เทพช้างบอกฉันว่า “กุนซือมีอยู่รอบๆ ตัวเรา”
Yume wo Kanaeru Zou ชีวิตผมเปลี่ยนไปเมื่อได้เทพช้างมาเป็นกุนซือ
เข้าสู่เดือนที่สามของปีแล้ว ความตั้งใจที่จะเปลี่ยนแปลงหรือเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ เป็นไปตามที่คิดไว้บ้างหรือยังคะ ส่วนตัวฉันเองความตั้งใจที่สะสมไว้ตั้งแต่ปีก่อนโน้นนน บางอย่างก็ยังค้างคาล่าช้ามาจนถึงตอนนี้ ในขณะที่อีกหลายสิ่งอย่างก็ค่อยๆ พัฒนาเปลี่ยนแปลงไปทีละนิด
ฉันเชื่อว่าการอ่านเป็นอีกหนึ่งแรงผลักดันให้คนเราลุกขึ้นมาฮึดทำอะไรได้เยอะแยะเลยล่ะ หนังสือที่ฉันอ่านแล้วอยากบอกต่อเพราะคิดว่าน่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้ใครหลายคนได้ คือ “ชีวิตผมเปลี่ยนไป เมื่อได้เทพช้างมา เป็นกุนซือ” ที่แปลมาจากต้นฉบับภาษาญี่ปุ่น “Yume wo Kanaeru Zou” (夢をかなえるゾウ) เขียนโดย มิซุโนะ เคยะ (แปลโดย อภิญญา เตชะบุญไพศาล) ซึ่งเป็นหนังสือ Best Seller มายาวนานกว่าสิบปี! (และถูกนำไปสร้างเป็นซีรีส์แล้ว)
ครั้งแรกที่ลองแง้มเปิดอ่านดู ฉันแอบคิดว่าน่าจะเป็นหนังสือที่เหมาะสำหรับเหล่าซาลารี่แมน (มนุษย์เงินเดือน) คงไม่ใช่หนังสือของเราหรอก (แถมยังรู้สึกว่าเป็นฮาวทูที่ดู แฟนตาซีหน่อยๆ ด้วย) แต่จากที่ว่าจะลองๆ อ่านแค่แป๊บเดียว ปรากฏว่าติดหนึบจนวางแทบไม่ลง
เรื่องเริ่มต้นขึ้น เมื่อรูปปั้นเทพช้างที่ซื้อกลับมาจากอินเดียของหนุ่มพนักงานบริษัทธรรมดาๆ คนหนึ่ง จู่ๆ ก็มีชีวิตขึ้นมาในคืนที่ชายหนุ่มเมาร้องไห้หนักมากพร้อมกับฟูมฟายว่า “อยากเปลี่ยนแปลงตัวเอง”
ถึงแม้ชายหนุ่มจะงุนงงสงสัยและไม่ไว้ใจเทพช้างในตอนต้น แต่สุดท้ายเขาก็ลองเปิดใจ ลองออกมาจากกรอบความคิดของตัวเอง และลองทำภารกิจต่างๆ ตามที่เทพพุงพลุ้ยผู้ชอบกินของหวานแนะนำ
ไม่ว่าจะเป็นการขัดรองเท้าให้สะอาดเอี่ยมอ่องก่อนจะออกไปไหนต่อไหน การทำความสะอาดห้องน้ำ การทำให้คนอื่นหัวเราะ การรีบตรงดิ่งกลับบ้านทันทีหลังเลิกงาน (ภารกิจนี้น่าจะขัดแย้งกับค่านิยมในการทำงานบริษัทญี่ปุ่นเอามากๆ) หรือการกินอาหารให้อิ่มแค่ 80 เปอร์เซ็นต์ เป็นต้น
จะว่าไป คำแนะนำต่างๆ ที่เทพช้างว่ามา ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไรเลย ใครๆ ก็รู้อยู่แล้ว และยังสามารถทำตามได้อย่างไม่ยากเย็นจนเกินไป แต่ฉันว่าที่หนังสือฮาวทูเล่มนี้ประสบความสำเร็จ น่าจะเพราะกลวิธีการเล่าเรื่องแบบนวนิยาย ดึงให้ผู้อ่านติดตามต่อไปว่าเทพช้างจะมอบภารกิจให้ชายหนุ่มผู้ไม่เอาไหนลงมือทำอะไรบ้าง ประเด็นคือ “เขาจะเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ไหม?”
นอกจากนี้ ผู้เขียนยังมัดใจผู้อ่านที่อยากจะเปลี่ยนตัวเองด้วยการหยิบยกตัวอย่าง หรือคำพูดที่ให้แง่คิดจากคนตัวเป็นๆ ในโลกแห่งความจริงที่ประสบความสำเร็จในอาชีพสาขาต่างๆ มาอ้างอิง ทั้งซุซุกิ อิจิโร่ (นักกีฬาเบสบอลมืออาชีพสัญชาติญี่ปุ่น), ไมเคิล จอร์แดน, ร็อกกี้ เฟลเลอร์, วอร์เรน บัฟเฟตต์, สตีฟ จ็อบส์ ฯลฯ
อ่านจบแล้วฉันก็คิดขึ้นได้ว่า จริงๆ เราต่างก็มีกุนซือผู้รู้เรื่องนั้นเรื่องนี้อยู่รอบๆ ตัวเรากันทั้งนั้นแหละ และที่สำคัญฉันว่าคนส่วนใหญ่ก็คงจะมีคุณสมบัติหนึ่งที่คล้ายๆ กันด้วยคือ “รู้อยู่แล้ว แต่ไม่ยอมลงมือทำ” (จะเรียกว่าเป็นคุณสมบัติได้มั้ยนะ หรือมันจะฝังอยู่ใน DNA!)
…ก็เลยต้องมาอ่านหนังสือเสริมสร้างพลังใจแบบนี้ซ้ำๆ ไงคะ 😛