สารบัญ

JACKKRIT ANANTAKUL ;

 

 

คนในแวดวงการออกแบบรู้จักชื่อของ “เหนือ-จักรกฤษณ์ อนันตกุล” ในฐานะของศิลปิน และนักออกแบบมือฉมังเจ้าของลายเส้นและงานออกแบบคาแร็กเตอร์ที่โดดเด่นน่าจับตามอง ด้วยประสบการณ์ในวงการออกแบบที่ยาวนานทั้งจากในประเทศและต่างประเทศ จักรกฤษณ์ได้สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับวงการออกแบบ และนักออกแบบกราฟิกชาวไทยตั้งแต่นักศึกษาจนถึงมืออาชีพ ผลงานของเขาเป็นงานที่เปี่ยมไปด้วยอารมณ์ขันและความรัก และยังได้รับการกล่าวขวัญจากสื่อต่างประเทศมากมายหลายสาขา คนไทยอย่างเราอาจเคยผ่านตากับงานล่าสุดของเขา MV The Flowers ของวง Polycat ที่นอกเหนือจากซาวนด์ดนตรีอันเป็นเอกลักษณ์แบบญี่ปุ่นยุค CITY POP แล้ว เนื้อร้องทั้งเพลงยังเป็นภาษาญี่ปุ่นทั้งหมดอีกด้วย

นอกจากความชื่นชอบในผลงานเป็นการส่วนตัว KIJI ยังได้เล็งเห็นถึงความสามารถและความรู้สึกพิเศษที่เป็นพลังบวกภายใต้เส้นสายและรูปทรงน่ารักชวนอมยิ้ม เราจึงได้ร่วมพูดคุยถึงที่มาของวิธีการสร้างสรรค์ผลงานเหล่านั้นผ่านแพชชั่นที่เขาได้เรียนรู้มาจากประสบการณ์ชีวิต รวมไปถึงและความศรัทธาในความรักที่เขาได้รับจากคริสต์ศาสนา กลายเป็นหัวใจของผลงานที่เขาตั้งใจถ่ายทอดให้กับผู้ชมผ่านความรักอันบริสุทธิ์ที่เต็มเปี่ยมอยู่ในทุกเส้นสายและรูปทรงในผลงานของเขา



Q. อยากให้เล่าถึงที่มาของ MV ในอัลบัม Doyobi no Terebi ของ Polycat สักหน่อย

มันเริ่มจาก Smallroom เขาเอาภาพประกอบของเราไปใช้เป็นปก ก็รู้สึกดีมากเพราะเราก็ตั้งใจทำงานนี้มาก แล้วก็เขาสามารถนำไปใช้ได้โดยที่งานมันก็ทำงานของมันเอง คืองานที่ผมทำให้เขาน่ะเป็น MV แล้วเขาก็มาขอ
องค์ประกอบส่วนอื่นของผมไปใช้

จริงๆ ผมกับพี่รุ่งเนี่ย (รุ่งโรจน์ อุปถัมภ์โพธิวัฒน์) ปกติผมจะเรียกเขาว่าอารุ่ง เพราะว่าผมเป็นหลานของแฟนเขา ซึ่งโลกกลมมาก ผมเคยทำ MusicVideo ให้ Smallroom มาสองตัวแล้ว ตัวแรกทำให้ ตุ๊กตา The Voice ตัวที่สองทำให้ Lemon Soup แต่ตอนนั้นก็ไม่ได้ฉายเพราะว่าเรางานติสต์มาก (หัวเราะ) แต่ทุกวันนี้งานของเรามันเปลี่ยนจากเมื่อก่อนมาค่อนข้างเยอะเลย

วันหนึ่งผมเจอเขาแล้วเปิดงานให้อารุ่งดู เขาก็เลยสนใจเรียกผมไปช่วยทำงานให้ Polycat เลย ซึ่งตอนนั้นไม่ได้บรีฟงานมากเท่าไร เขาให้ผมฟังเพลงแล้วก็ให้อิสระทำเลย เหมือนเขาเห็นงานและคิดว่าเราชัดเจนกับสิ่งที่เราเป็น แล้วเขาก็อยากเห็นความชัดเจนของเราในงาน ผมก็เลยมานั่งฟังเพลง แต่ตอนนั้นเนื้อหาของเพลงผมรู้เพียงคร่าวๆ เป็นผู้ชายที่ชอบผู้หญิง จึงตามไปถ่ายรูป ตามไปทำอะไรโรแมนติกๆ ให้ผู้หญิง แล้วผมก็มานั่งคิดต่อจากตรงนั้น ส่วนที่เหลือก็ด้นสดหมดเลย

 

ที่มา : facebook.com/iamjackkrit



Q. หมายความว่าเพิ่งมีโอกาสได้พบกับคุณรุ่งเมื่อไม่นานมานี้รึ

ประมาณช่วงเกือบกลางปี ผมใช้เวลาทำงานนี้ประมาณเกือบสามเดือน ซึ่งเลทนะ (หัวเราะ) ตอนแรกผมคิด
คอนเซปต์ง่ายๆ แต่พอทำไปทำมามันเกิดสนุกขึ้นมา เลยคิดว่าแค่นั้นไม่พอ เขามีกำหนดเวลาทำงานที่สั้น เราก็เลยใส่เต็มฝีมือ พอถึงกำหนดส่งก็มีงานให้เขานะ แต่ผมก็ขอเวลาเขาเพิ่มไป ซึ่งเขาก็ใจดีให้โอกาส พอถึงจุดหนึ่งมันก็เสร็จ จนวันสุดท้ายผมก็ยังนั่งแก้งานอยู่เลย ไม่ใช่เพราะเขาไม่ชอบนะ แต่เพราะผมและทีมงานของผมเองยังพอใจไม่สุดมากกว่า

ส่วนวิธีการทำงานของเราก็คือ คิดเนื้อเรื่องจากเพลงที่ได้ฟังและเริ่มสร้างองค์ประกอบ พอได้จำนวนหนึ่งผมก็จัดเรียงมันด้วยการพิมพ์ออกมา แล้วเอามาตัดด้วยมือ คือผมพยายามตัดต่อโครงเรื่องด้วยตัวเอง ณ ตรงนั้นเลย ผมชอบทำงานแบบที่เดาได้ยาก โยกย้ายสลับลำดับของเรื่องราวไปมา ให้มันเชื่อมกันแบบที่เราอยากเห็น ซึ่งคนดูก็บอกว่า แค่เพลงก็ไม่เข้าใจภาษาแล้ว ดู MV ยิ่งไม่เข้าใจเข้าไปใหญ่ ยังต้องตีความมหาศาล (หัวเราะ) แต่ผมชอบความสนุกตรงนั้นไง คือเราพูดถึงความรัก แต่ความรักก็เป็นสิ่งที่เดาไม่ได้ไม่ใช่เหรอ พระเจ้าก็จะพาเราไปเจอสิ่งนั้นก่อน สิ่งนี้ก่อน ก่อนที่เราจะพบกับความรักในที่สุด

 

ที่มา : facebook.com/iamjackkrit



Q. คนญี่ปุ่นที่ได้ดูคิดยังไงกับ MV ตัวนี้บ้าง

ยังไม่ทราบนะ (หัวเราะ) จริงๆ เวลาผมทำงาน อย่างแรกเลยคือต้องชอบเองก่อน เพราะที่ผ่านมาผมทำงานที่ตัวเองชอบ สุดท้ายฟีดแบ็กมันก็มาเอง อย่างเว็บไซต์ designboom ที่ติดต่อมา ผมก็แปลกใจว่าผมเป็นแค่ประชากรหนึ่งในเจ็ดพันกว่าล้านคนในโลกนี้ แต่ว่าทำไมเขามาสนใจเรา ญี่ปุ่นก็ให้ผมเป็นหนึ่งในร้อยของนักวาดภาพประกอบ ทุกคำถามมันก็มาจากคำถามที่ว่า เราคิดอะไรอยู่ เราจะมีจินตนาการสูง เราก็เต็มที่กับมันทุกงาน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องได้ Keyword ก่อน ว่างานนี้เราอยากจะพูดอะไร แล้วเราก็ปล่อยจินตนาการแล้วปลุกมันเลย ผมคิดว่ามันคือ Original ที่คนข้างนอกเขามองหากัน

 

ที่มา : facebook.com/iamjackkrit



Q. บางครั้งความเข้าใจถ่องแท้ในงานมันไม่สำคัญเท่ากับความ Original ใช่ไหม

ใช่ ผมชอบสอนเด็กว่าให้ลองวาดสิงโต แต่ห้ามเปิดอินเทอร์เน็ตดู เด็กก็จะเริ่มกังวลแล้วว่าจะวาดอย่างไร ผมก็พยายามให้เขาวาดรูปในแบบอย่างที่เขาจะจินตนาการได้ แล้วเขาก็วาดออกมา มันจะไม่เหมือนสิงโตทุกคนน่ะ แต่มันจะมีบางอย่างที่เราสามารถบอกได้ว่า นี่แหละ สิงโตของแก นี่แหละ สิงโตของเธอ นี่คือสิงโตของฉัน นั่นแหละคือ Original ซึ่งผมก็ใช้วิธีคิดนี้เพื่อให้เขาเริ่มกล้าที่จะทำ

หลังจากนั้นก็ค่อยให้โจทย์ที่ยากขึ้น เช่น สิงโกกับต้นไม้ผสมกัน แต่ทีนี้เด็กจะไม่โวยวายแล้ว เขาจะสนุกกับมันแทน ซึ่งถ้าเราต้องการสิงโตที่หน้าตาเหมือนกันหมดทุกตัว เราไปทำงานถ่ายภาพก็ได้จริงไหม แต่ผมคิดว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดที่พระเจ้าสร้างคนมาก็คือตัวคุณนั่นแหละ เราจะดึงสิ่งนั้นออกมาอย่างไร ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจที่ผมพยายามให้เด็กมีความคิดสร้างสรรค์ ส่วนหนึ่งก็คือแรงบันดาลใจของเรา

ผมพยายามคิดก่อนว่าเรากำลังพูดถึงอะไร แล้วพอได้ประเด็นมา เรากลับไปเป็นเด็กอีกครั้งเลย เพื่อหาความเป็นไปได้ของการออกแบบ ถ้าเราไม่คิดถึงเหตุผล แต่คิดถึงความบริสุทธิ์ของเด็ก คิดถึงงานว่าจะเป็นแบบไหน แต่ว่าประเด็นของเรื่องยังคงอยู่นะ สมมติเนื้อหาของงานคืออยากบอกรักพ่อ แต่ด้วยอารมณ์ของเด็ก ก่อนที่เขาจะไปบอกรักพ่อ เขาอาจจะเจอนู่นเจอนี่ก่อนจะไปถึงพ่อ อาจจะวิ่งสนุก วิ่งเล่นไปเจอกิ่งไม้ ก็หยิบมาฟันดาบกับเพื่อน มาเล่นสนุกกับเพื่อนก่อนที่จะไปบอกรักพ่อก็ได้ แต่ละคนมันก็จะมีวิธีการที่ไม่เหมือนกัน



Q. วิธีนี้นำมาใช้กับงานส่วนตัวที่อาจจะไม่ได้มีประเด็นมากขนาดนี้ด้วยไหม

ใช่ ใช้วิธีนี้เหมือนกัน ผมจะฝึกฝนตัวเอง เพราะคิดว่ามันเหมือนแบบฝึกหัดของตัวเอง ผมเล่นแบบจริงจังเพื่อให้คนอื่นเห็นว่ามันเป็นงานได้ แล้วพอเป็นงาน Commercial เขาก็จะมั่นใจว่าเราทำจริงได้ ถึงเราจะเล่นอย่างไร เราก็สามารถไปถึงเนื้อหาตรงนั้นได้ งานส่วนตัวกับงานจริงผมก็จะปรับความสมดุลให้มันอยู่ในคุณภาพเดียวกัน

งานส่วนตัวของผมก็จะคิดแบบจริงจังไปเลยว่า ถ้าเราะสื่อสารให้คนเข้าใจในความบ้าบอของเรา เพราะงาน Commercial เนี่ยก็คือการพูดอย่างไรให้คนเข้าใจใช่ไหม แต่ถ้าคนเข้าใจทั้งหมดเลยมันก็ไม่ท้าทายคนดู ฉะนั้น ผมก็เลยพยายามทำงานส่วนตัวให้เขาเข้าใจความบ้าบอของเราด้วย กลายเป็นว่า ลูกค้าชอบสิ่งนั้น เพราะว่าต้องการการท้าทายคน เลยเหมือนแบบฝึดหัดที่เราหมั่นที่จะทำเพื่อที่เราจะได้กำไรจาก Commercial ผมคิดว่างานพวกนั้นคือกำไรที่ได้จากขีวิตที่เราเรียนรู้จากการทำงาน

 



Q. อยากให้ยกตัวอย่างงาน Commercial ตัวโปรดล่าสุด

คิดว่า MV เป็น Commercial ไหม (หัวเราะ) เออ ผมว่าผมชอบนะ ถึงเราจะรู้ว่าตัวเองยังไม่เก่ง แต่มันก็เป็นจุดเริ่มต้นที่อยากจะมาทำอะไรที่มันเคลื่อนไหว แล้วก็แฮปปี้กับมัน หรือถ้าเป็นงานอื่น จริงๆ ผมก็ชอบทุกตัว แต่ความจำของเราจะจำเพียงอันที่เพิ่งเสร็จ (หัวเราะ)

อีกชิ้นหนึ่งที่ชอบก็คืองานที่ทำให้ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ผมก็ใช้ความเป็นส่วนตัวของตัวเองในความเป็นคริสเตียนใส่เข้าไป มันเป็นงานประดับตกแต่งทางเชื่อม Skywalk ที่เพิ่งเสร็จ ผมก็ไปเพ้นต์ใบบัวบนนั้น เขาก็ให้โจทย์มาว่า สยามคืออะไรในมุมมองของเรา ซึ่งสยามสำหรับผมก็คือเป็นพื้นที่ในความทรงจำ เจอเพื่อน เจอแฟน เจอน้ำยาเร่งผมยาว (หัวเราะ) เมื่อก่อนมันจะมียาสระผมเร่งผมยาวยี่ห้อม้าขาย เด็กเรียน ร.ด. หัวเกรียนๆ ชอบซื้อมาใช้กัน ในความทรงจำก็จะมีสิ่งนี้อยู่ แล้วเรียกทั้งหมดว่าความทรงจำที่เราจำได้



Q. มีความส่วนตัวเหมือนกันนะ

ใช่ คนก็จะถามว่าม้านี่คืออะไร พอผมเล่าให้เขาฟังก็สนุกไปตามเรา ซึ่งผมคิดว่าความสนุกก็คือการที่เขาได้คิด ได้เดา บางทีเขามาถามก็ได้คำตอบที่น่าประหลาดใจว่ามันได้เหรอ

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ผมจะใส่ความรู้สึกทั้งหมดที่คิดว่าความรักทั้งมวลบนโลก ความรักของพระเจ้าเป็นจริงเข้าไปในงาน แล้วเพิ่มข้อความลงไปว่า God is love, Jesus is bread of life เพื่อที่เวลาที่คนเดินเข้ามาจะรู้สึกว่า เขาอาจจะท้อ จะเสียใจมา แต่เขายังเห็นว่ามันมีความสนุก แต่ว่าพระเจ้าก็ยังรักเขาอยู่

งานที่ผมเพ้นต์ไปมันยังไม่สมบูรณ์ แต่เมื่อเราเริ่มหาพระวจนะเกี่ยวกับพระเจ้าไปใส่เนี่ยก็หาได้เต็มเลย เจอข้อความดีๆ ในพระคัมภีร์เกี่ยวกับความรักแล้วก็ลงมือเขียน แล้วงานก็เสร็จสมบูรณ์ด้วยสิ่งนี้ นี่ก็เป็น Commercial อันหนึ่งที่เราใส่ข้อความพระวจนะของพระเจ้าเข้าไป หลังจากนั้นก็เริ่มมีงานต่างๆเข้ามา เช่น ห้างสรรพสินค้ารายใหญ่อีกแห่งหนึ่งซึ่งเขาก็เป็นคริสต์ ได้ไปทำงานกับผู้ด้อยโอกาส คนพิการ ก็รู้สึกว่าพระเจ้าพาเราไป อีกหน่อยพระเจ้าก็พาเราไปในส่วนของภาพเคลื่อนไหว ไปเรื่อยๆ ตอนนี้ผมชอบทุกอย่างเลย เพราะลูกค้าก็ไว้ใจให้เราทำแล้วก็ไม่ได้แก้อะไร ช่วงนี้ชีวิตเลยเป็นแบบนี้แหละ

 



Q. อยากให้เล่าถึงตอนที่ทำงานกับแบรนด์ญี่ปุ่นที่ผ่านมา

อย่างเช่นตอนที่ทำงานกับ UNIQLO เขาก็เลือกจากคนที่เคยทำงานกับ Computer Arts มาก่อน ก็สนุกดี เพราะว่าการทำงานกับคนต่างพื้นที่ ทำกับญี่ปุ่น เราก็มีความคิดที่ไม่เหมือนกัน คือเราเกิดในเมืองไทย เราอาจจะมี
วัฒนรรมแบบนี้ เขาอาจจะไม่เข้าใจ แต่มันก็เกิดการแลกเปลี่ยนกัน ผมว่าสิ่งนี้น่าสนใจ

อย่าง UBIS เนี่ย ก็เคยติดต่อมาหา เหมือนเราก็เป็นที่รู้จักในต่างประเทศด้วยอยู่แล้ว อย่างเช่น พอเขาอยากติดต่อกับดีไซเนอร์ในเมืองไทย เขาจะเมลมาถาม อยากให้เราแนะนำสตูดิโอดีๆ หรือสถานที่ที่น่าสนใจให้ ผมก็ลิสต์แล้วส่งเมลไปให้เลยว่ามีใครบ้าง พอเขามาเมืองไทย เขาก็ไปเยี่ยมตามสตูดิโอต่างๆ ที่เราแนะนำได้

ตอนนั้นมีทั้งเกาหลี ญี่ปุ่น ที่เขาติดต่อมาว่าอยากรู้จักดีไซเนอร์ไทย เหมือนตอนนั้นโลกกำลังเชื่อมเข้าหากันเราก็เลยได้เป็นเพื่อนกับ UBIS แล้วยังได้รู้จัก Miki ซึ่งภายหลัง Miki ได้กลายมาเป็นเอเจนต์ส่วนตัวเลย ถ้ามีงานในเอเชีย Miki ก็อยากดูแลให้ ผมก็โอเค ถ้ามีคนดูแลให้ ผมก็จะได้ตั้งหน้าตั้งตาทำงานไป อย่างงานหนึ่งที่ Miki ดูแลให้คือที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งตรงห้าแยกชิบุยะเลย



Q. เป็นงานประเภทไหน

เหมือนเป็นเอ็กซิบิชันเล็กๆ เกี่ยวกับปกไวนิล เขาให้โจทย์มาแล้วให้คิดว่าตัวเองเป็นผู้กำกับหนัง (หัวเราะ) จะสร้างหนังเรื่องหนึ่งขึ้นมา แล้วคุณก็เลือกเพลงเพลงหนึ่งมาเป้น Original Soundtrack เพื่อสร้างปกอัลบัมที่มาจากหนังของคุณ ผมคิดว่าความคิดมันซับซ้อนบ้าคลั่งดี แต่ในขณะเดียวกันก็มีเหตุมีผลดี มันเลยเป็นเรื่องของเด็กหนุ่มอีสานคนหนึ่ง ที่มีหัวชอบแฟชั่น อยากจะออกจากประเทศไปที่ญี่ปุ่น ไปใช้ชีวิตที่โน่น ก็เป็นบักหำน่อย แต่เขาก็จะชอบเพลงสตริงในยุคนั้น มันก็จะเป็นเรื่องของเพลงโบราณ แต่เป็นเพลงแบบยุค 70’s และเดินหน้าไปญี่ปุ่นด้วยความเชื่อ เราก็สนุกดี



Q. คิดว่าบรีฟงานเขาลึกดีนะว่าไหม

ใช่ ส่วนมากเวลาทำงานกับต่างประเทศก็จะมีบรีฟมันส์ๆ แบบนี้ อย่างตอนทำงานหนังสือกับอเมริกัน เขาก็เขียนบทสัมภาษณ์มาให้ แล้วให้เราตอบคำถามเป็นภาพ ซึ่งทุกคนก็ได้คำถามเดียวกัน แล้วทุกคนก็ตอบเป็นภาพวาด แล้วเขาทำเป็นหนังสือซีน (zine) แล้วโรเนียวทั้งเล่มเลย ซึ่งก็จริงว่ะ นักวาดภาพประกอบก็คือการเล่าเรื่องด้วยภาพ ฉะนั้น การตอบคำถามด้วยภาพมันก็เข้าใจได้และน่าสนใจมากๆ ในเวลาเดียวกัน

 



Q. มีประสบการณ์การทำงานกับคนญี่ปุ่นครั้งอื่นๆ อีกไหม

ผมเคยทำงานกับเพื่อนสนิทที่เปิดร้านกาแฟ เป็นคนญี่ปุ่นชื่อโทรุ โทรุเขาเป็น DJ แล้วมีแฟนเป็นคนไทย เปิดร้านคอฟฟี่ช็อปชื่อ “โกจา” เราก็คลุกคลี แล้วก็ได้ไปทำงานกับร้านอาหารที่นู่น ก็สนุกดี ผมมีงานที่ทำให้ญี่ปุ่นประมาณหนึ่ง ผมก็อยากไปนะ รู้สึกว่าเวลาเราแสดงงานที่โกจา คนญี่ปุ่นเขาก็จะชอบ มันมีความน่ารัก ส่วนตอนไปเพ้นต์งานที่สยาม คนญี่ปุ่นก็เดินเข้ามาหาเราแล้วพูดว่า “สุโก้ย สุโก้ย” อะไรสักอย่างนี่ละ ซึ่งพี่บอน-มือบอน เขาก็มาบอกเราว่างานของเราน่าจะไปที่ญี่ปุ่นนะ ไปที่นู่นแล้วคนชอบ แต่ว่าต้องทำชิ้นเล็กๆ เพราะว่าคนที่นู่นไม่ค่อยมีพื้นที่ แล้วก็มีภาษีเรื่องศิลปะที่ต้องเปลี่ยนตลอด อะไรประมาณนั้น

 

ที่มา : facebook.com/iamjackkrit



Q. พูดได้ไหมว่างานของของเราได้รับอิทธิพลมาจากประเทศญี่ปุ่นเช่นกัน

จริงๆ เหมือนงานกราฟิกของญี่ปุ่นก็ได้รับอิทธิพลมาจากเบาเฮาส์ (Bauhaus) แต่ญี่ปุ่นเขาใส่ภาษาและวัฒนธรรมของตัวเองเข้าไป มันเลยดูเป็นเขา มันน่าสนใจมากเพราะเขาเอาหลักสูตรจากเบาเฮาส์ไปใช้ที่ญี่ปุ่น แล้วเราก็ได้ศึกษาว่าเขาคิดอะไร ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ถึงแม้ว่าองค์ประกอบมันจะเป็นสามเหลี่ยมเป็นวงกลมเหมือนกัน แต่พอญี่ปุ่นจับมาทำ ทำไมมันถึงเป็นตัวเขาได้ขนาดนั้น ผมก็เลยเชื่อว่าเหมือนเครื่องมือหรืออุปกรณ์มันเป็นแค่เครื่องมือจริงๆ แต่มันอยู่ที่จิตวิญญาณว่าถูกคลุกคลีแบบไหน สิ่งนี้มันก็ทำให้เรามองว่าความเป็นไทยที่เราอยู่เนี่ยมันเป็นแบบไหน

มันอาจจะเป็นแบบอิทธิพลอันหนึ่งที่เรารู้สึกว่าได้รับมาหรือเรื่องวิธีการว่าเราใส่ใจรอบตัวมากกว่า เช่นสิ่งนี้มันสวยงามของมันอยู่แล้ว วะบิซะบิ (ความงามบนความเรียบง่าย) หรือการที่วัฒนธรรมเราเป็นแบบนี้ ความบ้าคลั่งเราเป็นแบบนี้ เราก็ใส่ความบ้าคลั่งลงไป กล้าที่จะแสดงมันออกมาจริงๆ อยากแต่งตัวแบบนี้ก็แต่ง ในวันที่เขาพร้อมจะปลดปล่อย กาลเทศะก็เป็นส่วนหนึ่ง

ผมชอบแมกกาซีนญี่ปุ่นมาก ผมคิดว่าในช่วงที่นิตยสารค่อยๆ ตายลง แต่แมกกาซีนอย่าง +81 ก็ยังเป็นหนังสือกราฟิกที่เจ๋งมาก คนอเมริกันก็ซื้อ คนทั่วโลกก็ซื้ออะไรแบบนั้น ผมคิดว่าหนังสือรองเท้ามันก็ลึก ทุกอย่าง มันเฉพาะตัวไปหมด ซึ่งในญี่ปุ่นมีแมกกาซีนเหล่านี้คอยสนับสนุนความบ้าคลั่งเหล่านี้ของคนญี่ปุ่นอยู่ซึ่งมันเจ๋งดี มันเป็นสังคม นักออกแบบที่เราชอบเขาก็เป็นสถาปนิกและทำหนังสือเล่มหนึ่ง ตอนที่เขาทำหนังสือเล่มนี้ เขาอยากให้คนญี่ปุ่นรู้จักดีไซน์ เขาก็สามารถทำจนคนญี่ปุ่นหันมาสนใจงานออกแบบได้ ซึ่งการจะทำแบบนี้ได้มันต้องใช้แพชชั่น
อย่างมาก

 



Q. ความจริงแล้วอยากทำแบบนี้ในบ้านเราให้คนไทยเข้าใจมากขึ้นเหมือนกันใช่ไหม

ใช่ ผมรู้สึกว่าการสื่อสารมันมีอิทธิพล ผมเคยเป็นนักวาดภาพประกอบ เคยวาดภาพที่มันดาร์กมากๆ ในสมัยที่ยังไม่รู้จักพระเจ้า วาดรูปที่กำลังทำร้ายตัวเอง แล้วอยู่มาวันหนึ่งเราก็วาดรูปรูปหนึ่งที่เราวาดแบบสบายใจแล้วโพสลงออนไลน์ ซึ่งตอนนั้นผมเป็นคริสเตียนแล้วแหละ แต่ว่าก็ยังไม่ได้สนิทสนมกับพระเจ้ามากนัก ผมอ่านพระคัมภีร์แต่ยังไม่เข้าโบสถ์ แต่ก็แปลกที่คนชอบ แล้วเราก็มีความสุขด้วย

ในเวลาที่รู้สึกดาร์กแล้วลงมือวาดรูป มันก็บำบัดเราได้ ผมก็คิดว่านี่คือสิ่งสำคัญนะ ถ้าเรามอบความสุขจากพระพรที่ได้มาในงานแล้วคนอื่นมีความสุข มันก็ส่งต่อความสุขไปถึงคนอื่นด้วย แต่ถ้าเราใส่แต่ความเกลียดชัง ความเกลียดชังมันก็แพร่กระจาย เราก็ย้อนมองตัวเราเองว่าเราไม่ใช่คนที่สุขสบาย เราเป็นคนที่เจอความทุกข์มา แล้วเรามองความทุกข์นั้นอย่างไร พอพลิกความทุกข์นั้นให้ยิ้มได้ เอ๊ย…เดี๋ยวมันก็ผ่านไป เออ งานมันก็เลยดีขึ้น

บางคนถามว่าทำไมงานดูน่ารัก ผมก็คิดว่ามันเป็นไปเอง เลยได้ข้อสรุปว่า God is Love ตอนนี้เหมือนกับว่างานมันส่งต่อความรักที่เราได้จากพระเจ้าส่งต่อไป แล้วคิดว่ามันจะเปลี่ยนแปลงให้เขาได้รู้จักความรัก ที่มันเป็นความรักของโลก แล้วทำให้คนเหล่านั้นรู้ว่าเขาสามารถมีขีวิตอยู่ได้โดยไม่ต้องพึ่งวัตถุ มีชีวิตอยู่ได้โดยไม่ต้องมีเหมือนคนอื่น



Q. คิดว่าตัวเองได้เจอแก่นแท้ คือความรักที่อยู่ในงานทุกชิ้น

ใช่ ทุกคนที่ดูงานอาจจะไม่เข้าใจ แต่ว่าเขาจะมีความสุข เพราะว่าความรักมันมีลักษณะประมาณว่า เราไม่สามารถควักความรักออกมาได้แน่นอน แต่เรารู้สึกได้ว่าสิ่งไหนเป็นความรัก แล้วพระเจ้าลิขิตไว้ว่าไม่ให้ผมมีชื่อเสียงในประเทศไทยแบบสุดๆ ถ้ามีชื่อเสียงในไทยแบบสุดๆ ผมอาจจะมีชีวิตอีกแบบหนึ่งก็ได้ แต่ผมก็มีที่ยืนของตัวเองในระดับที่ใหญ่ขึ้น เขาก็วางใจและปล่อยให้เราทำ แต่ถ้าเรามีชื่อเสียงในเมืองไทยมาก เราอาจจะใช้ชีวิตในทางที่ผิดไปกว่านี้ก็ได้

 



Q. วัฒนธรรมคนดูงานกราฟิกในไทย กับคนที่ดูงานกราฟิกในญี่ปุ่นต่างกันอย่างไร

ผมว่านะ ถ้ากับคนไทยอาจจะต้องมีความชัดเจนบางอย่างอีกหน่อย อย่างงานที่ไปเจอมา เขาเห็นงานคนนี้ แล้วเขารู้ว่ามันน่ารักดี แล้วก็มาถามว่า “เออ…คุณเหนือ ตัวนี้น่ะมันสวยดีนะ มันเป็นนกฮูก แต่ว่าตัวที่คุณเหนือวาดน่ะ มันคือตัวอะไรเหรอ” ซึ่งสิ่งนี้มันก็ทำให้ผมเข้าใจนะว่า คนไทยกับต่างประเทศมองไม่เหมือนกัน อย่างญี่ปุ่นจะมีความประหลาดอยู่ในนั้น ความประหลาดที่มาจากพื้นฐานของเขา

เราเป็นคนไทย เรามองกับสิ่งนี้อย่างไร แล้วเราถ่ายทอดอะไรออกไป ซึ่งความซับซ้อนของการบอกไม่หมดของเรา มันไปสื่อถึงเขาได้เลย เขาจะมองว่า เอ๊ะ นี่ตัวอะไรน่ะ แต่มันน่ารักนะ มันเจ๋งดี อันนั้นคือสิ่งที่ต่างประเทศเขาแข่งกันน่ะผมว่า แข่งกันว่าคิดได้ไง มันคือตัวอะไร

อย่างเช่นตัวตุ๊กตาแมสคอตตัวหนึ่ง มีน้องผมเขาเอามาให้ดู ให้เดาว่ามันคือตัวอะไร ผมก็เดาไปเรื่อย เดาไม่ถูก จนเขาเฉลยว่ามันคือกุ้งชุบแป้งทอด (หัวเราะ) แล้วผมก็เถียงไม่ได้ เออว่ะ จริงว่ะ มันมีหางกุ้งออกมาเป็นหูเล็กๆ บนหัวสีส้ม คือมันเจ๋งน่ะ เขาคิดการตลาดเป็นการบอกต่อที่เราเถียงไม่ได้จริงๆ ผมคิดว่ามันคือความบ้าคลั่งระดับหนึ่งเลย กุ้งชุบแป้งทอดเนี่ยเราอาจจะจินตนาการต่อว่าไอ้คนที่ออกแบบคงชอบกินมากจนมันมองเห็นบางอย่างในกุ้ง และสามารถสร้างคาแร็กเตอร์บางอย่างออกมาได้ แล้วมันไม่มีคำถามอะไรเลย โต้แย้งไม่ได้เลยว่ามันคือกุ้งชุบแป้งทอด มันเกิดมาร์เก็ตติ้งของมันเอง ว่าไอ้ตัวนี้คือตัวอะไร วิธีคิดแบบไหน ผมว่ามันซับซ้อนในแง่ของชั้นเชิงการสื่อสาร และมีความบ้าบอบ้าคลั่งอยู่ในนั้น’

 



Q. เป้าหมายส่วนตัวที่ยังอยากทำให้สำเร็จ เพื่อท้าทายตัวเองทั้งในประเทศและระดับสากล

ผมวางเป้าหมายไว้กับงานต่างประเทศ ผมอยากไปแสดงงานที่ญี่ปุ่น อยากเอาคาแร็กเตอร์ของตัวเองไปแสดงที่นั่น หรือไปแสดงงานที่ออสเตรเลีย หรือที่ที่เรามีคอนเน็กชั่นเพื่อจะเอาความรักที่เราให้กับงานไปแสดง ไปเผยแพร่ ไปเป็นทูต เป็นเรื่องราวที่เล่าให้เขาฟังได้ ผมอยากใช้ความถนัดของตัวเองส่งออกไปข้างนอก

จริงๆ มันเป็นเป้าหมายเดียวกับที่ผมทำตอนนี้ ก็คือเหมือนเราประสบความสำเร็จมาเยอะ แล้วมีเงิน แต่ก็คิดว่ามันยังไม่ใช่คำตอบของชีวิต พอเรารู้ว่าคำตอบของชีวิตคืออะไร เราเกิดมาเพื่ออะไร เกิดมาเพื่อเอาความสามารถของตัวเองไปสร้างความสุขให้คนอื่น นั่นคือสาเหตุที่เกิดมา แล้วผมคิดว่าอยากนำสิ่งนี้ผ่านงานออกแบบไปแสดงยังที่ต่างๆ ให้เขารู้จักพระเจ้า เพื่อให้เขารู้ว่ามีคนคิดแบบนี้อยู่นั่นคือเป้าหมาย แล้วก็อยากให้คาแร็กเตอร์เราไป

ญี่ปุ่นก็เป็นที่หนึ่งที่อยากไป เพราะเราโตมากับการ์ตูนญี่ปุ่นน่ะนะ อย่างเรื่องไยบะ เจ้าหนูซามูไร ที่เป็นนักฟันดาบไม้ไผ่ หรือเรื่องคอบร้า-เห่าไฟสายฟ้า ซิตี้ฮันเตอร์ ดราก้อนบอล สแลมดังก์ ก็เป็นสื่อหนึ่งที่สนุกและเข้าใจเรื่องราวบางอย่างได้

 



Q. เหมือนกับว่าวัตถุดิบที่สำคัญอย่างหนึ่งคือความเป็นเด็กใช่ไหม

ใช่ บางครั้งเด็กก็ทำให้ผมประหลาดใจได้ เหมือนเมื่อเราโตเป็นผู้ใหญ่มาก เราอยากจะเล่นฟันดาบ แต่กลับลืมความรู้สึกตอนเป็นเด็กที่เอากิ่งไม้ข้างทางมาเล่นหรือเอาหนังสือพิมพ์มาม้วนเป็นดาบ พอโตขึ้นแล้วคิดว่าเงินคือคำตอบ อยากเล่นอะไรก็จะใช้เงินซื้อเอา โดยที่ลืมไปว่าตอนเด็กเรามีความคิดสร้างสรรค์ หยิบก้อนหินมาเป็นรถยนต์ก็ยังได้ ผมเลยศรัทธาในความบริสุทธิ์ของเด็กในเชิงความคิดสร้างสรรค์ซึ่งเป็นสิ่งที่เราชอบ

 

Q. เหมือนกับว่าวิธีคิดของเด็กเป็นวิธีที่เรียบง่ายและได้ผลที่สุด

แน่นอน นอกจากนี้เด็กยังสอนให้เราไม่โกรธ ผมคิดว่าพระเจ้าสอนเราทุกสิ่งแล้วพระเจ้าก็สอนผ่านเด็ก เมื่อเรามีลูก เวลาลูกเราทำผิด เราจะให้อภัย เพราะว่าเรารักเขา นั่นคือสิ่งที่เราเชื่อว่าพระเจ้าให้แบบฝึกหัดมา แต่เราเป็นมนุษย์เรามักจะลืมว่าเรามีความรักอันนี้อยู่นะ ผมอยากให้เรามองแบบบริสุทธิ์ แต่ในความบริสุทธิ์นั้นเราต้องโตเป็นผู้ใหญ่มากพอที่จะไม่ตัดสินใครด้วย เมื่อเราได้แตะถึงจุดนั้น เราจะได้พบสันติสุข

 

ติดตามผลงานเพิ่มเติมได้ที่ : 

Facebook: iamjackkrit
Twitter: iamjackkrit
Instagram: helloiamjkstudio
Website: www.behance.net/helloiamjk , www.helloiamjk.com

 

LIKE & SHARE

ชอบเรื่องนี้จนต้องบอกต่อ