคานี้รวมภาษี, อาหารเช้า และอาหารเย็น) เหมาะมากหากใครที่มากันเป็นครอบครัวเพราะมีทั้งพื้นที่ส่วนรวม มีออนเซ็นส่วนตัว และมีห้องนอนแยกอีกหนึ่งห้องด้วย นอกจากนี้ก็มีห้องพักแบบอื่นให้เลือกเช่นกันหลังจากเก็บของเข้าที่พักก็มาเติมท้องกันที่ร้านอาหารบุฟเฟ่ต์ของโรงแรมชื่อว่า “Aomori Ringo Kitchen” ที่นี่ไม่ใช่แค่ร้านอาหารธรรมดา แต่เป็นการเฉลิมฉลองให้กับผลไม้ที่ขึ้นชื่อที่สุดของจังหวัดอาโอโมริ นั่นก็คือ “แอปเปิ้ล”บรรยากาศในร้านอบอุ่นทันทีที่เดินเข้าไป ด้วยแสงไฟนุ่มๆ จาก โคมไฟรูปแอปเปิ้ล ที่ทำจากแก้ว Tsugaru Bidoro และงานไม้ BUNACO งานฝีมือท้องถิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ ตกแต่งไว้อย่างเรียบง่ายแต่มีเสน่ห์แบบญี่ปุ่นแท้ๆแต่สิ่งที่เซอร์ไพรส์กว่านั้นคือ แอปเปิ้ลมีอยู่แทบทุกจาน! ตั้งแต่ สลัดแอปเปิ้ลทูน่า, พาสต้าแอปเปิ้ล, ไปจนถึงหมูอบแอปเปิ้ล ฯลฯ ส่วนใครที่ชอบซาชิมิก็มีทูน่าและแซลมอนให้ทานอย่างจุใจ นอกจากนี้ก็มีอาหารที่ทำสดด้วย อย่างเทปันยากิผักฤดูร้อน, เนื้อย่าง เป็นต้น และแน่นอนว่าโซนของหวานก็ไม่ทำให้ผิดหวัง มีตั้งแต่ทีรามิสุ, ทาร์ตมะเขือเทศ, โมจิมัทฉะ, พุดดิ้งข้าวโพด และอีกมากมาย

Info
Oirase Keiryu Hotel by Hoshino Resorts
Location : เมืองโทวาดะ (Towada) จังหวัดอาโอโมริ
Website : https://hoshinoresorts.com/en/hotels/oirasekeiryu/

 

DAY 2 :Oirase Keiryu Hotel by Hoshino Resorts → Oirase Gorge → Choshi Otaki Falls

เวลา 6.00 น. ก็มารวมตัวกันบริเวณ Keiyu-Base เพื่อทำกิจกรรมที่ชื่อว่า Mountain Stream Breath เป็นการออกกำลังกายเบาๆ พร้อมกับฝึกลมหายใจเข้า-ออก สูดรับอากาศบริสุทธิ์ให้เต็มปอดเพื่อให้ร่างกายตื่นตัวพร้อมรับวันใหม่ จากนั้นก็กลับมาทานอาหารเช้าแบบ “Private Breakfast” ที่เสิร์ฟถึงห้อง ซึ่งจะเป็นเมนูเบาๆ ทำจากวัตถุดิบท้องถิ่นคุณภาพดี อย่างเช่น ขนมปังท็อปด้วยแฮม ถั่ว และผักหลากสี, ซุปเห็ด, โยเกิร์ตพร้อมท็อปปิ้งผลไม้ เสิร์ฟพร้อมเครื่องดื่ม ได้แก่ น้ำแอปเปิ้ล กาแฟดำ และนมสด ที่น่ารักคือเมนูแต่ละอย่างมีการจัดจานอย่างสวยงามหลังทานข้าวเสร็จก็มาผ่อนคลายจิตใจด้วยกิจกรรม Oirase Lamp Workshop เวิร์คช็อปทำโคมไฟจาก “น้ำเต้า” ที่จะให้เราออกแบบลวดลายโคมไฟในแบบของตัวเอง โดยเริ่มแรกจะมีอาจารย์มาสอนวิธีการเจาะรู ตั้งแต่ ขนาดเล็ก-กลาง-ใหญ่ จากนั้นก็ให้เราครีเอทลวดลายเอง โดยจะมีตัวอย่างโคมไฟสวยๆ ประดับอยู่ทั่วทั้งห้องให้เราดูเป็นไอเดียได้ ระหว่างที่บรรจงเจาะลวดลายตามที่เราออกแบบนั้นก็เหมือนเป็นการฝึกสมาธิและได้ใช้เวลาอยู่กับตัวเองไปด้วย ซึ่งหากทำเสร็จแล้วก็สามารถนำกลับไปใช้ที่บ้านหรือเป็นของฝากได้ช่วงบ่ายก็ถึงเวลาออกไปสำรวจธรรมชาติทัวร์ชมหุบเขาโออิราเสะ (Oirase Gorge) กับโปรแกรม Oirase Guided Walk ที่ทางโรงแรมจัดไว้ ซึ่งจะมีไกด์ผู้รู้จริงที่มีประสบการณ์ที่นี่มานานกว่า 8 ปี พาเดินไปอย่างปลอดภัยและให้ความรู้ที่น่าสนใจเกี่ยวกับหุบเขาโออิราเสะไปด้วย เดินสบายๆ ในระยะทางประมาณ 2.8 กม. ใช้เวลาราวๆ  2 ชั่วโมงครึ่ง ก่อนอื่นเราจะนั่งรถบัสของรีสอร์ทมาลงที่บริเวณส่วนต้นน้ำของแม่น้ำโออิราเสะ แล้วเราจะเดินต่อไปยังจุดหมายคือ Choshi Otaki Falls ตลอดเส้นทางจะเต็มไปด้วยป่าไม้ธรรมชาติแน่นขนัด ทั้งต้นบีชสูงใหญ่และเกาลัดญี่ปุ่น มีน้ำตกเล็กๆ แทรกอยู่ตามหน้าผาหิน ท่อนไม้ที่ถูกตัดแล้ววางริมธารน้ำบริเวณเดิมเพื่อให้สลายไปตามธรรมชาติ เสียงน้ำไหลกระทบหินคือเสียงประกอบของธรรมชาติที่ฟังเพลินแบบไม่ต้องปรุงแต่ง เสน่ห์อีกอย่างของที่นี่คือ ความอุดมสมบูรณ์ของมอส ที่มีมากกว่า 300 สายพันธุ์ที่เติบโตตามหิน ถ้าสังเกตดีเราอาจจะเจอมอสที่เราชอบที่นี่ก็ได้ การได้เดินผ่านเส้นทางนี้เหมือนกำลังเดินอยู่ในโลกของสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ที่กำลังใช้ชีวิตแบบเงียบๆและแล้วเรามาถึงจุดหมายคือ Choshi Otaki Falls น้ำตกขนาดใหญ่ที่มีน้ำใสไหลทะลัก ให้ความรู้สึกสดชื่นในอากาศร้อนๆ แบบนี้เป็นที่สุด ซึ่งจุดนี้หากใครไม่สะดวกเดินก็สามารถนั่งรถบัสของรีสอร์ทมาถึงที่ได้เลยแต่ความสนุกของมาการทัวร์ในครั้งนี้คือการได้ฟังเรื่องเล่าที่น่าสนใจเกี่ยวกับหุบเขาแห่งนี้จากไกด์ในหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับต้นไม้ มอส แมลง ความเชื่อต่างๆ รวมไปถึงที่มาที่ไปของการเกิดหุบเขาโออิราเสะแห่งนี้ เป็นการเดินทางที่ได้ครบทั้งความสนุกและสาระไปในเวลาเดียวกัน

Info
Oirase Gorge
Locotion: เมืองโทวาดะ (Towada) จังหวัดอาโอโมริ
Website: http://www.tohokukanko.jp/

 

DAY 3 :Oirase Keiryu Hotel by Hoshino Resorts → Deaibashi Bridge → Towada Art Center → Aomoriya by Hoshino Resorts

ตื่นมาตอนเช้าไปเดินเล่นชมรอบๆ รีสอร์ท เดินไปตรงไหนก็วิวดีมีต้นไม้ล้อมรอบ บริเวณใกล้กับโรงแรมมีเส้นทางธรรมชาติให้เดินไปยังจุดชมวิวสะพาน Deaibashi Bridge ด้วย ตรงนี้สามารถมองเห็นต้นไม้เขียวชอุ่มเรียงตัวสวยงาม 360 องศา มีน้ำใสๆ ไหลผ่านลำธาร เป็นภาพที่สบายตาและสดชื่นมากเลยล่ะหลังจากเช็คเอาท์แล้ว ก่อนที่จะไปยังที่พักถัดไประหว่างทางเราจะแวะที่ Towada Art Center เป็นพิพิธภัณฑ์เล็กๆ ที่อัดแน่นไปด้วยงานศิลปะมากมาย คอนเซ็ปต์ของที่นี่คือการผสมผสานระหว่างศิลปะกับสถาปัตยกรรม ทำให้ผลงานหลายๆ ชิ้นนั้นมีวิธีการนำเสนอและการติดตั้งที่กลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับอาคาร ตัวอาคารนั้นเชื่อมด้วยทางเดินผนังกระจกทำให้เราสามารถชมชิ้นงานต่างๆ ได้จากทั้งในและนอกอาคาร ทั่วทุกมุมแทรกไปด้วยงานศิลปะถาวรจำนวน 38 ชิ้น จาก 33 ศิลปิน ภายนอกเองก็ล้อมรอบไปด้วยงานศิลปะทั่วทุกพื้นที่ อย่างกำแพงด้านนอกก็ได้เจอกับภาพวาดที่มีลายเส้นคุ้นตาของ Yoshitomo Nara กับผลงานที่มีชื่อว่า Yoroshiku Girl 2010 หรือน้องม้าลายดอกไม้ของศิลปินชาวเกาหลี Choi Jeong Hwa ที่อยู่ด้านหน้าของอาคารเมื่อเดินมาถึงห้องแรกของนิทรรศการก็พบกับหญิงสูงวัยตัวสูงใหญ่เกือบถึงเพดานของอาคารยืนรอต้อนรับอยู่ งานประติมากรรมนี้เป็นผลงานของ Ron Mueck ศิลปินชาวออสเตรเลียกับผลงานที่ชื่อว่า Standing Woman สีหน้าของเธอบางมุมก็ดูเศร้าโศก บางมุมก็เหมือนเคร่งเครียดบึ้งตึง นอกเหนือจากอารมณ์ของเธอที่น่าพิศวงแล้ว เทคนิคการนำเสนอของศิลปินก็น่าสนใจเช่นกัน Ron Mueck โดดเด่นในเรื่องของประติมากรรมรูปคนแบบไฮเปอร์เรียลลิซึ่ม เป็นการนำเสนอที่มีความเหมือนจริงทั้งในเรื่องของผิว, ริ้วรอย และส่วนต่างๆ ของร่างกาย เมื่อเดินไปตามทางของอาคารมองผ่านทะลุกระจกออกไปด้านนอกก็จะพบกับงานของ Yoko Ono ศิลปินชาวญี่ปุ่นชื่อดังและเป็นที่รู้จักกันในฐานะภรรยาของ John Lennon กับงาน Wish Tree เป็นโปรเจกต์งาน Interactive Art (ศิลปะปฎิสัมพันธ์) ที่ว่าด้วยเรื่องของสันติภาพโลก ซึ่งเราสามารถเขียนคำอธิษฐานและนำไปผูกไว้กับ Wish Tree ของที่นี่คือต้นแอปเปิ้ลเพราะเป็นผลไม้ชื่อดังของจังหวัดอาโอโมริ ซึ่งคำอธิฐานที่อยู่บนต้นไม้ก็จะถูกนำไปฝังไว้ที่ Imagine Peach เมืองเรคยาวิก ประเทศไอซ์แลนด์และเมื่อข้ามฝั่งถนนไปก็จะเจอกับ Art Square เป็นลานกว้างที่เต็มไปด้วยงานของศิลปินชื่อดังอย่าง Yayoi Kusama ที่มีชื่อว่า Love Forever, Singing in Towada เป็นการรวมกันของฟักทองสีเหลือง, เด็กผู้หญิง, สุนัข, และเห็ดลายจุดที่เป็นเอกลักษณ์ของเธอ ถัดไปก็เป็นผลงานของ Inges Idee เป็นกลุ่มของ 4 ศิลปินชาวเยอรมนีในเบอร์ลิน กับประติมากรรมสูงเด่นที่ชื่อว่า Ghost และ Unknown Mass นอกจากนี้ยังมีผลงานชื่อดังที่ไม่ได้พูดถึงอีกมากมาย แนะนำว่าให้เผื่อเวลาไว้เยอะๆ
Info
Towada Art Center
Location : เมืองโทวาดะ (Towada) จังหวัดอาโอโมริ
Hours : 9:00-17:00 น.
Holiday : วันจันทร์
Entrance Fee : ผู้ใหญ่ Collection: 1000 เยน, Collection + Exhibition: 1,800 เยน, เด็กต่ำกว่า 18 ปี ฟรี
Website : www.towadaartcenter.com/en

 

คืนนี้เราจะมาพักกันที่ Aomoriya by Hoshino Resorts พอมาถึงก็ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากน้อง “โนเระคุง (のれ)” ม้าแคระสุดน่ารักประจำรีสอร์ท ที่นี่เหมือนเป็นโลกอีกใบที่เราจะได้ดื่มด่ำกับวัฒนธรรมอาโอโมริอย่างเต็มที่ ตั้งแต่บรรยากาศรอบ ๆ ที่เงียบสงบ รายล้อมด้วยธรรมชาติ ไปจนถึงการตกแต่งภายในรีสอร์ท ทำให้เราสัมผัสถึงเสน่ห์ของความเป็นอาโอโมริได้อย่างลึกซึ้งถึงแก่นแท้ทั่วทั้งรีสอร์ทตกแต่งด้วยโคมกระดาษขนาดใหญ่ที่ได้แรงบันดาลใจจากเทศกาลไฟ Nebuta Matsuri ซึ่งเป็นเทศกาลที่มีชื่อเสียงของอาโอโมริ หากได้เดินผ่านต้นแอปเปิ้ลจำลองต้นนี้ให้ลองแวะกดดูจะมีน้ำแอปเปิ้ลไหลออกมา บอกเลยว่าอร่อยสดชื่นใจ ซึ่งต้นแอปเปิ้ลนี้ทำหน้าที่เสมือนเป็น Welcome Drink คอยต้อนรับแขกที่เข้ามาพักให้ได้ลิ้มลองน้ำแอปเปิ้ลผลไม้ประจำเมืองอาโอโมรินั่นเองสำหรับห้องพัก เราเลือกพักที่ห้อง Aomori Nebuta Room บอกเลยว่าแค่เปิดประตูเข้ามาก็ว้าวแล้ว ตั้งแต่ทางเข้าก็มีภาพวาดเนบุตะต้อนรับอยู่ ห้องนั่งเล่นก็อลังการสุด ๆ มีโมเดลเนบุตะแบบขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางห้อง พอลองนอนบนเตียงดู ก็แอบตกใจเล็กน้อยเพราะมีเนบุตะทักทายอยู่บนเพดานด้วย  เหมือนได้เข้าไปในโลกของเทศกาลเนบุตะจริงๆ ห้องที่เราพักคือ Aomori Nebuta Room ขนาด 71 ตารางเมตร รองรับแขกได้ 1-3  คน ราคาเริ่มต้นที่คนละ 36,500 เยน/คืน (รวมบุฟเฟต์อาหารเช้าและบุฟเฟต์อาหารเย็น) โดยรวมคือเป็นห้องที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของอาโอโมริและเทศกาลเนบุตะแบบจัดเต็ม ใครที่อยากสัมผัสวัฒนธรรมญี่ปุ่นแบบใกล้ชิดและแปลกใหม่แนะนำให้ลองมาพักห้องนี้ดูสักครั้ง อีกหนึ่งความพิเศษของการมาพักห้อง Aomori Nebuta Room คือจะมีชุด Haneto (ハネト衣装) ซึ่งเป็นชุดของนักเต้นที่อยู่ในขบวนแห่เทศกาลเนบุตะ เตรียมไว้ให้สำหรับใส่ไปร่วมกิจกรรมเต้นรำและดูโชว์อีกด้วย บอกเลยว่าสวยโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์มาก นอกจากนี้ก็มีห้องพักแบบอื่นให้เลือกเช่นกัน อย่างห้อง Azumashi with Semi-Open Bath ขนาด 53 ตารางเมตร ที่มีออนเซ็นส่วนตัว มองเห็นวิวต้นไม้เขียวขจี รองรับแขกได้ 1-3  คน ราคาเริ่มต้นที่คนละ 43,500 เยน/คืน (รวมบุฟเฟต์อาหารเช้าและบุฟเฟต์อาหารเย็น) ส่วนใครที่ชอบแช่ออนเซ็น บอกเลยว่าที่นี่คือสวรรค์ เค้ามีบ่อน้ำแร่ที่ผสมกลิ่นไม้ฮิบะหอม ๆ ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายแบบสุด ๆ แถมยังมีบ่อกลางแจ้งบรรยากาศเงียบสงบมองเห็นวิวต้นไม้ไล่สีคือดีมาก ว่าแล้วก็ขอลองแช่ดูซักหน่อย ในบริเวณเดียวกันยังมีห้องซาวน่าตกแต่งด้วยรูปเนบูตะสุดประณีต แนะนำให้ลองเข้าซาวน่าก่อนแล้วไปแช่ออนเซ็นต่อบอกเลยว่าฟินสุดๆหลังจากแช่ออนเซ็น พร้อมกับแต่งชุด Haneto เสร็จแล้ว เราก็มาเดินสำรวจภายในบริเวณโรงแรมกันต่อ ก่อนอื่นก็แวะถ่ายรูปกับทางเดินประดับโคมปลาทองเนบูตะหลากสีสันทอดยาวไปจนสุดทางเดิน เป็นจุดที่ใครผ่านไปผ่านมาต้องแวะ ต่อมาเป็นโซน Goldfish Fortune Telling ที่เป็นการทำนายดวงชะตาในรูปแบบของการนำกระชอนที่ใช้ตักปลาทองนำไปจุ่มลงในน้ำ จากนั้นดวงชะตาของเราจะปรากฏบนผิวน้ำ นอกจากคำทำนายต่างๆ เช่น “โชคดี” หรือ “โชคลาภก้อนโต” แล้ว ยังมีข้อความอวยพรที่เขียนด้วยภาษาถิ่นอาโอโมริอีกด้วย หลังจากเล่นเสร็จแล้วก็สามารถนำกลับบ้านเป็นของที่ระลึกได้แวะเติมหวานกันนิดหน่อยกับเมนู “น้ำแข็งใสรูปปลาทองเนบูตะ (Goldfish Nebuta Shaved Ice)” ราดด้วยไซรัปสีแดงรสแอปเปิ้ล ด้านในมีแยมคาสซิสแทรกอยู่ด้วย ให้รสหวานอมเปรี้ยว สดชื่นลงตัวสุด ๆ เหมาะมากกับหน้าร้อนแบบนี้ เสิร์ฟมาในถ้วยรูปอ่างเลี้ยงปลาทอง เพิ่มความน่ารักไปอีกขั้น ราวกับปลาทองกำลังว่ายน้ำอยู่ในอ่างเลยล่ะ! และยังมี “แอปเปิ้ลเคลือบน้ำตาลลายปลาทองเนบุตะ (Festival Candied Apple Stall)” สีสันน่ารักสดใส มีทั้งรสหวานและเปรี้ยวของแอปเปิ้ล เดินถือไปกินไปก็ให้ฟีลเหมือนเดินเล่นในงานวัดหน้าร้อนของญี่ปุ่นเลยหลังจากนั้นก็ไปทานอาหารเย็นที่ห้องอาหารบุฟเฟต์ Noresore Shokudo ที่จัดเต็มด้วยอาหารสไตล์ท้องถิ่น อิ่มอร่อยกับปลาสด หอยเชลล์ย่าง และอาหารประจำภูมิภาคอีกมากมาย แต่ละเมนูรู้สึกได้ถึงความตั้งใจของเชฟที่อยากให้เราได้สัมผัสรสชาติบ้านเกิดของชาวอาโอโมริจริง ๆ พออิ่มท้องแล้วก็มารวมตัวกันเพื่อเต้นรำพื้นเมือง “Tsugaru Traditional Dance” ของจังหวัดอาโอโมริ ในทำนองเพลง “Wamo-namo Nebuta Ondo” ด้วยท่าเต้นที่เป็นเอกลักษณ์ เต้นตามง่าย ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ก็สามารถเพลิดเพลินไปด้วยกันได้และแล้วก็มาถึงช่วงไฮไลท์ของค่ำคืนนี้ ถ้าพูดถึงเทศกาลหน้าร้อนของญี่ปุ่นล่ะก็ หนึ่งในนั้นก็ต้องมี “เทศกาลเนบูตะมัตสึริ (Nebuta Matsuri)” ซึ่งเป็นงานเทศกาลที่จัดขึ้นในฤดูร้อนทั่วจังหวัดอาโอโมริเป็นประจำทุกปีตั้งแต่วันที่ 2-7 สิงหาคม แต่ความพิเศษคือที่ Aomoriya by Hoshino Resorts เค้าได้เนรมิตบรรยากาศเทศกาลมาให้ถึงรีสอร์ทในโชว์ชื่อว่า Michinoku Matsuriya เป็นโชว์ที่รวม 4 เทศกาลใหญ่ในจังหวัดอาโอโมริไว้ในที่เดียว ได้แก่ Aomori Nebuta Festival, Goshogawara Tachineputa Festival, Hirosaki Neputa Festival และ Hachinohe Sansha Taisai ทั้งหมดถูกถ่ายทอดออกมาแบบจัดเต็มทั้งชุด แสง สี เสียง ดนตรีพื้นบ้าน และโชว์เต้นที่เห็นแล้วขนลุกกันเลยทีเดียว  ซึ่งเค้าจะมีให้ชมทุกคืน ถึงแม้ไปญี่ปุ่นช่วงที่ไม่ตรงกับเทศกาลก็สามารถมาชมที่นี่ได้

DAY 4 :Aomoriya by Hoshino Resorts → Hachinohe Station

เริ่มต้นวันใหญ่ด้วยการออกกำลังกายยามเช้าที่ชื่อว่า Radio Taiso (ラジオ体操) หรือการออกกำลังกายแบบวิทยุ เป็นการออกกำลังกายสไตล์ญี่ปุ่นแบบเบาๆ ในตอนเช้า โดยใช้ภาษาถิ่นสึการุ (津軽弁) ซึ่งเป็นภาษาที่ใช้ในจังหวัดอาโอโมริจากนั้นก็ไปเติมพลังยามเช้าที่ห้องอาหารบุฟเฟต์ Noresore Shokudo เช่นเดิม แต่เมนูอาหารมื้อเช้าจะมีความเบาๆ จำพวกซาชิมิ เราสามารถเลือกเมนูที่ชอบมาจัดเรียงบนข้าวสวยได้ตามใจชอบ ส่วนเมนูที่อยากให้ลองชิมก็คือแกงกะหรี่แอปเปิ้ล อาจฟังดูไม่คุ้น แต่บอกเลยมันเข้ากันอย่างไม่น่าเชื่อพอสายๆ ก็มานั่งรถม้าชมสวน ก่อนขึ้นรถม้าก็มีการมอบนามบัตรประจำตัวของน้องให้ทราบชื่อกันก่อน น้องชื่อว่า “อุรุรุ (うるる)” ภายในสวนเรียงรายไปด้วยบ้านเรือนเก่าแก่ บางหลังมีอายุกว่าร้อยปี มีแอ่งน้ำล้อมรอบไปด้วยต้นไม้เขียวชะอุ่มทั่วบริเวณ เนื่องจากเป็นหน้าร้อนภายในรถจะมีกระบะใส่น้ำแข็งพร้อมถังใส่ไอศกรีมให้นั่งกินคลายร้อน พลางชมสวนไปด้วย คลอกับเสียงระฆังลม ยิ่งช่วยขับกล่อมบรรยากาศให้ผ่อนคลายยิ่งขึ้นลงจากรถม้าก็มาแวะผ่อนคลายกันที่ Garlic Beer Garden 931 เป็นลานที่มีของทานเล่นที่ทำจากกระเทียมถึง 7 ชนิด และเบียร์สูตรพิเศษที่ช่วยดึงรสชาติของกระเทียมออกมาได้อย่างเต็มที่ให้กินเบาๆ รองท้องกันก่อนไปทำกิจกรรมต่อหลายคนอาจยังไม่รู้ มีอีกหนึ่งอย่างที่ขึ้นชื่อในจังหวัดอาโอโมรินั่นก็คือ “โฮตาเตะ (Hotate)” หรือหอยเชลล์นั่นเอง ที่นี่ก็มีกิจกรรมตกโฮตาเตะให้ร่วมสนุกด้วย เราตกได้กี่ตัว ก็รับโฮตาเตะตามจำนวนที่ได้ไปเลย กิจกรรมจัดขึ้นทุกวันที่ลาน Jawamegu (จาวาเมงุ)

Info
Aomoriya Hoshino Resorts
Location : เมืองโทวาดะ (Towada) จังหวัดอาโอโมริ
Website : https://hoshinoresorts.com/en/hotels/aomoriya/

หลังจากเช็คเอาท์ก็ขับรถกลับมายังสถานีฮาจิโนะเฮะ (Hachinohe Station) เพื่อคืนรถและนั่งชินคันเซ็นกลับโตเกียว แอบบอกว่าบริเวณติดกับสถานีมีร้านขายของฝาก Ondeanse Youtree Souvenir Shop (おんであんせ ユートリーおみやげショップ) ที่มีสินค้าจากอาโอโมริน่าให้เลือกซื้อเยอะมาก แถมราคายังเป็นมิตร แนะนำให้แวะซื้อก่อนกลับโตเกียวด้วยนะ

Info
Ondeanse Youtree Souvenir Shop
Location: เมืองฮาจิโนเฮะ (Hachinohe) จังหวัดอาโอโมริ
Hours: 9:00-18:00 น.
Website: https://visithachinohe.com/spot/youtree-omiyage-shop/

 

LIKE & SHARE

ชอบเรื่องนี้จนต้องบอกต่อ