Love Letter 

ในบรรดาหนังรักที่ว่าด้วยเรื่องราวของจดหมายเท่าที่เคยได้ผ่านตามาในชีวิต สำหรับเรา ไม่มีเรื่องไหนที่จะอบอุ่นและทำร้ายจิตใจได้มากไปกว่าเรื่องนี้

ตกลงจะอบอุ่นหรือทำร้าย…เอาให้แน่ คำตอบคือทั้งสองอย่างนั่นแล เพราะนี่คือความน่าทึ่งของหนังรักเรื่องนี้ ที่นอกจากจะโรแมนติกและชวนฝันค้างแล้ว ขณะเดียวกันมันก็พร้อมจะขยี้หัวใจคนดูให้แตกสลายได้ในคราวเดียว

และนี่คือพลังทำร้ายล้างของหนังรักชื่อเชยอย่าง “Love Letter” ที่ออกฉายในปี 1995 ของอิวาอิ ชุนจิ ผู้กำกับที่คนรักหนังญี่ปุ่นน่าจะรู้จักกันดี ด้วยสไตล์ของหนังที่แสนจะมีลายเซ็นมากมายของพี่เขา ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนรักหักเหลี่ยมฉัน (Hana & Alice), อีเธอร์นั้นขอฉันเถอะนะ (Lily Chou Chou), ฝนเดือนสี่ (April Story), ซุปผี (Ghost Soup), ปลามังกรทอด (Fried Dragon Fish), หนีตามดอกไม้ไฟ (Fireworks) และอีกมากมาย

 

ที่มาภาพ: https://goo.gl/fbwFY2

 

Love letter จะว่าด้วยเรื่องราวความรักของคนที่บังเอิญชื่อเหมือนกับอีกคนที่บังเอิญหน้าเหมือน เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นเมื่อ ฮิโรโกะ วาตานาเบะ หญิงสาวที่สูญเสียคนรัก อิสึกิ ฟูจิอิ ไปในอุบัติเหตุปีนเขา เกิดครึ้มอกครึ้มใจเขียนจดหมายไปหาคนรักที่ตายไปแล้วตามที่อยู่ที่ปรากฏอยู่ในหนังสือรุ่นสมัยมัธยมของเขา ซึ่งเธอก็รู้อยู่แล้วว่าสถานที่นั้นไม่ได้เป็นที่อยู่ของใครอีกแล้วในปัจจุบัน ทว่าสิ่งที่แปลกประหลาดก็คือ มันดันมีจดหมายจาก อิสึกิ ฟูจิอิ ตอบกลับมาหาเธอ!

 

ที่มาภาพ: https://goo.gl/dwBzZB

 

ขอเล่าสั้นๆ ก็พอสำหรับคนที่ยังไม่เคยดู เพราะเอาเข้าจริงเราว่าคนดูไม่ต้องรู้อะไรเลยก็ได้สำหรับหนังที่ควรจะยกขึ้นหิ้งบูชาและงัดเอามาดูทุกหน้าหนาวอย่างเรื่องนี้ หน้าที่ของคุณแค่พิสูจน์กิตติศัพท์ของมันก็พอว่ามันสมควรที่จะอยู่บนหิ้งอย่างที่ใครเขาพูดกันไหม

เนื้อเรื่องสั้นๆ ที่เราเล่าไปเป็นเพียงเรื่องราวในองค์แรกของหนังเท่านั้น ก่อนจะตามมาด้วยองค์สองที่ว่าด้วยการตามหาความจริงเกี่ยวกับจดหมายที่ไม่น่าจะตอบกลับมาได้ฉบับนั้น จากนั้นหนังก็เริ่มที่จะคลี่ปมสงสัยให้คนดูได้รู้ทีละน้อยอย่างค่อยเป็นค่อยไป ด้วยการปล่อยให้เราได้ซึมซับเรื่องราวความรักครั้งแรกอันแสนสดใสในวันวาน ก่อนจะฉีกกระชากหัวใจคนดูให้แตกออกเป็นเสี่ยงๆ ได้อย่างเนียนๆ

เชื่อแน่ว่าหลายคนที่ดูหนังเรื่องนี้จบอาจจะรู้สึกอย่างเดียวกันกับเรา คืออยากที่จะออกไปตามรอยหนัง ซึ่งฉากหลังของหนังเรื่องนี้ส่วนใหญ่ก็จะอยู่ที่เมืองโอตารุ เมืองเล็กๆ บนเกาะฮอกไกโดที่สามารถนั่งรถไฟจากเมืองใหญ่อย่างซับโปโรไปถึงได้ในหนึ่งชั่วโมง  

มาเริ่มกันที่ฉากบุรุษไปรษณีย์แวะมาส่งจดหมายบนถนนสายที่ลาดชันลงไปเรื่อยๆ จนมองเห็นทะเลเบื้องล่าง บริเวณนี้จะเรียกว่า ฟุนามิซากะ ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากสถานีโอตารุเท่าไหร่นัก ถนนเส้นนี้มีระดับความลาดชัน 15% ทำให้เราสามารถที่จะมองเห็นวิวสวยๆ ของบ้านเมืองและท่าเรือโอตารุได้อย่างเต็มตา ถือเป็นหนึ่งในโลเคชั่นยอดนิยมสำหรับหนังและละครในญี่ปุ่นทีเดียว

 

ที่มาภาพ: https://goo.gl/mAEKCg

 

อีกฉากที่หลายคนน่าจะจดจำกันได้ดีคือฉากฟุ้งๆ ในห้องสมุด สถานที่แห่งความทรงจำที่เคยมีเขาในนั้น ซึ่งแท้ที่จริงก็ไม่ใช่ห้องสมุดแต่เป็นอาคารสไตล์ยุโรปสองชั้นที่ นิปปอน ยูเซน โอตารุ (Nippon Usen Otaru) สาขาเก่า ขณะที่ฉากโรงงานแก้วที่เพื่อนพระเอกทำงานคือ โรงงานเป่าแก้วข้างคลองโอตารุ (Otaru canal side glass factory)

 

ที่มาภาพ: https://goo.gl/CP4bRK

 

ส่วนฉากในโรงพยาบาลที่อิสึกิถูกนำตัวส่งไปรักษาเพราะอาการไข้ แท้ที่จริงก็ไม่ใช่โรงพยาบาล แต่เป็นที่ชั้น 2 ของตึกโอตารุซิตี้ฮอลล์ (Otaru City Hall) ที่สร้างมาตั้งแต่ปี 1933 ซึ่งปัจจุบันก็ยังใช้งานอยู่ด้วย

อีกหนึ่งซีนลุ้นๆ ในหนัง คือซีนที่สาวหน้าเหมือนมีโอกาสได้มาอยู่ใกล้กัน ทว่าสุดท้าย มีเพียงฝ่ายเดียวที่ได้เห็นอีกฝ่ายก่อนจะค้นพบความจริงบางอย่างที่ทำให้หัวใจสั่น บริเวณนี้จะเรียกว่าแยกอิโรไน (Ironai) เป็นโลเคชั่นที่อยู่ทางฝั่งใต้ของคลองโอตารุ พิกัดจะอยู่ระหว่างคลองกับสถานีโอตารุ แถวนี้มีอาคารเก่าแก่ตั้งแต่สมัยเมจิอยู่เพียบเลย

 

ที่มาภาพ: https://goo.gl/nExQvV

 

ปิดท้ายกันที่ฉากเปิดเรื่อง ในตอนที่ฮิโรโกะกำลังเดินเหม่อๆ อยู่ท่ามกลางหิมะขาวโพลน ฉากสวยๆ ฉากนั้นอยู่ที่ เทนกุยามะ สกี รีสอร์ท (Tenguyama Ski Resort) ความลาดชันของโลเคชันนี้ ทำให้มองเห็นวิวสวยๆ ของบ้านเมืองที่ถูกทับถมไปด้วยหิมะและอ่าวโอตารุที่แสนสวยงาม ได้เห็นบรรยากาศแบบนั้นแล้วก็อยากจะทำอย่างที่ฮิโรโกะทำบ้าง คือนอนแช่อยู่ในหิมะหนาๆ ฟูๆ แบบนั้นน่ะ

แต่ถ้าถามว่าชอบฉากไหนที่สุดในเรื่อง สำหรับเราคงไม่พ้นฉากที่เธอตะโกนใส่เขา

 

ที่มาภาพ: https://goo.gl/EsGEP7

 

ความรู้สึกต่างๆ นานาที่คั่งค้างอยู่ภายใน ทำให้เธอลังเลที่จะเผชิญหน้ากับหุบเขาสุดท้ายที่สามีของเธอมีโอกาสได้มาเยือนก่อนที่จะเสียชีวิตที่นั่น แม้จะลังเลอยู่นาน ทว่าสุดท้ายเธอก็เลือกที่จะเผชิญหน้ากับเขา และปลดปล่อยความรู้สึกอันแสนอัดอั้นด้วยการตะโกนออกไปดังๆ

“คุณสบายดีไหม ฉันสบายดี”

“คุณสบายดีไหม ฉันสบายดี”

“คุณสบายดีไหม ฉันสบายดี”

เธอตะโกนถามเขาซ้ำๆ ด้วยประโยคที่แสนจะเรียบง่ายแบบนั้น

ในวันที่ความรักไม่ได้ไปกับเราต่อ ทว่าชีวิตก็ควรที่ต้องจะดำเนินต่อไปให้ได้ด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง และวิธีที่เธอเลือกก็คือ การเดินทางออกไปตะโกนใส่เขา

เพราะสุดท้ายแล้ว ถึงแม้เขาจะไม่ได้ยินเสียงเรา…แต่ก็ยังมีเขาที่ได้ยิน : -)

LIKE & SHARE

ชอบเรื่องนี้จนต้องบอกต่อ