MIE 101 : ทริปเดบิวต์การท่องเที่ยวในจังหวัด ‘มิเอะ’ แบบรวบตึงของดีที่เที่ยวยอดฮิตใน 3 วัน 2 คืน
สารบัญ
- Day 1 รื่นเริงบันเทิงใจกับธรรมชาติ ดอกไม้บานและของหวานแสนอร่อย AQUAIGNIS → Kyuka Park → Nabana no Sato
- Day 2 ไหว้พระ สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ใกล้ชิดวัฒนธรรมญี่ปุ่น Meoto Iwa → Ise Shrine → Okageyokocho
- Day 3 วาร์ปไปยุโรป – แวะเที่ยวสเปน, จิบ Afternoon Tea และดี๊ด๊าไปกับสัตว์โลกน่ารัก Shima Mediterranean Village → Shima Kanko Hotel → Toba Aquarium→ Shimakaze Train → Nagoya
พูดถึงชื่อจังหวัด ‘มิเอะ’ ลอยๆ หลายคนอาจจะเฉยๆ ไม่รู้สึกอยากไป เที่ยว สักเท่าไร แต่ถ้าเราบอกเพิ่มอีกนิดว่าที่นี่คือ…
▸ มีชื่อเสียงเรื่อง ‘เนื้อมัตสึซากะ (Matsusaka Beef)’ เนื้อวัวชั้นเลิศอร่อยล้ำที่สายเนื้อหลงใหล
▹ เป็นที่ตั้งของศาลเจ้าเก่าแก่อายุร่วม 2,000 ปีอย่าง ‘ศาลเจ้าอิเสะ (Ise Shrine)’ และสวนดอกไม้ที่คนไทยชอบไปถ่ายรูปกับอุโมงค์ไฟ Illumination สุดอลังการอย่าง ‘นาบานะโนะซาโตะ (Nabana no Sato)’
▸ เป็นแหล่งกำเนิดแบรนด์ ‘มิกิโมโตะ (Mikimoto)’ ซึ่งเป็นแบรนด์ที่เพาะพันธุ์ไข่มุกสำเร็จเป็นที่แรกของโลก
▹ เป็นที่ตั้งของอควาเรียมขนาดใหญ่ซึ่งเป็นเพียงแห่งเดียวในญี่ปุ่นที่มีน้องพะยูนให้ชม
เพียงแค่นี้น่าจะทำให้หลายคนร้องว้าว ไม่ก็ร้องอ๋อ เพราะเคยมาเที่ยวที่นี่แล้วโดยไม่รู้ว่าเป็นจังหวัด มิเอะด้วยซ้ำ ไม่ว่าคุณจะรู้จักหรือเคยมาที่นี่หรือไม่ เราเชื่อว่าแพลน เที่ยว มิเอะ 101 ฉบับ 3 วัน 2 คืนที่กำลังจะนำเสนอต่อไปนี้จะพาไปคุณไปทำความรู้จักกับของดีที่ เที่ยว ดังในจังหวัด มิเอะ อย่างเต็มอิ่ม จนมีทริปครั้งแรกและครั้งต่อๆ ไปแน่นอน
นั่งรถไฟจากสนามบินนานาชาติชูบุเซ็นแทรร์ (Chubu Centrair International Airport) มาลงที่ใจกลางเมืองนาโกย่าเพียงแค่ 30 นาที (หรือนั่งรถไฟชินคันเซ็นจากโตเกียวมานาโกย่าแค่ 1 ชั่วโมงครึ่ง) ก่อนเริ่มต้นทริปเรียนรู้จังหวัด มิเอะ ฉบับรวบตึงของเด็ดอย่างเป็นทางการ เรามุ่งไปจุดขายตั๋วรถไฟคินเท็ตสึ (Kintetsu) เพื่อซื้อ Kintetsu Rail Pass Plus ไว้ขึ้นรถไฟและรถบัส (ของบริษัทคินเท็ตสึ) ได้ไม่จำกัด เที่ยว ทั่วเมืองนาโกย่าในจังหวัดไอจิ นารา เกียวโต โอซาก้า และแน่นอน มิเอะ ตลอด 5 วันติดกัน ใบเดียวกำให้แน่น รับรอง เที่ยว ได้ทั่วเมืองฮิต จำหน่ายในราคาผู้ใหญ่ 5,900 เยน เด็ก 2,950 เยน แต่ถ้าซื้อในไทยราคาผู้ใหญ่จะคิดเพียง 5,700 เยน ขึ้นรถไฟผิดๆ ถูกๆ ได้อย่างสบายใจงบไม่บาน แต่ถ้าขึ้นขบวนด่วนพิเศษจะต้องเสียค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมด้วยนะ
Day 1 รื่นเริงบันเทิงใจกับธรรมชาติ ดอกไม้บานและของหวานแสนอร่อย
AQUAIGNIS → Kyuka Park → Nabana no Sato
01 AQUAIGNIS
เริ่มเปิดทริปที่ AQUAIGNIS สถานที่ที่เราให้คำจำกัดความลำบากเหลือเกิน เพราะตอนนั่งรถไฟมายังสถานี Yunoyama onsen เราเห็นแต่ทุ่งหญ้าและต้นไม้เขียวชอุ่ม ใครจะไปคิดว่านั่งรถบัสมาแค่ 3 นาที (หรือจะเดินก็ใช้เวลาประมาณ 10 นาที) จะมีอาคารคอนกรีตเท่ๆ แกลเลอรี่อาร์ตๆ คาเฟ่ชิคๆ ร้านขายของฝากเก๋ๆ สวนเก็บสตรอว์เบอร์รี ออนเซ็น และโรงแรมอยู่ในบริเวณเดียวกันท่ามกลางธรรมชาติ ขอเรียกสั้นๆ ว่ารีสอร์ทครบวงจรก็แล้วกัน
ไฮไลท์ของที่นี่เรายกให้การเก็บสตรอว์เบอร์รีที่ Tsujiguchi Farm สตรอว์เบอร์รีที่นี่ปลูกแบบเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ใช้ปุ๋ยอินทรีย์และไม่ใช้สารเคมีใดใด จ่ายเงิน 2,300 เยน (ราคาแตกต่างกันไปตามช่วงเวลา) แล้วเดินเข้าไปไล่เด็ดกินได้อย่างปลอดภัยและเพลิดเพลินตลอด 40 นาทีในสวนอันแสนกว้างที่มีสตรอว์เบอร์รีประมาณ 40 แถว นอกจากเรื่องความใส่ใจในการปลูก ที่นี่ยังมีสตรอว์เบอร์รีหลากหลายสายพันธุ์ให้เลือกชิม Akihime เหมาะสำหรับคนชอบหวาน เด็กๆ ชอบมากเพราะไม่ค่อยเปรี้ยว Benihoppe นิยมนำไปทำขนมเพราะรสอมเปรี้ยวนิดๆ กำลังดี และมีหลายชนิดเราไม่เคยเห็นมาก่อน เช่น Hoshinokirameki, OI-C Berry, Tochiotome และที่อยากให้ลองชิมมากคือ Toukun ซึ่งเป็นสตรอว์เบอร์รีที่รสเหมือนลูกพีช! หมดฤดูของสตรอว์เบอร์รีแล้วที่นี่จะปลูกเมลอนแทน มีทั้งแบบขายเป็นลูกและนำไปทำขนมและน้ำผลไม้
ไฮไลท์ที่สองตกเป็นของคาเฟ่ขนมหวานในอาคารชื่อ Confiture H เมื่อเดินเข้ามาด้านในจะพบกับตู้ขนมหวานหน้าตาดูดีมีความน่าอร่อยเรียงรายอยู่เต็มไปหมดทั้งเค้ก มาการอง ทาร์ต มองบลัง ฯลฯ รวมไปถึงแยมนานาชนิดที่ใช้น้ำผึ้งแทนน้ำตาล และถ้าเห็นขนมที่มีสตรอว์เบอร์รีเป็นส่วนผสม มั่นใจได้เลยว่าเป็นผลิตผลจากสวนที่เราเพิ่งแวะไปสักครู่ นอกจากนี้ร้านขนมปังที่นี่ก็ปังสมชื่อ มีถ้วยรางวัลจากหลายการแข่งขันในระดับนานาชาติรับประกันความอร่อย
ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ต้องเป็นแขกที่มาพักที่นี่ก็สามารถแวะมาเก็บสตรอว์เบอร์รี ทานเค้ก นั่งชิลล์ แช่น้ำร้อนได้ตามสะดวก
Info
Confiture H
Hours: 10:30-18:00 น.
Holiday: –
Info
Tsujiguchi Farm
Hours: ธันวาคมถึงมิถุนายน 10:00-17:00 น.
Holiday: กรกฎาคมถึงพฤศจิกายน
Info
Aquaignis Gallery On
Hours:จ.-ศ. 11:00-15:00 น., ส.-อา. และวันหยุดนักขัตฤกษ์ 11:00-16:00 น.
Holiday: –
Website: www.aquaignis.jp/en
Nearest Station: สถานียูโนยามะออนเซ็น (Yunoyamaonsen Station)
Access: จากสถานียูโนยามะออนเซ็น เดินประมาณ 10 นาที
02 Kyuka Park
คำจำกัดความของสวนสาธารณะแห่งนี้นั้นง่ายมาก ที่นี่เป็นจุดชมซากุระยอดฮิตของชาวเมืองนั่นเอง
แม้ตอนที่เราไปซากุระจะยังไม่ค่อยบานเท่าไหร่ แต่บอกได้เลยว่าเห็นความปังตั้งแต่ดอกไม้เพิ่งเริ่มแจกความสดใส สวนนี้แสนกว้างใหญ่ ภายในพื้นที่ประมาณ 7 เฮกตาร์ (ราว 72,000 ตารางเมตร) มีต้นซากุระหลากหลายสายพันธุ์ สีขาวสีชมพูอ่อนชมพูเข้มมีครบหมด และยังมีองค์ประกอบที่ช่วยส่งเสริมความงามของซากุระและเพิ่มความรื่นรมย์ในการชมอย่างครบถ้วน เช่น ทะเลสาบ สะพานโค้งสีแดงอันเป็นเอกลักษณ์ของสวนญี่ปุ่น เรือนชมวิวกลางน้ำ และที่นั่งริมตลิ่งในทอดหุ่ยมองสายน้ำไหลอย่างเงียบสงบ
ที่นี่มีดอก Tsutsuji ให้ชมในเดือนพฤษภาคม และดอก Iris ในช่วงมิถุนายนด้วย
Info
Kyuka Park
Hours: เปิด 24 ชั่วโมง
Holiday: –
Entrance Fee: เข้าฟรี
Nearest Station: สถานีคุวานะ (Kuwana Station)
Access: จากสถานีคุวานะ เดินประมาณ 20 นาที
03 Nabana no Sato
หลายคนอาจจะรู้จักที่นี่เพราะ The Tunnel of Light อุโมงค์ไฟสุดระยิบระยับที่พูดได้เต็มปากว่าเป็นนางเอกประจำสวนที่ช่วยเรียกนักท่องเที่ยวจำนวนมากมากันทุกปี แต่เราอยากชวนให้มาที่สวนตั้งแต่ยังไม่มืดเพราะที่นี่ใหญ่มาก ใหญ่มากจริงๆ และมีอะไรให้เที่ยวชมแวะชิมเยอะเชียว ถ้าลังเลไม่รู้จะเริ่มมุมไหนยังไง เราขอคัด 3 ไฮไลท์เด็ดมานำเสนอ
1) The Tunnel of Light และการประดับไฟ Illumination ประจำปี
The Tunnel of Light คืออุโมงค์ไฟดวงน้อยเรียงรายสวยสุดโรแมนติกความยาว 200 เมตรที่นักท่องเที่ยวจำนวนมากใฝ่ฝันถึง แม้ตัวสถานที่จะไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าอุโมงค์ทางตรงที่เราต้องเดินหน้าไปเรื่อยๆ แต่ความสวยแบบฟรุ้งฟริ้งชวนฝันอันเรียบง่ายนี้เองที่โดนใจผู้คนแบบไม่ต้องพยายาม เมื่อเดินพ้นโซนนี้ไปแล้ว อยากชวนไปดูไฟต่อที่ด้านใน ซึ่งการจัดแสดงไฟบริเวณนี้จะเปลี่ยนธีมทุกปี จะเดินเข้าไปชมใกล้ๆ ก็ได้ หรือจะไปยืนดูจากจุดชมวิวชั้นสองก็สวยไปอีกแบบ
2) ทุ่งดอกไม้~ทิวลิป
สวนดอกไม้อันกว้างใหญ่ของที่นี่คือหนึ่งในไฮไลท์ที่เราเชื่อว่าถูกใจชาวไทยสายชิลล์แน่นอน ช่วงที่เราไปเป็นตอนที่ดอกทิวลิปกำลังบานพอดี แค่ได้เห็นดอกไม้สีสันสดใสเรียงตัวสลับสีกันอย่างสวยงามสุดลูกหูลูกตาก็รู้สึกสดชื่นขึ้นมาแล้ว ที่นี่มีดอกทิวลิปถึง 1,800,000 ดอกเชียวนะ ถ้ามาช่วงฤดูอื่นก็มีดอกไม้หลายชนิดให้ชม เช่น ดอกอาซาเลีย ดอกคอสมอส ดอกไอริส เป็นต้น ชมวิวแนวระนาบแล้วอยากชวนให้ขึ้นไปจุดชมวิว(จุดชมวิวเดียวกับที่ดูไฟนั่นแหละ) มองดอกไม้แสนสดใสจากมุมบนด้วย นอกจากจะสวยไปอีกแบบยังมีซอฟต์ครีมแสนอร่อย หวานนวลไปหมดทั้งบรรยากาศและขนมในมือ
3) สวน Begonia Garden
สำหรับคนรักดอกไม้ ต้องมาต่อที่สวน Begonia Garden ที่นี่เป็นสวนดอกไม้ในอาคาร สวยหวานอลังการไปอีกแบบ แม้จะต้องจ่ายเงินเพิ่ม 1,000 เยน แต่เราว่าคุ้มค่ามาก เพราะชมดอกไม้บานได้ตลอดปีไม่เกี่ยงฤดู มีดอกไม้หลายธีมให้ชมกันถึง 4 โซน ซึ่งทางสวนรวบรวมดอกไม้หลายร้อยชนิดจากทั่วโลกกว่า 12,000 ต้นมาอวดความสดใสในพื้นที่ 9,000 ตารางเมตร แค่เข้าไปเจอดอกเบโกเนียกว่า 5,000 ต้นในห้องแรกก็ฟินแล้ว แต่ที่ประทับใจมากที่สุดคือโซนสุดท้ายซึ่งมีดอกไม้และต้นไม้ห้อยลงมาจากเพดานสะท้อนเงาในสระน้ำสวยหวานละมุนราวกับอยู่ในโลกแห่งเทพนิยาย ต่อให้วันนั้นหน้าสด แค่มายืนตรงนี้ได้รูปสวยๆ แน่นอน ในอาคารนี้มีคาเฟ่ด้วยนะ ถ้ามีเวลาต้องแวะจิบ afternoon tea ท่ามกลางดอกไม้สวยๆ ก่อนไปเที่ยวต่อ
นอกจากนี้ยังมี Island Fuji ภูเขาไฟฟูจิจำลองที่บินได้! พาเราลอยขึ้นไป 45 เมตรเพื่อชมวิวสวนแบบพาโนรามาอย่างเพลิดเพลินตลอด 7 นาที(ค่าขึ้น 600 เยน), Ashiyu หรือออนเซ็นสำหรับแช่เท้า เหมาะมากสำหรับชาวขี้เมื่อยที่เหนื่อยล้าจากการเดินเที่ยวมาทั้งวัน ร้านอาหาร ร้านขนมปัง คาเฟ่ และร้านขายของฝากมากมาย (ในร้านอาหารชื่อ Nagashima Beer Garden มีเครื่องดื่มท้องถิ่นที่เขาบ่มเองด้วยล่ะ!)
Info
Nabana no Sato
Hours: 10:00-21:00 น. (เวลาทำการเปลี่ยนตามความเหมาะสม กรุณาเช็คในเว็บไซต์ก่อนไป)
Holiday: –
Entrance Fee: ค่าเข้าแตกต่างไปแล้วแต่ฤดูกาล พ.ค.-ต้นเดือนก.ค. 1,000 เยน, 27 ก.ค.-กลางเดือนก.ย. 1,600 เยน, กลางเดือนก.ย.-กลางเดือนต.ค. 2,300 เยน นอกเหนือจากนี้ยังไม่กำหนด
Nearest Station: สถานีนากาชิมะ (Nagashima Station)
Access: จากสถานีนากาชิมะ ให้ต่อรถบัสมาลงที่ป้าย นาบานะ โนะ ซาโตะ (Nabana No Sato) ประมาณ 10 นาที
Website: www.nagashima-onsen.co.jp/nabana/fee/index.html
Day 2 ไหว้พระ สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ใกล้ชิดวัฒนธรรมญี่ปุ่น
Meoto Iwa → Ise Shrine → Okageyokocho
04 Meoto Iwa
เริ่มต้นทริปวันนี้ที่ริมทะเลรับวันฟ้าใส เราเดินทางไปยัง Meoto Iwa อีกหนึ่งสถานที่ที่มีความศักดิ์สิทธิ์และเป็นแลนด์มาร์กชื่อดังประจำจังหวัด มิเอะ
Meoto Iwa คือหินสองก้อนกลางทะเลที่มีเชือกพาดเชื่อมกันคล้ายมงคลคล้องคู่บ่าวสาวของไทย โด่งดังในฐานะหินคู่แต่งงานโดยหินก้อนใหญ่คือสามี และหินก้อนเล็กคือภรรยา สื่อถึงเทพเก่าแก่ 2 องค์ของญี่ปุ่นซึ่งเป็นคู่สามีภรรยาผู้สร้างสรรพสิ่งต่างๆ บนโลกขึ้นมา คนนิยมมาขอพรเกี่ยวกับเรื่องความรักรวมถึงการใช้ชีวิตคู่กันที่นี่ จะโสดหรือมีคู่แล้วก็สามารถมาขอความช่วยเหลือจากท่านเทพได้ ใครฟิตหน่อย ต้องตื่นมาชมพระอาทิตย์ขึ้นที่นี่วิวสวยสไตล์ญี่ปุ่นสุดๆ ซึ่งในหนึ่งปีเรามีโอกาสมองเห็นภูเขาไฟฟูจิจากที่นี่ได้บ่อยๆ
ไหนๆ มาถึงนี่แล้ว อย่าลืมแวะไหว้พระที่ศาลเจ้า Futami-Okitama ที่ตั้งอยู่ริมทะเลพื้นที่เดียวกับหิน Meoto Iwa ที่นี่มีเซียมซีกบราคา 300 เยนที่นอกจากจะทำนายดวงชะตายังมีแมวกวักจิ๋วให้พกเพื่อสิริมงคลด้วย มีวงเชือกถักราคา 300 เยนให้ซื้อมาสะเดาะเคราะห์เฉพาะจุด ว่ากันว่าถ้านำเชือกมาถูบริเวณที่เจ็บป่วยหรือบาดเจ็บอยู่จะช่วยให้หายดี
ส่วนที่เดินมาแถวนี้แล้วเห็นรูปปั้นกบเยอะก็ไม่ต้องงงไปนะ เพราะน้องกบเหมือนเป็นสัตว์มงคลแถวนี้เพราะคำว่ากบในภาษาญี่ปุ่นคือ Kaeru ซึ่งพ้องเสียงกับคำที่แปลว่า “กลับ, กลับมา” รูปปั้นกบต่างๆ แถวนี้จึงเปรียบดังเครื่องรางที่จะช่วยให้ผู้ที่มาเยือนเดินทางกลับอย่างปลอดภัย หรือได้ของที่หายไปกลับคืนมา
Info
Futami Okitama Shrine
Hours: 7:00-16:00 น.
Holiday: –
Entrance Fee: ฟรี
Website: www.futamiokitamajinja.org
05 Ise Shrine
ศาลเจ้าอิเสะคือศาลเจ้าเก่าแก่ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน แบ่งพื้นที่เป็น 2 ส่วนคร่าวๆ ได้แก่ Naiku อายุราว 2,000 ปี และ Geku อายุราว 500 ปี (2 ที่นี้อยู่ห่างกัน ต้องนั่งรถบัสประมาณ 10 นาที) ที่จักรพรรดิในอดีตสั่งให้หาทำเลที่เหมาะกับการสร้างสถานที่สักการะบูชาเทพเจ้าอามาเทราสึ เทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ซึ่งนับว่ายิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาเทพธิดาของญี่ปุ่น จากนั้นก็มีการสร้างศาลเจ้าแห่งนี้ขึ้นในเมืองอิเสะ ที่นี่จึงถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อันเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจอันดับหนึ่งของชาวญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้ มีคนแวะมาไหว้พระที่นี่มากมายเลยทีเดียว อย่างปี ค.ศ. 2019 มีมากกว่า 9,000,000 คน อีกทั้งยังมีการจัดพิธีสำคัญทางศาสนาต่างๆ มากกว่า 1,500 ครั้งต่อปี
พื้นที่ของศาลเจ้าอิเสะกว้างขวางมาก มีศาลเจ้าบูชาเทพเจ้าต่างๆ มากมาย วันนี้เราแวะไปไหว้พระที่ Naiku ซึ่งถือว่าเป็นพื้นที่หลัก หัวใจสำคัญของศาลเจ้าอิเสะที่มีศาลเจ้าซึ่งเทพอามาเทราสึสถิตอยู่ ถ้าสนใจอยากรู้เรื่องเกี่ยวกับศาลเจ้าแห่งนี้อย่างเข้มข้นขอแนะนำให้ไปพิพิธภัณฑ์เซ็งกูคัง (Sengukan) อยู่ที่ Geku
บรรยากาศที่นี่ชวนให้รู้สึกถึงความศักดิ์สิทธิ์น่าเกรงขามแต่ก็ร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่ มีแม่น้ำไหลเสริมความสงบนิ่งของจิตใจ ชวนให้อยากสำรวมกิริยาอาการโดยอัตโนมัติ อาคารไม้ต่างๆ ที่นี่ก็น่ามอง เพราะเป็นงานช่างเก่าแก่แบบดั้งเดิมที่สืบทอดวิชากันมาเป็นพันปี อาจจะดูใหม่แต่นั่นเป็นเพราะว่าเขารื้อสร้างใหม่ทุก 20 ปีเพื่อส่งต่อองค์ความรู้ให้ช่างรุ่นต่อไปผ่านการทำงานจริงนั่นเอง ต่อให้ไม่ใช่สายมู แต่เราเชื่อว่าที่นี่คู่ควรแก่การมาสักการะให้ได้สักครั้งในชีวิตเพราะศาลเจ้าอิเสะเต็มไปด้วยคุณค่าทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมท่ามกลางธรรมชาติอันงดงาม
Info
Ise Shrine
Hours: ม.ค.-เม.ย. และ ก.ย. 6:00-18:00 น., พ.ค.-ส.ค. 6:00-19:00 น., ต.ค.-ธ.ค. 6:00-17:00 น.
Holiday: –
Entrance Fee: ฟรี
Nearest Station: สถานีอิเสะชิ (Iseshi Station)
Access: จากสถานีอิเสะชิ ให้ต่อรถบัสจากด้านหน้าสถานีมาลงที่ป้ายไนกุ มาเอะ (Naiku mae) ประมาณ 13 นาที แล้วเดินต่อประมาณ 12 นาที
Website: www.isejingu.or.jp
06 Okage Yokocho
คำจำกัดความที่เข้าใจง่ายที่สุดสำหรับ Okage Yokocho น่าจะเป็นตรอก Little Kyoto เพราะที่นี่คือถนนสายช็อปปิ้งที่คงบรรยากาศและอาคารแบบเก่าแก่เอาไว้เหมือนเราเดินอยู่ในย่านกิออนของเกียวโตหรือเมืองคาวาโกเอะในจังหวัดไซตามะไม่มีผิด
Okage Yokocho อยู่ด้านหน้าศาลเจ้าอิเสะ(ไนกู)นี่เอง สักการะบูชาท่านเทพ เสริมความเข้มแข็งทางใจเสร็จแล้วต้องมาเสริมความสมบูรณ์ของร่างกายด้วยอาหารและขนมอร่อยๆ ในย่านนี้ด้วยถึงจะสมดุล! แม้ในถนนสายนี้จะมีร้านเนื้อวัวน่ารับประทานมากมาย แต่เราขอแนะนำร้าน Sushi Kyu ซึ่งมี Tekonezushi อาหารท้องถิ่นยอดฮิตของเมืองอิเสะที่ชาวประมงเป็นผู้คิดค้น ตัวข้าวมีรสเปรี้ยวแบบข้าวซูชิทั่วไป ส่วนเครื่องด้านบนมักใช้ปลาคัตสึโอะหรือมากุโร่แสนอร่อยหมักในโชยุจนได้ที่ถึงนำมาโปะแล้วโรยด้วยสาหร่าย เสิร์ฟคู่ซุปมิโสะร้อนๆ อิ่มเอมแบบญี่ปุ่นสุดๆ
กินคาวแล้วต้องตามด้วยของหวาน ถึงจะสำราญตามขนบ มาต่อกันที่ Akafuku ร้านเก่าแก่ชื่อดังประจำย่านซึ่งเปิดกิจการมา 300 ปีแล้ว ออกตัวก่อนเลยว่าเราไม่ชอบกินอันโกะ(ถั่วแดงบดแสนหวานที่มักเป็นไส้ของขนมญี่ปุ่น) แต่ร้านนี้ทำให้ติดใจจนอยากจะซื้อกลับบ้านด้วยซ้ำ ขนมที่พลิกชีวิตเรามีชื่อว่า Akafuku mochi เหมือนชื่อร้าน เป็นแป้งโมจิเนื้อหนึบกำลังดีห่อด้วยถั่วแดงบดเนื้อเนียนปาดเป็นริ้วสวยสื่อถึงกระแสน้ำของแม่น้ำ Isuzu ซึ่งไหลผ่านศาลเจ้าอิเสะ โดยโมจิคือก้อนกรวด ส่วนถั่วแดงคือสายน้ำ รสสัมผัสและความหวานทุกอย่างกำลังดีลงตัวไปหมด กินคู่กับชาเขียวคือดีมาก
อิ่มท้องแล้วก็ต้องเดินย่อยสักหน่อย แถวนี้มีร้านขายของฝากหลายรูปแบบ ทั้งขนม อาหารแห้ง ของกระจุกกระจิก งานฝีมือ จะเดินถ่ายรูปเล่นกับอาคารสวยๆ ก็สนุกดี มีแมวกวักตัวยักษ์สุดฮิตที่คนต่อคิวถ่ายรูปเยอะตลอด หรือถ้าอยากหาอะไรทำเพลินๆ ก็มีร้านเกมยิงปืนลมสไตล์งานวัดด้วยนะ สำหรับคนช่างสังเกต อยากชวนมองหลังคาหา 3 ลิงที่น่าจะถูกปั้นขึ้นมาแซว 3 ลิงชื่อดังแห่งศาลเจ้านิกโก้โทโชกูที่จังหวัดโทชิกิ เพราะ 3 ตัวออริจินอลเขาปิดหูปิดตาปิดปาก แต่ 3 ตัวนี้ทำตรงข้ามเขาหมดเลย
อีกอย่างที่ไม่แนะนำไม่ได้จริงๆ คือร้านเช่ากิโมโน Ayano ซึ่งพิเศษกว่าร้านเช่ากิโมโนในจังหวัดอื่นตรงที่เขาใช้ Ise Momen ผ้าทอในท้องถิ่นในการตัดชุด ดังนั้นเนื้อผ้าและลวดลายของกิโมโนที่นี่จึงแตกต่างจากที่อื่นอย่างเห็นได้ชัด Ise Momen คือผ้าคอตตอนเนื้อละเอียดนุ่มไม่ระคายเคืองผิว ด้านลวดลายก็ค่อนข้างโมเดิร์นสีสันสดใสไม่เป็นทางการเหมือนกิโมโนทั่วไปจึงเป็นที่ถูกใจสาวๆ มากมาย ร้านนี้มีผ้าให้เราเลือกถึง 3 ชนิด ได้แก่ Ise Momen ลายสก็อต, Matsusaka ผ้าย้อมครามซึ่งเนื้อหนากว่าอีกสองชนิดและ Ise Kata ซึ่งผ้าบางพอๆ กับ Ise momen แต่วิธีการย้อมโดยใช้แม่พิมพ์ต่างกันเล็กน้อย ขอแนะนำให้แวะมาเช่าชุดที่นี่ก่อนค่อยเดินไปสักการะบูชาท่านเทพ นอกจากจะอินกับวัฒนธรรมญี่ปุ่นไปอีกระดับยังได้รูปสวยๆ ด้วย
Info
Okage Yokocho
Hours: แตกต่างกันไปตามแต่ละร้านค้า
Holiday: –
Nearest Station: สถานีอิเสะชิ (Iseshi Station)
Website: www.okageyokocho.co.jp
07 Kashikojima Hojoen
Kashikojima Hojoen โรงแรมสไตล์ญี่ปุ่นที่เราสามารถสัมผัสความงามของสถาปัตยกรรมแบบญี่ปุ่นดั้งเดิมได้ทั่วทั้งอาคารอันแสนโอ่โถง ระแนงไม้ เสาไม้และหลังคาแบบย้อนยุคสะท้อนถึงความพิถีพิถันแบบคนญี่ปุ่นสมัยก่อน สวนหินภายในโรงแรมซึ่งมีน้ำตกจำลองก็เป็นอีกมุมที่ทำให้เราตื่นเต้นไปกับดีไซน์ของโรงแรม
เรื่องอาหารที่นี่ดีเด่นทั้งอาหารเช้าและอาหารเย็น ไลน์บุฟเฟต์ตอนเช้าอู้ฟู่มาก มีครบทั้งแนวญี่ปุ่นและอาหารฝรั่ง เครื่องดื่ม ผลไม้ ของหวานเยอะไปหมด กินเต็มที่มีพลังลุยเที่ยวต่อได้ทั้งวัน ส่วนมื้อเย็นเราได้ลองอาหารแบบคอร์สซึ่งมีทั้งเนื้อวัวรสเลิศและอาหารทะเลแสนสดหวาน เรียกได้ว่าเป็นอีกมื้อที่ช่วยฟื้นฟูร่างกายได้อย่างเต็มรูปแบบ
แต่สิ่งที่ดีที่สุดของโรงแรมนี้ เราขอยกให้ทิวทัศน์ทางธรรมชาติอันงดงามซึ่งทำให้เรารู้สึกได้พักผ่อนอย่างแท้จริง นี่ไม่ใช่คำกล่าวที่เกินความเป็นจริงแต่อย่างใด เมื่อคิดว่าโรงแรมตั้งอยู่บนเกาะ Kashikojima ซึ่งเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในบริเวณอ่าว Ago วิวที่เรามองเห็นจากห้องนอนคือท้องทะเลสีน้ำเงินสุดลูกหูลูกตาใต้ฟ้าใส แถมยังมีหมู่เกาะให้เห็นสีเขียวชอุ่มชวนให้รู้สึกสบายใจ วิวสวยๆ นี้ผสมผสานไปกับโรงแรมเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเดินอยู่ตรงทางเดินหรือนั่งกินข้าวในห้องอาหารเช้า รู้สึกตัวอีกทีก็พบว่าตัวเองกำลังมองทะเลอันแสนสงบ
นอกจากนี้ยังมีสวนสวยๆ ให้เดินเล่นและชมธรรมชาติได้อย่างใกล้ชิด ต้องเดินลงไปที่โป๊ะด้านล่างด้วย แค่ไปนั่งๆ ยืนๆ มองทะเลบนแท่นที่ขยับเบาๆ ตามแรงกระเพื่อมของคลื่นก็รู้สึกเลยว่าความเหนื่อยล้าได้จากเราไปกับสายน้ำแล้ว สุดท้าย เพื่อให้ฟินสูงสุด อย่าลืมไปแช่ออนเซ็นกลางแจ้งที่สามารถชมวิวอ่าวที่ว่ามานี้ได้อย่างเพลิดเพลิน วิวตอนพระอาทิตย์ตกดิน บรรยากาศดีจนเกินบรรยายเลยล่ะ
Info
Kashikojima Hojoen
How to Reserve: คลิกที่นี่เพื่อสำรองห้องพัก
Nearest Station: สถานีคาชิโกจิมะ (Kashikojima Station)
Access: จากสถานีคาชิโกจิมะ เดินประมาณ 7 นาที
Website: www.hojoen.com/en
Day 3 วาร์ปไปยุโรป – แวะเที่ยวสเปน, จิบ Afternoon Tea และดี๊ด๊าไปกับสัตว์โลกน่ารัก
Shima Mediterranean Village → Shima Kanko Hotel
→ Toba Aquarium→ Shimakaze Train → Nagoya
08 Shima Mediterranean Village (Shima Chichukai-mura)
เมื่อวานเสพความเป็นญี่ปุ่นอย่างเต็มที่ไปแล้ว ตื่นเช้ามาวันนี้เราแวะไปเที่ยวสเปนกันหน่อยดีกว่า นั่งรถขึ้นเขามานิดหน่อย เราจะได้พบกับ Shima Mediterranean Village ซึ่งจำลองบรรยากาศสไตล์เมดิเตอร์เรเนียนไว้อย่างสมบูรณ์แบบทั้งอาคาร ทางเดิน น้ำพุ ร้านค้าต่างๆ การไล่ระดับของพื้นที่ที่ทำให้เราสามารถชมวิวเขาและทะเลไปพร้อมๆ กับเมืองที่ตกแต่งไว้อย่างสวยงาม
จริงๆ แล้วที่นี่เป็นรีสอร์ทที่เนรมิตมินิสเปนมาไว้บนเนินเขาริมทะเล โดยมีพร้อมสรรพทั้งคาเฟ่ ร้านอาหาร ร้านขายของฝาก สตูดิโอทำเวิร์คช็อปเล็กๆ กิจกรรมเอาท์ดอร์เบาๆ ให้แขกที่มาพักได้หนีออกจากโลกอันวุ่นวายมาพักผ่อนได้อย่างเต็มที่ในพื้นที่กว่า 33,000 ตารางเมตร ส่วนคนทั่วไปก็สามารถเข้ามาสนุกกับบรรยากาศของอีกทวีปหนึ่งได้ในชั่วพริบตา เพียงเสียค่าเข้า 700 เยน ก็สามารถเที่ยวชมได้ทั้งวัน
Info
Shima Mediterranean Village (Shima Chichukai-mura)
Hours: แตกต่างกันไปตามแต่ละร้านค้า
Website: www.puebloamigo.jp/en
09 Afternoon tea at Shima Kanko Hotel
ไหนๆ มาทางยุโรปแล้ว ไปให้สุดด้วยการทานอาหารอิตาเลียนเป็นอาหารกลางวัน และจิบชายามบ่ายอย่างมีจริตที่ Shima Kanko Hotel โรงแรมริมทะเลอันแสนสวยที่ได้รับการแนะนำลง Michelin Guide for Aichi, Gifu and Mie 2019
ร้านที่เราเล็งไว้เป็นห้องอาหารของอาคาร The Classic ชื่อว่า Cafe & Wine Bar ‘Lien’ในความสวยหรูโมเดิร์น บรรยากาศอบอุ่นด้วยงานไม้ของอินทีเรีย รวมไปถึงโครงสร้างไม้ซึ่งเป็นของเก่าแก่อายุ 70 ปีที่ทางโรงแรมตั้งใจอนุรักษ์ไว้ ธีมของที่นี่คือความกลมกลืนกับธรรมชาติ ผนังทั้ง 2 ด้านจึงเป็นกระจกเต็มแผ่นที่เราสามารถทอดสายตาไปชมวิวสวนพลางกินอาหารอร่อยๆ ของที่นี่ได้ นอกจากนี้ยังมีดนตรีสดทั้งแจ๊สและคลาสสิกทุกเย็นวันศุกร์และวันเสาร์ส่งเสริมบรรยากาศให้ดีขึ้นไปอีก
เราเลือกพาสต้าทะเลซอสครีมเป็นของคาว ก่อนจะต่อด้วยของหวานคือ Afternoon Tea Set ซึ่งเป็นความตั้งใจหลักในการแวะมาที่นี่ ขนมชิ้นจิ๋วหลากหลายรูปแบบเรียงตัวสวยในแต่ละชั้นถูกนำมาวางตรงหน้าพร้อมกับอาหารคาวขนาดพอดีคำสำหรับทานเล่นตัดรส สีสันพาสเทลอันอ่อนหวานต้อนรับบรรยากาศของฤดูใบไม้ผลิสุดๆ พอได้ชิมแล้วถึงได้รู้ว่าขนมที่สวยและอร่อยด้วยมีอยู่จริง เรื่องชาก็ดีงามสมศักดิ์ศรี มีให้เราเลือกถึง 10 ชนิด ทั้งนี้ทั้งนั้นเมนูขนมในเซ็ตเปลี่ยนทุก 3 เดือนนะ
Info
Afternoon tea at Shima Kanko Hotel
Hours: อาหารเช้า 7:00-10:00 น. (L.O. 9:30 น.), อาหารกลางวัน 11:30-14:30 น. (L.O.14:00 น.), อาหารเย็น 17:30-22:30 น. (L.O.20:30 น.)
Holiday: –
Nearest Station: สถานีคาชิโกจิมะ (Kashikojima Station)
Access: จากสถานีคาชิโกจิมะ เดินประมาณ 6 นาที
Website: www.miyakohotels.ne.jp
10 Toba Aquarium
พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำแห่งนี้ถือเป็นพระเอกของจังหวัดมิเอะ คู่กับสวน Nanaba no Sato เลยก็ว่าได้ คนไทยน่าจะเคยเห็นความน่ารักของน้องๆ ที่นี่กันมาบ้างแล้ว เพราะก่อนหน้านี้ที่มีคลิปไวรัลน้องแมวน้ำเบบี๋หัดว่ายน้ำช่วงโควิด-19 คือคลิปของทาง Toba Aquarium นี่แหละ
ที่นี่ถือเป็นพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำแถวหน้าของประเทศญี่ปุ่นและของโลกก็ว่าได้ เพราะมีสัตว์หลากหลายนับนิ้วได้ประมาณ 1,200 สปีชี ยกตัวอย่างง่ายๆ แค่ Coral Reef Deep Diving แทงค์น้ำขนาดใหญ่ซึ่งจุน้ำไว้ถึง 800 ตันเพียงอย่างเดียวก็มีปลาให้ยืนชมกว่า 3,000 ตัวจาก 50 สายพันธุ์ นอกจากนี้ที่นี่ยังมีบริเวณกว้างขวาง เดินชมได้สะดวกโดยไม่รู้สึกอุดอู้ และที่สำคัญไม่บังคับรูทเดินเหมือนอควาเรียมทั่วๆ ไป แต่สามารถเลือกเดินได้อย่างอิสระ (ใบปลิวต่างๆ มีภาษาไทยด้วยนะ!)
พูดถึงดาวเด่นของที่นี่แน่นอนต้องยกให้ “จุกง” หรือพะยูนผู้น่ารัก ซึ่งมีให้ชมในอควาเรียมแค่ไม่กี่ตัวในโลก และ Toba Aquarium เป็นที่เดียวที่เราสามารถชมน้องพะยูนได้ในเอเชียเลยนะ! ส่วนน้องนากทะเลก็น่ารัก ถือเป็นอีกหนึ่งสัตว์ที่หาดูได้ยากในญี่ปุ่น เพราะมีเพียงไม่กี่ตัวเท่านั้นในญี่ปุ่น ด้วยความที่นางขี้เล่นทะเล้นเหลือใจ ถ้าเราไปดูตอนคนเลี้ยงไปให้อาหาร อาจจะได้เห็นนางนวดไหล่ให้มนุษย์ด้วย อ้อ สำหรับแฟนคลับคาปิบาร่า อย่าลืมแวะไปทักทายน้องด้วยล่ะ
Info
Toba Aquarium
Hours: 9:30-17:00 น.
Holiday: –
Entrance Fee: ผู้ใหญ่ 2,800 เยน เด็กอายุ 6-15 ปี 1,600 เยน เด็กอายุ 3-5 ปี 800 เยน เด็กอายุต่ำกว่า 3 ขวบเข้าฟรี
Nearest Station: สถานีโทบะ (Toba Station)
Access: จากสถานีโทบะ เดินประมาณ 10 นาที
Website: www.aquarium.co.jp/en
11 Shimakaze Train
โทบะอควาเรียมอาจจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสุดท้ายสำหรับทริปนี้ แต่ความบันเทิงยังมีต่อบนรถไฟ Shimakaze ซึ่งเราจะใช้นั่งกลับไปยังนาโกย่า รถไฟขบวนนี้พิเศษมากเริ่มจากที่นั่งเป็น Premium Seat อันน่าเอกเขนก เบาะใช้หนังแท้นุ่มๆ ที่มีฟังก์ชันนวดในตัว แน่นอนว่าเอนหลังเหยียดขาได้เต็มที่แบบไม่ต้องกลัวรบกวนชาวบ้าน กระเป๋าสัมภาระต่างๆ มีล็อกเกอร์ให้เก็บเป็นสัดส่วน ถ้ามาเป็นหมู่คณะจองห้องส่วนตัวล่วงหน้าได้เลย จะได้สังสรรค์ได้อย่างเต็มที่ตลอดการเดินทางแบบไม่ต้องอายหรือรบกวนใคร
อีกหนึ่งไฮไลท์ที่ห้ามพลาดคือตู้คาเฟ่! Shimakaze สร้างคาเฟ่ 2 ชั้นในโบกี้รถไฟ ชั้นบนเป็นที่นั่งแบบเคาน์เตอร์หันหน้าชมวิวเพลินๆ พลางกินขนม ส่วนชั้นล่างเป็นโต๊ะ เมนูมีอาหารให้เลือกหลากหลาย ทั้งอาหารคาวหวาน เครื่องดื่มทั่วไปและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ นอกจากนี้ยังมีของที่ระลึกขายด้วย ใครชอบชมวิว อย่าลืมแวะไปโบกี้ 1 หรือ 6 เพราะส่วนหัวและท้ายขบวนเป็นกระจก ชมวิวได้เก๋ๆ
รถไฟดีงามขนาดนี้ ถ้ามี Kintetsu Rail Pass Plus ก็จะฟรีในส่วนของค่าตั๋ว แต่ต้องจ่ายในส่วนของค่ารถไฟด่วนพิเศษกับค่าขบวนพิเศษ Shimakaze เพิ่มด้วย นั่งก็เพลิน กินก็เพลิน ดูวิวก็เพลิน ถือเป็นการพักผ่อนสำหรับกายและใจที่ส่งท้ายการเดินทางได้อย่างลงตัวจริงๆ
Info
Shimakaze Train
Online Reservation: www.kintetsu.co.jp/foreign/english/shimakaze/#reservation
Website: www.kintetsu.co.jp/foreign/english/shimakaze
กลับมาถึงนาโกย่า! ถึงแม้ทริปมิเอะจะสิ้นสุดลงแล้ว แต่ยังมีอีกหลายที่เลยที่ยังไม่ได้ไป คราวหน้าถ้ามีโอกาสมาญี่ปุ่น สงสัยต้องไปตามเก็บที่เที่ยวอื่นๆ ในมิเอะอีก บทความนี้เขียนก่อนโคโรน่าไวรัสจะแพร่ระบาด แต่เมื่อสถานการณ์สงบลงและขึ้นรถไฟคินเท็ตสึไป เที่ยว มิเอะ ได้แล้ว หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์นะ!
รถไฟฟ้าคินเท็ตสึได้จัดเตรียมมาตรการต่างๆ เพื่อป้องกันการติดเชื้อและแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ เพื่อให้ทุกคนเข้าใช้บริการด้วยความสบายใจ
ภายในสถานีมีการติดตั้งแผ่นพลาสติกที่เคาน์เตอร์และฆ่าเชื้อบริเวณที่คนมักสัมผัสอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงมีแอลกอฮอล์ให้บริการตามสถานีหลัก ส่วนในขบวนรถไฟก็มีการระบายอากาศทุก 4-10 นาที รถไฟทั้งหมดกว่า 1,900 ขบวนได้ผ่านการดำเนินการป้องกันไวรัสและต้านเชื้อแบคทีเรียแล้ว จึงเดินทางด้วยรถไฟได้อย่างสบายใจหายห่วง!