
Autumn in Hamamatsu : เที่ยวเมืองฮามามัตสึ 2 วัน กับสารพันที่เที่ยวทุกแบบทุกสไตล์

สารบัญ
- 01 เที่ยวเมืองฮามามัตสึ : วันที่ 1
- 1.1 โอตาคุเครื่องบินต้องไปที่นี่ Airpark JASDF Hamamatsu Air Base Museum
- 1.2 สวนผลไม้ที่ใหญ่ที่สุดในเมืองฮามามัตสึ Hamamatsu Fruit Park
- 1.3 ชมพระพุทธรูป Rakan กว่า 500 องค์ พร้อมขอพรความรักที่วัด Houkouji
- 1.4 เที่ยวถ้ำมังกร Ryugashido Cavern หนึ่งในถ้ำที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น
- 1.5 Sawayaka ร้านอาหารที่คนท้องถิ่นบอกว่าถ้ามาเที่ยวเมืองฮามามัตสึต้องลอง!
- 1.6 เรื่องกินเรื่องใหญ่! ไปลองเกี๊ยวซ่าสไตล์ฮามามัตสึที่ร้านอิซากายะ Hamataro Gyoza กันเถอะ
- 1.7 คืนนี้นอนที่นี่นะ! OKURA ACT CITY HOTEL HAMAMATSU โรงแรมสุดหรูบนตึกสูงใจกลางเมืองฮามามัตสึ
- 02 เที่ยวเมืองฮามามัตสึ : วันที่ 2
- 2.1 แวะเช็คอินปราสาทฮามามัตสึ (Hamamatsu Castle)
- 2.2 จิบชาเขียวและชมสวนที่คาเฟ่สไตล์ญี่ปุ่น Shouin-tei Castle & Café
- 2.3 หมู่บ้านแห่งเทพนิยาย Nukumori no Mori เหมือนยกยุโรปมาไว้ที่ญี่ปุ่น
- 2.4 มาเยือนแหล่งปลาไหลทั้งที ต้องแวะชิมข้าวหน้าปลาไหลที่ Unagi Hamanoki Restaurant
- 2.5 ล่องเรือ Pleasure Boat ให้อาหารนก และชมวิวทะเลสาบฮามานะที่ท่าเรือ Kanzanji Port
- 2.6 ชมเสาโทริอิกลางน้ำ Benten cho Torii, Totoumi Hakkei “Benten-no-Sekisho”
- 2.7 แวะชมพิพิธภัณฑ์ Suzuki Museum ต้นกำเนิดรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ในญี่ปุ่น
วันนี้จะพาทุกคนไปเที่ยว ฮามามัตสึ (Hamamatsu : 浜松) เมืองที่เต็มไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจหลากหลายสไตล์ โดยในทริปนี้เราไปกันเพียง 2 วัน 1 คืน แต่ได้เที่ยวหลากหลายรูปแบบมากๆ และก่อนที่จะไปรู้จักสถานที่ท่องเที่ยว เราขอเล่าเรื่องราวของเมืองฮามามัตสึกันสักหน่อย
เมืองฮามามัตสึตั้งอยู่ในจังหวัดชิซูโอกะ (Shizuoka) เป็นเมืองเล็กๆ ที่รถไฟชินคันเซ็นวิ่งผ่าน ตั้งอยู่ในจังหวัดเดียวกันกับภูเขาไฟฟูจิที่เป็นแลนด์มาร์คของประเทศญี่ปุ่น เมืองเล็กๆ แห่งนี้เต็มไปด้วยความอบอุ่น เราจะได้ยินเสียงดนตรีเคล้าคลอตั้งแต่ก้าวขาลงจากรถไฟ เพราะเป็นเมืองต้นกำเนิดของแบรนด์เครื่องดนตรีชื่อดังอย่าง Yamaha และ Kawai นั่นเอง และยังเป็นแหล่งผลิตสินค้าในอุตสาหกรรมรถยนต์ระดับประเทศอีกด้วย
เมืองฮามามัตสึไม่ได้มีสิ่งที่น่าสนใจเพียงเท่านี้ เนื่องจากพื้นที่ติดทะเลฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก จึงทำให้มีแหล่งเลี้ยงปลาไหลชั้นดีที่ทะเลสาบฮามานะ (Lake Hamana) ดังนั้นปลาไหลจึงกลายเป็นเมนูท้องถิ่นที่ห้ามพลาด
นอกจากทั้งหมดที่กล่าวมา เมืองฮามามัตสึก็ยังมีสิ่งอื่นๆ ที่น่าสนใจอีกมากมายที่รอให้ไปสัมผัสด้วยตัวเอง ถ้าเพื่อนๆ พร้อมกันแล้ว เราไปต่อกันเลยสำหรับทริป “เที่ยวเมืองฮามามัตสึ” แบบรวบรัดฉบับ 2 วัน 1 คืน
01 เที่ยวเมืองฮามามัตสึ : วันที่ 1
1.1 โอตาคุเครื่องบินต้องไปที่นี่ Airpark JASDF Hamamatsu Air Base Museum
เริ่มต้นทริปกันที่พิพิธภัณฑ์เครื่องบิน Airpark JASDF Hamamatsu Air Base Museum คำว่า JASDF นั้นย่อมาจาก Japan Air Self Defense Force เรียกได้ว่าที่นี่เป็นแหล่งรวมเครื่องบินทางการทหารที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นเลยทีเดียว ภายในอลังการงานสร้างด้วยเครื่องบินรบของกองทัพญี่ปุ่นที่จัดโชว์ให้ดูตัวเครื่องรุ่นต่างๆ มากมาย เรียงรายกันให้เราเดินชมได้แบบเต็มอิ่ม
ใครเป็นแฟนคลับเครื่องบิน บอกเลยว่าที่นี่คือสวรรค์มากๆ
สามารถชมคลิปได้ที่ www.youtu.be/mshB_bKNYQ8
ด้านหน้าของพิพิธภัณฑ์มีเครื่องบิน F1 ซึ่งเป็นเครื่องบินลำแรกที่บินโชว์สำหรับทำ Blue Impulse ในตอนที่โตเกียวเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเมื่อปี ค.ศ. 1964 ซึ่งตอนนี้เครื่องบิน F1 ก็ได้ปลดระวางและนำมาวางโชว์ไว้ให้แฟนคลับได้ชื่นชมกัน
นอกจากนี้ ด้านในของพิพิธภัณฑ์ก็มีเครื่องบินจำลอง F2 มาจาก F16 โดยตัวอักษร F มีความหมายว่า Fighter ซึ่งทางญี่ปุ่นเองใช้สำหรับการบินโชว์ทำ Blue Impulse แน่นอนว่าคนชอบเครื่องบินก็จะได้เห็นเครื่องบินในระยะประชิดกันเลยทีเดียว
อีกทั้งยังมีเครื่องบินของอิตาลีที่ทางพิพิธภัณฑ์ได้ทำจำลองไว้ โดยเครื่องบินลำนี้ หากใครเป็นแฟนแอนิเมชันค่ายสตูดิโอจิบลิ (Studio Ghibli) ก็น่าจะคุ้นตา เพราะปรากฏในเรื่องพอร์โค รอสโซ สลัดอากาศประจัญบาน Kurenai no Buta หรือ Porco Rosso นั่นเอง ว่ากันว่าผู้แต่งได้แรงบันดาลใจมาจากเครื่องบินลำนี้นี่เอง
ที่นี่ไม่ได้มีเพียงเครื่องบินรวมคอลเลคชั่นตั้งโชว์ไว้อย่างเดียวเท่านั้น ยังมีพิพิธภัณฑ์ของกองทัพอากาศญี่ปุ่นที่เปิดให้เข้าชมอีกด้วย ภายในพิพิธภัณฑ์นี้จะเล่าเกี่ยวกับหน้าที่ของกองกำลังป้องกันตนเองของญี่ปุ่นว่าทำอะไรบ้าง รวมถึงมียศและตำแหน่งอย่างไร
มีการจำลองห้องโดยสารที่ใช้เฉพาะราชวงศ์และคณะรัฐบาล ซึ่งคนทั่วไปน่าจะไม่ค่อยได้เห็นกันแน่ๆ เพราะเราก็เพิ่งเคยเห็นครั้งแรกเช่นกัน
บริเวณชั้นบนของที่นี่เป็นคาเฟ่และร้านอาหารพร้อมวิวด้านนอกที่สามารถมองเห็นลานบิน ว่ากันว่านี่เป็นสนามสอบแห่งสุดท้ายของนักบิน โดยจะมีช่วงเวลาที่เครื่องบินแล่นขึ้นและลงเพื่อฝึกซ้อมกันตรงนี้ด้วย
ส่วนเมนูอาหารที่จัดว่าเป็นของเด็ดสำหรับที่นี่ก็คือข้าวแกงกะหรี่ โดยเฉพาะไอเท็มของฝากข้าวแกงกะหรี่ทหารเรือ (Kaigun Curry) มีเรื่องเล่ากันว่าเวลาที่ทหารเรืออาศัยอยู่บนเรือก็จะไม่รู้วันรู้คืน แต่ทุกๆ วันศุกร์เมนูอาหารของทหารเรือจะเป็นแกงกะหรี่ เพื่อให้ทหารทุกคนรู้ว่าวันนี้คือวันศุกร์แล้ว ดังนั้นจึงเหมือนกับว่าแกงกะหรี่เป็นสิ่งที่ใช้เพื่อแจ้งวันให้ทราบโดยทั่วกันนั่นเอง
ทหารเรือของไทยจะมีอะไรแบบนี้บ้างไหมนะ?
ไฮไลท์ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ ทางพิพิธภัณฑ์ยังมีกิจกรรมเด็ดๆ ที่คอยสานฝันให้คนอยากเป็นนักบิน นั่นก็คือการทดลองขับเครื่องบินแบบ Simulation โดยวิวในจอจะเป็นภาพทางอากาศของเมือง Hamamatsu เพื่อความสมจริง ใครเป็นโอตาคุเครื่องบินจะต้องฟินแน่!
ถ้าเป็นช่วงสถานการณ์ปกติที่ไม่มีโรคระบาด เราสามารถแต่งตัวเป็นนักบินด้วยการสวมชุดนักบินของจริงกันได้ฟรีๆ แต่ตอนนี้เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของไวรัสโควิด-19 ทางพิพิธภัณฑ์จึงของดกิจกรรมนี้ไปก่อน ส่วนค่าเข้าชมของที่นี่ยังฟรีด้วยนะ คนรักเครื่องบินไม่มาไม่ได้แล้ว
นอกจากนี้ ภายในพิพิธภัณฑ์ยังมีการจัดแสดงอุปกรณ์ที่ใช้ในการหนีภัยของนักบินในรูปแบบต่างๆ มีการจัดแสดงเครื่องบินย่อส่วนเอาไว้หลากหลายรุ่น ดูแล้วเห็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจน อีกทั้งยังมีรถถังที่ใช้สำหรับยิงวัตถุบนฟ้าที่บินข้ามเข้ามาในอาณาเขตของประเทศญี่ปุ่นด้วย น่าตื่นตาตื่นใจมาก
สำหรับสายช็อปปิ้งก็มีร้านจำหน่ายสินค้าภายในพิพิธภัณฑ์ด้วยชื่อว่าร้าน TSUBASA มีทั้งขนมของฝาก ของที่ระลึกต่างๆ มากมาย ก่อนกลับแวะซื้อของติดไม้ติดมือไปฝากคนทางบ้านก็น่าจะดีไม่น้อย
Info
Airpark JASDF Hamamatsu Air Base Museum
Location: เมืองฮามามัตสึ (Hamamatsu), จังหวัดชิซูโอกะ
Hours: 9:00-16:00 น.
Holiday: วันจันทร์กับวันอังคารสุดท้ายของเดือน
Entrance Fee: ฟรี
Nearest Station: สถานีฮามามัตสึ (Hamamatsu Station)
Access: จากสถานีฮามามัตสึทางออก North Exit ให้ต่อรถบัสที่ Bus Terminal Line 14 มุ่งหน้าไปยัง 51 Seirei Hamamatsu Izumi Takaoka ใช้เวลาประมาณ 25 นาที แล้วลงรถบัสที่ป้าย Izumi 4-chome จากนั้นเดินเท้าต่ออีก 10 นาที
Website: www.mod.go.jp/asdf/airpark
1.2 สวนผลไม้ที่ใหญ่ที่สุดในเมืองฮามามัตสึ Hamamatsu Fruit Park
เมืองฮามามัตสึมีสวนผลไม้ที่ใหญ่ที่สุดชื่อว่า ฮามามัตสึ โทคิโนะซุมิกะ (Hamamatsu Fruit Park Tokinosumika) ที่นี่เป็นสวนผลไม้ที่ไม่ได้มีแค่ผลไม้ พูดแล้วอาจจะงง จึงขออธิบายก่อนว่าสวนแห่งนี้มีพื้นที่กว้างใหญ่มากๆ ที่นี่จึงไม่ได้เป็นเพียงแค่สวนผลไม้ แต่ยังเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของคนในเมืองและนักท่องเที่ยวอย่างพวกเรา
ที่สวนแห่งนี้มีผลไม้มากมายกว่า 11 ชนิด ไม่ว่าจะเป็นสตรอว์เบอร์รี พีช แอปเปิ้ล ส้ม ลูกพลับ บ๊วย บลูเบอร์รี่ องุ่น สาลี่ และผลไม้ชนิดอื่นๆ ซึ่งจะออกตามฤดูกาล เรียกได้ว่ามีผลไม้ให้เก็บกันทั้งปี เห็ดหูหนูกับเห็ดหอมก็มีให้เก็บด้วยเช่นกัน
สามารถชมคลิปได้ที่ www.youtu.be/Q5gCvL6cHnI
ในช่วงคริสต์มาสที่นี่ก็จัดเทศกาลประดับไฟด้วยนะ โดยทางสวนจะใช้ไฟทั้งหมดกว่า 3 ล้านดวง ถือว่าเยอะและใหญ่มาก ซึ่งล่าสุดก็มีการจัดงานนี้ตั้งแต่วันที่ 20 พฤศจิกายน ค.ศ. 2020 ถึง 28 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2021 เริ่มเปิดไฟตั้งแต่เวลา 17:00-19:00 น. ค่าเข้าชมผู้ใหญ่ 1,200 เยน และ 600 เยนสำหรับเด็ก
นอกจากนี้ ภายในสวนยังมีโซนไวน์เนอรี่ที่มีโรงกลั่นไวน์ขนาดย่อมด้วย มีการนำผลไม้บางชนิดมากลั่นเป็นเครื่องดื่มเพื่อจำหน่ายที่โรงงานแห่งนี้เช่นกัน
ฝั่งตรงข้ามจะเป็นโซนร้านอาหาร บอกได้เลยว่า Pizza ของที่นี่เด็ดดวงพวงมาลัย! เพราะเป็นพิซซ่าเตาถ่านที่อบร้อนๆ พร้อมรับประทานได้ทันที โดยเชฟจะนำมาอบที่เตาถ่านในเวลา 3 นาที ผู้ใช้บริการอย่างเราก็จะได้ดูไปชิมพิซซ่าไป ฟินมากๆ
สำหรับร้านนี้หากสั่งพิซซ่า 1 ถาดเราจะได้เครื่องดื่มฟรี 1 แก้ว ในราคาประมาณ 1,000 เยน พิซซ่ามีด้วยกัน 3 หน้า ที่ขายดีคือหน้าซอสมะเขือเทศ ชีส และเบซิล เชฟแนะนำมาว่าให้ลองกินพิซซ่าหน้าชีสกับน้ำผึ้งดู แล้วคุณจะรู้ว่ามันอร่อยมาก อืม..พอลองแล้วก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าอร่อยจริงๆ ตบท้ายด้วยเมนูของหวานที่เสิร์ฟมาในถ้วยเล็กๆ เซ็ต 4 ถ้วย 300 เยน ราคาน่ารักมากๆ เลย
ในช่วงที่เราไปเยือนนั้นเป็นฤดูกาลของส้ม ต้นส้มจึงออกผลมาให้เก็บเต็มต้น จากนั้นเราก็นั่งรถไฟที่มีชื่อว่า “Max Trains” เพื่อขึ้นไปเก็บส้มกัน อันที่จริงสามารถเดินขึ้นไปได้เลย แต่เพื่อเป็นการประหยัดเวลาและเก็บแรง เราจึงเลือกนั่งรถไฟไปแทน อีกทั้งรถไฟยังน่ารักมากๆ เลยล่ะ
ส้มสายพันธุ์ที่เราไปเก็บกันมีชื่อว่า Aoshima Mikan เป็นส้มที่มีรสหวานไร้เมล็ด สวนส้มที่นี่จะปลูกส้ม 2 สายพันธุ์ อีกสายพันธุ์หนึ่งมีชื่อว่า Wase Mikan ซึ่งการเก็บส้มจะไม่ใช่การเก็บแบบเหมาราคาเดียว แต่เราจะเก็บจำนวนเท่าไรก็ได้ แล้วทางสวนก็จะชั่งน้ำหนักและคิดราคาตามน้ำหนัก ราคาจะอยู่ที่ 40 เยน/100 กรัม โดยปกติแล้วทางสวนจะไม่อนุญาตให้แกะส้มชิมทันที จะให้นำกลับไปรับประทานที่บ้านจะดีกว่า แต่เราได้รับอนุญาตเพราะเขาอยากให้ชิมจะได้รู้ว่ารสชาติอร่อยแค่ไหน
ถ้ามาที่สวน Hamamatsu Fruit Park Tokinosumika แห่งนี้แล้วไม่พูดถึงผลไม้สุดฮอตอีกอย่างหนึ่งก็คงไม่ได้ ผลไม้ที่ได้รับความนิยมมากๆ อีกอย่างหนึ่งของที่นี่ก็คือสตรอว์เบอร์รีนั่นเอง
ใครเป็นแฟนคลับสตรอว์เบอร์รีห้ามพลาดสวนนี้ เพราะเป็นที่เก็บสตรอว์เบอร์รีสุดฮอตของเมืองฮามามัตสึเลย ที่สวนมีสตรอว์เบอร์รีสายพันธุ์เด็ดๆ ได้แก่ Akihime, Benihoppe, Kaoino และ Yotsuboshi
เราสามารถเข้าเก็บสตรอว์เบอร์รีได้ตั้งแต่เดือนธันวาคมจนถึงเดือนพฤษภาคม การเข้าชมสวนสตรอว์เบอร์รีจะเป็นแบบบุฟเฟ่ต์ คือเก็บแล้วกินได้เลยภายในเวลา 30 นาที ส่วนราคาของการเก็บก็จะขึ้นอยู่กับแต่ละช่วงฤดูกาล
Info
Hamamatsu Fruit Park
Location: เมืองฮามามัตสึ (Hamamatsu), จังหวัดชิซูโอกะ
Hours: 9:00-18:00 น. (โซนผลไม้เปิดถึง 17:00 น.)
Holiday: –
Entrace Fee: ผู้ใหญ่และนักเรียนชั้นมัธยมปลาย 700 เยน, เด็ก 350 เยน, เด็กเล็กฟรี
Nearest Station: สถานีฟรุตพาร์ค (Fruit Park Station)
Access: จากสถานีฮามามัตสึมีระบบขนส่งสาธารณะให้เลือกดังนี้
รถไฟ: นั่งรถไฟ Enshu Railway ไปลงที่สถานีนิชิคาจิมะ (Nishikajima Station) และเปลี่ยนสายเป็น Tenryu Hamanako Line ลงที่สถานีฟรุตพาร์ค จากนั้นเดินต่อ 8 นาทีไปทางทิศเหนือ
รถบัส: นั่งรถบัสสาย Miyakoda/Fruit Park ที่ป้ายหมายเลข 16 จาก Bus Terminal บริเวณสถานีฮามามัตสึใช้เวลา 60 นาที แล้วลงที่ป้าย Fruit Park
Website: www.tokinosumika.com/hamamatsufp
1.3 ชมพระพุทธรูป Rakan กว่า 500 องค์ พร้อมขอพรความรักที่วัด Houkouji
วัดโฮโคจิ (Houkouji Temple) เป็นวัดเก่าแก่ในเมืองฮามามัตสึที่มีอายุกว่า 650 ปี จุดเด่นของวัดนี้คงเป็นพระพุทธรูปองค์เล็กๆ ที่วางเรียงรายตั้งแต่ทางเดินจากที่จอดรถยาวไปจนถึงภายในวัด ซึ่งมีจำนวนกว่า 500 องค์ คนญี่ปุ่นเรียกพระพุทธรูปเหล่านี้ว่า Rakan ซึ่งพระแต่ละองค์จะมีอิริยาบถที่แตกต่างกันไป
คนญี่ปุ่นเล่าว่า ถ้าเป็นรูปพระอุ้มปลาแสดงว่าต้องการให้ค้าขายดีหรือถ้าทำการประมงก็จะจับปลาได้จำนวนมาก พระพุทธรูปเล็กๆ เหล่านี้เป็นพระพุทธรูปที่ผู้มีจิตศรัทธาเช่าบูชาเพื่อขอพรให้สิ่งที่ตนขอสมหวัง จากนั้นพวกเขาก็จะนำพระมาตั้งไว้ที่วัด ปัจจุบันก็ยังมีพระพุทธรูปสำหรับผู้ที่มีความศรัทธาได้เช่าซื้อบูชากันอยู่ สนนราคา 200,000 เยน คิดเป็นเงินไทยก็ประมาณ 60,000 บาท
สามารถชมคลิปได้ที่ www.youtu.be/fW0wq5pKbhg
ส่วนไฮไลท์ที่น่าฮือฮาของวัดนี้ก็คือ มีพระพุทธรูป Rakan อยู่องค์หนึ่งที่ชาวญี่ปุ่นบอกว่าหน้าเหมือนคุณสึงะ โยชิฮิเดะ (Yoshihide Suga) นายกรัฐมนตรีของประเทศญี่ปุ่น ดูรูปแล้วคิดว่าอย่างไรกันบ้าง เหมือนหรือเปล่านะ
วัดโฮโคจิ เป็นวัดนิกายเซนที่มีวิหารใหญ่ที่สุดในภูมิภาคโทไก (Tokai) เป็นวิหารที่สร้างด้วยไม้ วิหารเดิมมีมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1371 แต่ถูกไฟไหม้ในสมัยเมจิที่ 14 เลยมีการสร้างวิหารขึ้นใหม่ในสมัยโชวะที่ 10 และใช้มาจนถึงปัจจุบัน เท่ากับมีอายุกว่า 100 ปี
ที่วัดแห่งนี้ยังมีพระประธานเก่าแก่สร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1351 และได้ถูกอัญเชิญมาประดิษฐาน ณ อาคารหลักแห่งนี้อีกด้วย
ภายในวัดมีรูปปั้นของเทพ Daikoku (大黒) ที่ท่านเจ้าอาวาสบอกว่าเป็นเทพเจ้าผูกรักผูกดวง ผูกสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้น โดยผู้ชายต้องไปลูบที่มือขวาของรูปปั้นเทพเจ้า และผู้หญิงต้องไปลูบที่ด้านหลังขององค์เทพเจ้า ใครโสดอยากมีคู่ต้องลองแล้วนะ ส่วนคนที่มีคู่แล้วก็ทำได้เช่นกัน โดยสามารถขอพรให้ครอบครัวมั่นคง ความรักยั่งยืนนาน
ด้านหน้าของอาคารแห่งนี้มีไฮไลท์ที่น่าสนใจคือ “เสาไม้ที่แกะสลักเป็นรูปมังกร” เสานี้มีความอลังการมากๆ เพราะใช้ไม้ท่อนเดียว ซึ่งดูแล้วคิดว่าเป็นไม้คุซึอายุเกิน 100 ปีแน่นอน
จุดชมวิวสวยอีกแห่งหนึ่งของวัดนี้เป็นจุดชมวิวจากมุมสูง ซึ่งเราจะได้เห็นใบไม้เปลี่ยนสีถ้ามาตรงตามช่วงเวลาที่เหมาะสม สีสันของใบไม้ในช่วงเวลานั้นจะยิ่งทำให้วัดดูสวยงามและสงบท่ามกลางธรรมชาติที่งดงามมากๆ ในระหว่างทางเดินเราก็จะเห็นพระพุทธรูป Rakan ตั้งเรียงรายอยู่ด้วย
วัดแห่งนี้ไม่ได้มีเพียงประวัติศาสตร์ที่งดงามเท่านั้น แต่ยังมีที่พักภายในวัดให้นักท่องเที่ยวเข้าพักได้ พร้อมเสิร์ฟอาหาร “โชจินเรียวริ” ด้วย วิวกลางคืนของวัดนี้ก็สวยงามไม่แพ้สถานที่ท่องเที่ยวดังๆ ที่อื่นเหมือนกันนะ
Info
Houkouji
Location: เมืองฮามามัตสึ (Hamamatsu), จังหวัดชิซูโอกะ
Hours: 9:00-16:00 น.
Holiday: –
Entrance Fee: ผู้ใหญ่ 500 เยน (ถ้าซื้อบัตรรวมกับค่าเข้าชมถ้ำ Ryugashidou Cavern จะได้ส่วนลดเหลือ 1,150 เยน เข้าได้ทั้งสองที่), นักเรียนชั้นประถม-มัธยมต้น 600 เยน (ถ้าซื้อบัตรรวมกับค่าเข้าชมถ้ำ Ryugashidou Cavern จะได้ส่วนลดเหลือ 650 เยน เข้าได้ทั้งสองที่)
Nearest Station: สถานีฮามามัตสึ (Hamamatsu Station)
Access: นั่งรถบัสหมายเลข 45 คันที่มุ่งหน้าไปยัง Shiyakusho Okuyama จากจุดขึ้นรถบัสหมายเลข 15 ที่ Bus Terminal บริเวณ North Exit ของสถานีฮามามัตสึ มาลงที่ป้าย Okuyama
Website: www.houkouji.or.jp
1.4 เที่ยวถ้ำมังกร Ryugashido Cavern หนึ่งในถ้ำที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น
ถ้ำริวกาชิโด (Ryugashido Cavern) หรือถ้ำมังกร เป็นชื่อที่เรียกตามภาพด้านหน้าถ้ำ ซึ่งเป็นรูปมังกรที่มีดวงตาสีแดงยืนเด่นเป็นสง่า ถ้ำแห่งนี้นับว่าเป็นหนึ่งในถ้ำที่ใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น เป็นถ้ำหินปูนที่ทับถมกันมานานกว่า 250 ล้านปี
ถ้ำนี้เปิดให้เข้าชมอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ. 1983 ภายในถ้ำมีความลึก 1,046 เมตร แต่ทางจังหวัดได้เปิดถ้ำให้นักท่องเที่ยวเข้าไปเที่ยวชมได้ลึกประมาณ 400 เมตรเท่านั้น ภายในถ้ำแห่งนี้อากาศจะเย็นตลอดทั้งปี อุณหภูมิจะอยู่ที่ประมาณ 18 องศาเซลเซียส
ภายในถ้ำมีจุดชมความงามอยู่หลายจุด เวลาเดินอาจจะต้องคอยระวังศีรษะด้านบนเพราะทางเดินแคบ แต่พื้นทางเดินสามารถเดินได้สบายๆ ไม่เป็นอันตรายแน่นอน
สามารถชมคลิปได้ที่นี่ www.youtu.be/nATFSRWb7h4
ที่ปากทางเข้าถ้ำเราจะได้เจอกับค้างคาว ซึ่งเขาจัดห้องกระจกให้เราได้เห็นตัวเป็นๆ กันเลยทีเดียว
เอาล่ะ! เริ่มเดินเข้าถ้ำกันได้แล้ว ทางเดินจะมืดๆ หน่อย เวลาเดินต้องระวังศีรษะ แล้วก็ต้องระวังลื่นด้วยเพราะถ้ำมีความชื้นสูง ส่วนผนังด้านข้างก็จะมีหินปูนที่ทับถมกันเป็นรูปต่างๆ เช่น
หินรูปตายายและหลานที่นั่งกินข้าวด้วยกัน
หินรูปจระเข้อ้าปาก ไม่รู้ว่าเห็นเหมือนกันไหม
ผนังถ้ำมีน้ำไหลออกมา น่าตื่นเต้นมาก
หินปูนรูปเทพเจ้าทั้ง 7 ของญี่ปุ่น คนตั้งชื่อนี่เก่งจริงๆ เลย นอกจากจะต้องใช้จินตนาการแล้ว ยังต้องตั้งชื่อให้เป็นไปตามหินและภาพที่เห็นด้วย
โคมไฟแชนเดอร์เลียร์
น้ำตกอายุยืนหรือ Fountain Of Longevity น้ำใสมากๆ แต่น้ำไม่สามารถกินได้นะ
ไฮไลท์เด่นๆ เลยก็คือ น้ำตกสีทอง (The Grand Golden Waterfall) จะเป็นน้ำที่พุ่งลงมาจากผนังหลังคาของถ้ำ ได้ยินเสียงน้ำกระทบกับพื้นแล้วรู้สึกสดชื่นมากๆ น้ำที่ไหลลงมามีความสูงประมาณ 30 เมตร ทำให้นี่เป็นหนึ่งในน้ำตกใต้ดินที่ยาวที่สุดของญี่ปุ่นอีกด้วย
ร้านขายของฝากก็มีไอเท็มหินต่าง ๆ มาวางจำหน่ายมากมาย มีของฝากท้องถิ่นของจังหวัดชิซูโอกะ รวมถึงโคล่าฟูจิด้วยนะ ใครอยากลองก็เรียนเชิญได้ เราไปลองมาแล้ว ได้กลิ่นอายความเป็นโคล่าแบบวินเทจสุดๆ
Info
Ryugashido Cavern
Location: เมืองฮามามัตสึ (Hamamatsu), จังหวัดชิซูโอกะ
Hours: 9:00-17:00 น.
Holiday: –
Entrance Fee: ผู้ใหญ่กับนักเรียนชั้นมัธยมปลาย 1,000 เยน (ถ้าซื้อบัตรรวมกับค่าเข้าชมวัด Houkouji จะได้ส่วนลดเหลือ 1,150 เยน เข้าชมได้ทั้งสองที่), นักเรียนชั้นประถม-มัธยมต้น 600 เยน (ถ้าซื้อบัตรรวมกับค่าเข้าชมวัด Houkouji จะได้ส่วนลดเหลือ 650 เยน เข้าชมได้ทั้งสองที่)
Nearest Station: สถานีฮามามัตสึ (Hamamatsu Station)
Access: จากสถานีฮามามัตสึ ให้นั่งรถบัสสายที่จะไป Okuyama Kogen ลงที่ป้าย Ryugashido Iriguchi
Website: www.houkouji.or.jp
1.5 Sawayaka ร้านอาหารที่คนท้องถิ่นบอกว่าถ้ามาเที่ยวเมืองฮามามัตสึต้องลอง!
ร้าน Sawayaka ตั้งอยู่ที่ชั้น 8 ของห้างสรรพสินค้า Entetsu Main Building ที่อยู่ใกล้ๆ กับสถานีรถไฟฮามามัตสึ ร้านนี้เป็นร้านดังของคนท้องถิ่นที่ได้รับความนิยมมากๆ เป็นร้านสไตล์ Family Restaurant และมี 35 สาขากระจายทั่วจังหวัดชิซูโอกะ
จุดเด่นของร้านนี้ก็คือเมนูแฮมเบิร์ก (Hamburg) ซึ่งใช้เนื้อวัวชั้นดีชิ้นหนามาย่างในถาดร้อนๆ เป็นร้านที่ได้รับความนิยมจากคนทุกเพศทุกวัย คนท้องถิ่นของเมืองฮามามัตสึบอกเราว่าร้านนี้เป็นร้านดัง คิวเลยยาวมาก และเขาก็มากินตั้งแต่ตอนที่ยังเป็นเด็กเลยล่ะ
ร้านนี้ไม่ได้มีแค่เมนูเนื้อวัวอย่างเดียว ใครไม่กินเนื้อก็สามารถสั่งเมนูไก่หรือเมนูอื่นๆ ได้ เช่น สลัด แกงกะหรี่ ฯลฯ
ความน่ารักของทางร้านก็คือ ก่อนที่เขาจะเสิร์ฟอาหาร จะมีการนำกระดาษแผ่นรองจานมาให้เราก่อน ซึ่งเจ้าแผ่นรองจานที่ว่านี้ไม่ได้มีหน้าที่เพียงแค่รองจานอาหารเท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่เป็นผ้ากันเปื้อนป้องกันการกระเด็นของน้ำมันที่อยู่ภายในถาดร้อนๆ ไม่ให้ฉู่ฉ่าโดนเสื้อโดนตัวเราด้วย อีกทั้งยังมีสเปรย์ฆ่าเชื้อมาวางไว้ที่โต๊ะให้อีก เผื่อว่าใครกังวลเรื่องการหยิบจับขวดเครื่องปรุงต่างๆ เรียกได้ว่าน่ารักและใส่ใจสุดๆ ไปเลย
Info
Sawayaka
Location: เมืองฮามามัตสึ (Hamamatsu), จังหวัดชิซูโอกะ
Hours: 11:00-22:00 น.
Holiday: –
Nearest Station: สถานีฮามามัตสึ (Hamamatsu Station)
Access: นั่งรถไฟไปลงที่สถานีฮามามัตสึ ทางออก North ร้านอยู่ที่ห้างสรรพสินค้า Entetsu Main Building ชั้น 8
Website: www.genkotsu-hb.com
1.6 เรื่องกินเรื่องใหญ่! ไปลองเกี๊ยวซ่าสไตล์ฮามามัตสึที่ร้านอิซากายะ Hamataro Gyoza กันเถอะ
Hamataro Gyoza เป็นร้านเกี๊ยวซ่าของชาวเมืองฮามามัตสึที่ว่ากันว่าเป็นร้านที่ไม่ควรพลาดเด็ดขาด ไฮไลท์ของที่นี่ก็คือเกี๊ยวซ่าจะมีหลากหลายรสชาติให้เลือก เช่น กุ้ง วาซาบิ กิมจิ ชีส ฯลฯ เมื่อสั่งเมนูเกี๊ยวซ่าเสร็จเรียบร้อย พนักงานจะยกมาเสิร์ฟโดยที่ตรงกลางของจานนั้นจะมาพร้อมกับถั่วงอกลวก โอ้โห ไม่เคยกินเกี๊ยวซ่ากับถั่วงอกลวกมาก่อนเลย
ครั้งแรกต้องไม่เฟลสินะ ใช่แล้ว! ไม่เฟลเลย รสชาติดีกว่าที่คิดเอาไว้ เรียกว่าอร่อยใช้ได้ น้ำจิ้มเกี๊ยวซ่าก็ดีงามมาก ทางร้านปรุงมาให้เสร็จสรรพแล้ว เราแค่เติมน้ำมันพริกเผาเพื่อเพิ่มความเผ็ดอย่างเดียวเท่านั้นเอง
นอกจากนี้เรายังสั่งเมนูกับแกล้มกรุบกริบมาด้วย นั่นคือแตงกวาหั่นที่โรยปลาคัตสึโอะฝอยมาเป็นท็อปปิ้ง จานนี้เป็นเมนูที่ทำให้แตงกวาธรรมดาดูมีมูลค่าขึ้นมาเลยทีเดียว แน่นอนว่าสายดื่มก็ไม่ควรพลาดถั่วแระญี่ปุ่นด้วยล่ะ
บรรยากาศภายในร้านจะมีที่นั่งแบบเคาน์เตอร์สำหรับคนที่มาคนเดียว และมีที่นั่งแบบโต๊ะสำหรับคนที่มาเป็นกลุ่ม การสั่งอาหารทำได้ผ่านจอไอแพด อารมณ์จะคล้ายๆ กับอิซากายะ นั่งชิลล์ นั่งคุย พูดคุยกันตามประสาเพื่อนฝูงหลังเลิกงาน
ส่วนมื้อเที่ยงที่นี่ก็ราคาถูกมาก โดยเกี๊ยวซ่าเริ่มต้นที่เซ็ตละ 580 เยน ถ้าใครอยู่ญี่ปุ่นก็สามารถซื้อกลับบ้านไปย่างกินเองได้ด้วยนะ เกี๊ยวซ่าเซ็ต 6 ชิ้น (680 เยน) เซ็ต 12 ชิ้น (1,030 เยน) และเซ็ต 18 ชิ้น (1,380 เยน)
Info
Hamataro Gyoza สาขา Hamamatsu Ekimae
Location: เมืองฮามามัตสึ (Hamamatsu), จังหวัดชิซูโอกะ
Hours: 11:30-14:00 น., 17:00-21:00 น.
Holiday: ไม่แน่นอน
Nearest Station: สถานีฮามามัตสึ (Hamamatsu Station)
Access: นั่งรถไฟไปลงที่สถานีฮามามัตสึ ทางออก North แล้วเดินต่อไปตามแผนที่อีกนิดก็จะถึงร้าน
Website: www.hamatarou-ta.owst.jp
1.7 คืนนี้นอนที่นี่นะ! OKURA ACT CITY HOTEL HAMAMATSU โรงแรมสุดหรูบนตึกสูงใจกลางเมืองฮามามัตสึ
ที่พักสำหรับค่ำคืนนี้ เราจะเข้านอนกันที่โรงแรม Okura Act City Hotel Hamamatsu โรงแรมนี้เป็นตึกสูง 45 ชั้นที่อยู่ติดกับสถานีรถไฟ เดินทางสะดวกสุดๆ เพราะโรงแรมมีทางเดินเชื่อมถึงสถานีรถไฟได้เลย ส่วนสายช็อปปิ้งก็ต้องฟินแน่ๆ เพราะรอบโรงแรมมีห้างสรรพสินค้าต่างๆ รายล้อมเต็มไปหมด
สามารถชมคลิปได้ที่ www.youtu.be/x0oV7763zis
ช่วงที่ไปพัก ล็อบบี้โรงแรมตกแต่งต้นคริสต์มาสและมีดนตรีบรรเลงให้เข้ากับบรรยากาศด้วย เมืองฮามามัตสึขึ้นชื่อเรื่องเครื่องดนตรี ดังนั้นไม่ว่าจะเดินทางไปซอกมุมไหน เราก็มักจะได้ยินเสียงเพลงบรรเลงอย่างไพเราะ คอยสร้างบรรยากาศให้ร่มรื่นและผ่อนคลายตลอดเวลา แม้แต่ในลิฟต์ก็ยังตกแต่งด้วยตัวโน้ตเลยนะ
จุดเด่นของโรงแรมนี้คงเป็นวิวจากมุมสูงของโรงแรม ซึ่งเราสามารถชมวิวเมืองฮามามัตสึได้ทั้งในตอนกลางวันและกลางคืน รวมถึงลิฟต์แก้วของโรงแรมที่มองวิวได้ตลอดเวลา คืนนี้เราได้พักที่ชั้น 44 เป็นวิวฝั่งตรงข้ามกับสถานีรถไฟที่มองอย่างไรก็สวยทั้งกลางวันและกลางคืน ไม่ต้องออกไปเดินตากลมเลย แค่ชมวิวจากบนห้องพักก็เพียงพอแล้ว
ห้องน้ำสะอาด อุปกรณ์ก็ครบถ้วนมากๆ เครื่องประทินผิวที่ให้มาภายในห้องพักก็นับว่าดีงาม เข้าพักโรงแรมตัวเปล่ายังได้
เราสะดุดกับไดร์เป่าผมยี่ห้อ Dyson เพราะส่วนใหญ่โรงแรมในญี่ปุ่นจะไม่ใช้ยี่ห้อนี้ ดีงามสำหรับคนที่แพลนว่าจะซื้อไดร์เป่าผมยี่ห้อนี้มากๆ เท่ากับว่าเราจะได้ทดลองใช้ก่อนซื้อจริง ที่ชอบที่สุดก็คือไดร์ยี่ห้อนี้มีหลากหลายหัวเป่ามาให้เปลี่ยนใช้ด้วยนะ ดี๊~ดี
ขอมาพูดคุยเกี่ยวกับอาหารเช้ากันบ้าง อาหารเช้าของที่นี่ถือได้ว่าดีเลิศจริงๆ เนื่องจากทางโรงแรมจัดอาหารเช้ามาแบบเป็นเซ็ตให้เลือกว่าจะเป็นอาหารแบบตะวันตกหรือแบบญี่ปุ่น เพราะช่วงนี้โรคโควิด-19 ระบาด ทางโรงแรมจึงจัดเป็นแบบเซ็ตแล้วนำมาเสิร์ฟให้เราที่โต๊ะแทนการลุกไปหยิบเอง แต่ก็ยังมีบางอย่างที่ต้องไปหยิบเองอยู่นะ เช่น เครื่องดื่มต่างๆ ซึ่งทางโรงแรมก็เตรียมการรับมือเรื่องการแพร่กระจายของไวรัสได้เป็นอย่างดี ตั้งแต่ขั้นตอนการวัดอุณหภูมิ ล้างมือด้วยแอลกอฮอล์ ซึ่งเราต้องใส่ถุงมือกับหน้ากากอนามัยก่อนลุกไปหยิบเครื่องดื่มทุกครั้งด้วยนะ ส่วนโต๊ะที่นั่งก็จัดให้อยู่ห่างๆ กัน เพื่อเว้นระยะห่างด้วย
Info
OKURA ACT CITY HOTEL HAMAMATSU
Location: เมืองฮามามัตสึ (Hamamatsu), จังหวัดชิซูโอกะ
Reservation: คลิกที่นี่เพื่อจองห้องพัก
Nearest Station: สถานีฮามามัตสึ (Hamamatsu Station)
Access: ลงรถไฟที่สถานีฮามามัตสึทางออก North หรือ May one แล้วเดินเชื่อมเข้าสู่โรงแรมบริเวณชั้น 2 ได้เลย
Website: www.act-okura.co.jp
02 เที่ยวเมืองฮามามัตสึ : วันที่ 2
2.1 แวะเช็คอินปราสาทฮามามัตสึ (Hamamatsu Castle)
แลนด์มาร์คทางประวัติศาสตร์ของเมืองฮามามัตสึ ยังไงก็ต้องเป็นที่นี่! ปราสาทฮามามัตสึ (Hamamatsu Castle)
ปราสาทฮามามัตสึเป็นปราสาทที่สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1532 โดยขุนนางในตระกูลอิมางาวะ (Imagawa) ในสมัยปฏิวัติเมจิ ปราสาทหลังเดิมได้ถูกทำลายจนพังลงไป แต่ยังคงเหลือฐานหินอยู่ ซึ่งปราสาทหลังใหม่ที่สร้างขึ้นนั้น แม้ว่าจะมีขนาดเล็กลงแต่ก็ยังตั้งอยู่บนฐานหินเดิม
สามารถชมคลิปได้ที่ www.youtu.be/OriT7oJA8nc
ปราสาทแห่งนี้เคยเป็นที่อยู่ของโชกุนชื่อดังของญี่ปุ่น นั่นก็คือ โทกุงาวะ อิเอยาสึ (Tokugawa Ieyasu) ซึ่งเคยอาศัยอยู่ที่นี่นานกว่า 17 ปี ในช่วงอายุ 29-45 ปี ปราสาทแห่งนี้จึงมีอีกชื่อเรียกหนึ่งว่า “ปราสาทแห่งการเลื่อนตำแหน่ง” เพราะไม่ว่าใครก็ตามที่อาศัยอยู่ที่นี่ล้วนได้รับการเลื่อนตำแหน่งสำคัญๆ ทั้งนั้น ดังนั้นบริเวณปราสาทจึงมีรูปปั้นของโชกุนโทกุงาวะอยู่ด้วย
ความสนุกของการมาเที่ยวปราสาทฮามามัตสึนั้น นอกเหนือจากการถ่ายรูปเช็คอินเป็นที่ระลึกแล้ว ยังมีอีกหนึ่งสิ่งที่ฮอตฮิตสำหรับการชมปราสาท นั่นก็คือการตามหาหินรูปหัวใจที่เป็นฐานของปราสาท วัยรุ่นญี่ปุ่นบอกว่าถ้าเห็นแล้วจะสมหวังในความรักและโชคดีอีกด้วย
เอ้า! มีใครเห็นหินรูปหัวใจบ้างไหมนะ?
นอกจากนี้บริเวณรอบๆ ปราสาทฮามามัตสึยังเต็มไปด้วยซากุระกว่า 370 ต้น ซึ่งจะบานสะพรั่งในช่วงปลายเดือนมีนาคมถึงต้นเดือนเมษายน ที่นี่เรียกได้ว่าเป็นจุดชมซากุระที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น ปราสาทแห่งนี้จึงถือเป็นสถานที่ยอดนิยมของนักท่องเที่ยวที่จะไปชมซากุระ
แต่ปราสาทไม่ได้มีแค่ดอกซากุระในฤดูใบไม้ผลิเท่านั้น ยังมีต้นเมเปิ้ลกับต้นแปะก๊วยที่จะผลัดใบในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี ช่วงที่เรามานั้นถือว่าเร็วไปนิด จึงไม่ค่อยได้เห็นต้นไม้ที่กำลังผลัดใบมากนัก นอกจากนี้บริเวณรอบๆ ปราสาทยังเป็นที่เดินพักผ่อนหย่อนใจของผู้คนในชุมชนอีกด้วย
Info
Hamamatsu Castle
Location: เมืองฮามามัตสึ (Hamamatsu), จังหวัดชิซูโอกะ
Hours: 8:30-16:30 น.
Holiday: –
Entrance Fee: ผู้ใหญ่ 200 เยน
Nearest Station: สถานีฮามามัตสึ (Hamamatsu Station)
Access: นั่งรถบัสที่ป้ายหมายเลข 1 หรือ 13 จากท่ารถบัสที่สถานีฮามามัตสึไปลงที่ป้าย Shiyakushomae แล้วเดินเท้าต่อประมาณ 6 นาที
Website: www.houkouji.or.jp
2.2 จิบชาเขียวและชมสวนที่คาเฟ่สไตล์ญี่ปุ่น Shouin-tei Castle & Café
ไม่ไกลจากปราสาทฮามามัตสึนัก มีคาเฟ่สไตล์ญี่ปุ่นที่มองออกไปแล้วสามารถเห็นสวนญี่ปุ่นได้ด้วย อีกทั้งคาเฟ่นี้ยังบรรยากาศดีมากๆ เซ็ตชาเขียวพร้อมขนมหวานของร้านนี้ก็ราคาน่าประทับใจมากเช่นกัน ใครเป็นสายชาเขียวญี่ปุ่น อยากหาที่นั่งชิลล์จิบชา กินขนมหวาน พร้อมกับมองวิวแบบสวนสวยสไตล์ญี่ปุ่น ขอแนะนำที่นี่เลย
เดินเข้าไปด้านในคาเฟ่ Shouin-tei Castle & Café นิดเดียวเหมือนหลุดไปอีกโลกหนึ่ง คาเฟ่นี้เปิดมาแล้วกว่า 23 ปี นับว่าไม่ธรรมดาเลย
จุดเด่นของที่นี่ก็คือวิวสวย เซ็ตชาราคาไม่แพง (เซ็ตละ 400 เยน) โดยเสิร์ฟมาพร้อมกับความใส่ใจเล็กๆ น้อยๆ ของทางร้าน เนื่องจากตอนที่เรากินขนมหรือดื่มชาจนหมดแล้ว เราจะพบตัวอักษรอยู่ตรงบริเวณก้นภาชนะ โดยตัวอักษรที่เราเจอตรงก้นถ้วยชาเขียวคือ 寿 (kotobuki) หมายถึง การยินดี, การแสดงความยินดี และตัวอักษรที่อยู่บนจานคือ 福 (Fuku) หมายถึง ความโชคดี ซึ่งเมื่อดื่มชาหรือกินขนมจนหมดแล้วเห็นอักษรเหล่านี้ก็ทำให้ยิ้มแป้นเลยทีเดียว
แต่ละฤดูกาลเมนูขนมหวานจะเปลี่ยนไปตามช่วงเวลานั้นๆ ด้วยนะ เป็นเสน่ห์ที่ทำให้คนมาที่นี่ติดใจ แล้วอยากกลับมาซ้ำทุกเดือนโดยไม่มีเบื่อเลย
Info
Shouin-tei Castle & Café
Location: เมืองฮามามัตสึ (Hamamatsu), จังหวัดชิซูโอกะ
Hours: อ.-อา. 10:00-16:00 น.
Holiday: วันจันทร์
Nearest Station: สถานีฮามามัตสึ (Hamamatsu Station)
Access: นั่งรถบัสที่ป้ายหมายเลข 13 จากท่ารถบัสที่สถานีฮามามัตสึไปลงที่ Hamamatsujo Kouen Iriguchi แล้วเดินต่อไปยังคาเฟ่ หรือนั่งรถบัสที่ป้ายหมายเลข 16 จากท่ารถบัสที่สถานีฮามามัตสึไปลงที่ Shikatani-cho แล้วเดินต่อไปยังคาเฟ่
Website: www.shouintei.jp
2.3 หมู่บ้านแห่งเทพนิยาย Nukumori no Mori เหมือนยกยุโรปมาไว้ที่ญี่ปุ่น
Nukumori no Mori เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่น่าหลงใหล มีกลิ่นอายความเป็นยุโรปที่น่าค้นหา ความหมายของชื่อสถานที่แห่งนี้ก็คือ “ป่าแห่งความอบอุ่น”
หมู่บ้านโนกุโมริโนะโมริก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1983 โดยสถาปนิกชาวญี่ปุ่นซาซากิ ชิเงรุ (Shigeru Sasaki) การตกแต่งของหมู่บ้านแห่งนี้ทำให้เรารู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปสู่โลกแห่งนิทาน ภายในหมู่บ้านมีบรรยากาศและกลิ่นอายของความเป็นยุโรป และมีการจำลองส่วนป่าคล้ายกับในนิทานด้วย ทุกอย่างดูน่ารักปุ๊กปิ๊กไปหมดเลย
หมู่บ้านแห่งนี้มีร้านค้าต่างๆ เปิดให้บริการมากมาย สินค้าที่จำหน่ายมีทั้งเสื้อผ้า งานทำมือ (Handmade) งานเซรามิก นอกจากนี้ยังมีร้านอาหาร คาเฟ่ และแกลเลอรี่ให้เดินชมเยอะเลย
เราไปสะดุดตากับร้านขายเครื่องประดับที่ทำจากหนังเข้า ร้านนี้มีชื่อว่า Little Shine Accessory Shop คุณป้าเจ้าของร้านใจดีมากๆ ไอเท็มที่วางในร้านนั้นลูกสาวของคุณป้าเป็นคนทำเองกับมือทุกชิ้นแล้วจึงนำมาวางจำหน่าย ซึ่งของที่ขายก็ไม่ได้มีแค่ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากหนังอย่างเดียวนะ ต่างหูดีไซน์เก๋ๆ ก็มี จำหน่ายในราคาก็ไม่แพงเกินเอื้อมเลย
อีกร้านจะเป็นร้านจำหน่ายสินค้าจากตุรกีซึ่งเป็นร้านยอดฮิตอีกแห่งของที่นี่ ภายในจะนำสินค้าจากตุรกีมาวางจำหน่าย ซึ่งคนญี่ปุ่นชอบกันมาก สินค้าที่ขายก็จะมีทั้งผ้า โคมไฟ พวงกุญแจต่างๆ รวมถึงสร้อยข้อมือที่ขายดีเป็นอันดับหนึ่ง ไอเท็มน่ารักๆ แบบนี้ถูกจริตสาวญี่ปุ่นมากๆ
ร้านจำหน่ายเครื่องหอม อโรม่า แฮนด์ครีม หรือบาล์มต่างๆ ก็มีด้วยนะ แพ็กเกจของสินค้าแต่ละอย่างก็น่ารักมากๆ ใครที่ชอบอโรม่าออยล์น่าจะชอบร้านนี้เพราะมีหลายกลิ่นให้เลือก แถมยังมีสินค้าที่ผลิตขึ้นตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการโดยเฉพาะด้วย เช่น วันไหนที่เหนื่อยมากๆ หรือแม้แต่วันที่ประจำเดือนมาแล้วต้องการผ่อนคลาย เราก็สามารถใช้อโรม่าผ่อนคลายได้เช่นกัน
บริเวณชั้น 2 ของร้านอโรม่าก็จะเป็นร้านขายสินค้ากระจุกกระจิก มีทั้งงานผ้า เซรามิก ฯลฯ แต่ที่เป็นสินค้าขายดีของร้านก็คือนาฬิกาข้อมือดีไซน์แปลกๆ น่ารักๆ มีกลิ่นอายความวินเทจหน่อยๆ
หนึ่งในไฮไลท์ของหมู่บ้านโนกุโมริโนะโมริคือ “คาเฟ่นกฮูก” ที่นี่มีนกฮูกมากมายทั้งตัวเล็กและตัวใหญ่ เพิ่งเคยใกล้ชิด ฮ.นกฮูกตาโตตัวเป็นๆ ก็ครั้งนี้ล่ะ น้องๆ แต่ละตัวตาคม กลมโตมากจริงๆ นอกจากนี้ยังมีหนูตัวเล็กๆ และเม่นขี้อายอีกด้วยนะ ใครชอบคาเฟ่นกฮูกจะต้องเพลิดเพลินอย่างแน่นอน ค่าเข้าชมคนละ 1,000 เยน
สถานที่อีกแห่งที่ห้ามพลาดเลยก็คือ บ้านหลังใหญ่ที่สุดในหมู่บ้านซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนมาเป็นร้านอาหารแล้ว แต่เดิมบ้านหลังนี้เป็นที่อยู่อาศัยของสถาปนิกผู้สร้างหมู่บ้านแห่งนี้ขึ้นมา ภายในมีการตกแต่งอย่างสวยงาม โดยดีไซน์ให้เหมือนบ้านในนิยาย
ภายในบ้านจะเต็มไปด้วยห้องเล็กห้องน้อย มีการทำผนังให้เหมือนไม้ ซึ่งจริงๆ แล้วทำจากปูน อีกทั้งยังมีการใส่รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เช่น นำหินรูปหัวใจไปติดไว้ที่พื้นของห้องเป็นการเพิ่มกิมมิกความน่ารักลงไป ทำให้บ้านหลังนี้มีเสน่ห์และน่าค้นหา นอกจากนี้ยังมีการเจาะช่องหลังคาโปร่งเพื่อให้แสงส่องเข้ามาในตัวบ้านได้ รวมถึงมีโคมไฟประดับน่ารักๆ สไตล์ยุโรป ในส่วนของระเบียงบ้านก็สามารถมองออกไปข้างนอกและเห็นทุกซอกทุกมุมของอาณาบริเวณรอบๆ บ้านได้
ก่อนไปอย่าลืมแวะร้านของฝากกันด้วยนะ ของฝากที่นี่จะเป็นคุกกี้ลวดลายน่ารักสไตล์เดียวกับบ้านเลย ส่วนใครที่ชื่นชอบงานอาร์ต งานปั้น งานเซรามิก คุณมาถูกที่แล้วค่ะ! เพราะที่นี่มีสินค้างานคราฟต์สวยๆ ที่ทำให้คนใจอ่อนอย่างเราไม่สามารถเคลื่อนตัวออกมาจากร้านได้เลย เพราะของแต่ละอย่างนั้นสวยงามจริงๆ ชวนให้อยากซื้อไปเสียทุกชิ้นที่วางโชว์ไว้ ใจบางมากๆ เลย
ตบท้ายกันด้วยไอศกรีมเจลาโต้แสนอร่อย ที่นี่มีไอศกรีมเจลาโต้จำหน่ายหลากหลายรสชาติจนแทบเลือกกันไม่ถูกเลย ใครเป็นสายของหวานต้องแวะมาจัดกันให้ได้นะ
หมู่บ้านโนกุโมริโนะโมรินี้สวยสมกับความเป็นเมืองแห่งเทพนิยายจริงๆ ใครที่ชอบความมุ้งมิ้ง ชอบถ่ายรูป ที่นี่น่าจะตอบโจทย์และถูกจริตแน่นอน ถ้าใครได้มาเที่ยวเมืองฮามามัตสึก็อย่าลืมแวะมาหมู่บ้านนี้นะ มันน่ารักมากจริงๆ
Info
Nukumori no Mori
Location: เมืองฮามามัตสึ (Hamamatsu), จังหวัดชิซูโอกะ
Hours: ศ.-พ. 10:30-18:30 น.
Holiday: วันพฤหัสบดี
Entrance Fee: 300 เยน
Nearest Station: สถานีฮามามัตสึ (Hamamatsu Station)
Access: จากสถานีรถไฟฮามามัตสึ ให้ไปที่ทางออกฝั่ง North แล้วขึ้นรถบัส Entetsu Bus ที่ป้ายหมายเลข 1 จากนั้นให้ขึ้นรถบัสสายที่มุ่งหน้าไปยัง Kanzanji Onsen (舘山寺温泉行) ใช้เวลาประมาณ 40 นาที แล้วลงรถบัสที่ป้าย Sujikaibashi (すじかいばし) แล้วเดินเท้าต่ออีก 5 นาที
Website: www.nukumori.jp
2.4 มาเยือนแหล่งปลาไหลทั้งที ต้องแวะชิมข้าวหน้าปลาไหลที่ Unagi Hamanoki Restaurant
Unagi Hamanoki Restaurant (うなぎ食事処 浜乃木) เป็นร้านอาหารที่อยู่บนชั้น 2 ของท่าเรือคันซันจิ (Kanzanji Port) ร้านอาหารนี้มีทั้งโซนนั่งแบบญี่ปุ่นและโซนโต๊ะแบบตะวันตก เมนูเด็ดของทางร้านคือ ข้าวหน้าปลาไหล (Unadon) เพราะเมืองนี้ขึ้นชื่อเรื่องปลาไหลนั่นเอง ส่วนบริเวณที่ชาวเมืองนิยมเลี้ยงปลาไหลกันก็คือทะเลสาบฮามานะ มาถึงแหล่งปลาไหลแล้วจะพลาดได้ยังไง! ต้องลองไปชิมของดีเมืองฮามามัตสึอย่างปลาไหลกันให้ได้เลย
เมนูจะเป็นภาษาอังกฤษ แต่ไม่ต้องกังวลนะ เพราะมีภาพประกอบให้ด้วย เห็นเมนูไหนน่าอร่อยก็จิ้มสั่งได้เลย ซึ่งข้าวหน้าปลาไหลจะมีทั้งเซ็ตใหญ่และเซ็ตเล็กตามความต้องการ
วันนี้เราได้ลองกินข้าวหน้าปลาไหลโอชาสึเกะ (Unadon Ochazuke) เป็นเซ็ตข้าวหน้าปลาไหลที่เสิร์ฟมาพร้อมกับน้ำชา แต่น้ำชาที่ว่านี้ไม่ใช่เครื่องดื่มนะ มันเป็นซุปที่ใช้เทลงบนข้าวนั่นเอง ลักษณะจะคล้ายกับข้าวต้ม กินช่วงอากาศหนาวจะคล่องคอมาก ด้วยกลิ่นหอมของปลาไหลที่ย่างมาร้อนๆ กับซุปชาแสนละมุน การกินข้าวหน้าปลาไหลจึงอร่อยยิ่งขึ้นเป็นทวีคูณ ส่วนราคาของข้าวหน้าปลาไหลเซ็ตนี้อยู่ที่ 1,595 เยน
แอบถ่ายเมนูของเพื่อนข้างเคียงมาด้วย Unaju เมนูปลาไหลเน้นๆ เหมาะสำหรับคนที่ชื่นชอบปลาไหลเป็นชีวิต อีกทั้งเมนูนี้ยังเสิร์ฟมาในกล่องข้าวลวดลายสวยงาม สมกับเป็นงานระดับพรีเมียม มีผักดองและซุปใสมาให้พร้อมในเซ็ต เห็นเนื้อปลาไหลที่ย่างมาแล้วบอกได้เลยว่าอลังการดาวล้านดวง เซ็ตนี้ราคา 4,180 เยน
และอีกเมนูที่จะมีจำหน่ายตั้งแต่เดือนธันวาคมปี ค.ศ. 2020 เป็นต้นไปก็คือ “ข้าวมันหอยนางรม” หรือในชื่อภาษาญี่ปุ่นว่า คากิคาบะด้ง (Kakikabadon : かきカバ丼) เมนูนี้เป็นเมนูฮอตฮิตที่เป็นแรร์ไอเท็มประจำร้าน ถ้ามีโอกาสได้มาเยือนฮามามัตสึอีก เราก็หวังว่าจะได้ลองเมนูข้าวมันหอยนางรม อยากรู้มากๆ เลยว่าจะอร่อยสมคำร่ำลือไหม เมนูนี้สนนราคาที่ 1,760 เยน
Info
Unagi Hamanoki Restaurant
Location: เมืองฮามามัตสึ (Hamamatsu), จังหวัดชิซูโอกะ
Hours: พ.-จ. 11:00-16:00 น.
Holiday: วันอังคาร
Access: นั่งรถบัสสาย Tokaido Main Line จากสถานีฮามามัตสึ ใช้เวลา 45 นาที หรือ นั่งรถบัสสาย Kanzanji Onsen Line ลงที่ป้าย Kanzanji Onsen และเดินไปทางทิศเหนือบนถนน Monzen ใช้เวลา 5 นาที
Website: www.hamanoki.com
2.5 ล่องเรือ Pleasure Boat ให้อาหารนก และชมวิวทะเลสาบฮามานะที่ท่าเรือ Kanzanji Port
ทะเลสาบฮามานะ (浜名湖) นั้นเคยเป็นทะเลสาบน้ำจืดมาก่อน ย้อนกลับไปเมื่อปี ค.ศ. 1498 มีแผ่นดินไหวครั้งใหญ่เกิดขึ้น เกิดการแยกตัวของแผ่นดิน ทำให้ทะเลสาบฮามานะและมหาสมุทรแปซิฟิกมาเชื่อมต่อกัน เกิดเป็นทะเลสาบน้ำกร่อยในปัจจุบัน
สภาพแวดล้อมเช่นนี้ของทะเลสาบนั่นเองที่ทำให้เมืองฮามามัตสึขึ้นชื่อเรื่องปลาไหลและปลาปักเป้า ชาวเมืองจะเลี้ยงปลาไหลและปลาปักเป้ากันที่ทะเลสาบแห่งนี้ และบริเวณรอบๆ ทะเลสาบก็มีแหล่งท่องเที่ยวมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Hamanako PalPal Amusement Park, Kanzanji Onsen และ Hamanako Orgel Museum (พิพิธภัณฑ์กล่องดนตรี) ที่ต้องขึ้นเคเบิลคาร์ไปชมด้านบนด้วยความสูง 723 เมตร และที่นี่นับว่าเป็นเคเบิลคาร์แห่งเดียวของญี่ปุ่นที่ข้ามทะเลสาบ
วันนี้เราไม่ได้ขึ้นเคเบิลคาร์ แต่เราจะนั่งเรือล่องทะเลสาบชมวิว โดยเราขึ้นเรือที่มีชื่อว่า Kanzanji Port, Lake Hamana Pleasure Cruise ซึ่งขึ้นที่ท่าเรือคันซันจิใช้เวลาในการล่องเรือทั้งหมด 30 นาที
ความสนุกของการโดยสารเรือล่องทะเลสาบก็คือ เราจะได้ให้อาหารนกไปด้วย สามารถซื้อข้าวเกรียบเพื่อให้อาหารนกได้ในราคา 100 เยน เมื่อเรือเริ่มเข้าสู่กลางทะเลสาบ เราจะเห็นฝูงนกบินวนไปมารอรับอาหารกัน นกที่นี่ไม่โหด ไม่ดุ และไม่จิกเลย ออกจะเรียบร้อยเสียด้วยซ้ำ บางทีไม่มีคนให้อาหารแล้วนกก็ยังมายืนเรียงแถวตรงระเบียงเรืออยู่ดี น่ารักมาก
นอกจากนี้ เรายังได้ชมวิวของเคเบิลคาร์ที่มุ่งหน้าไปยังจุดชมวิวบนภูเขา Okusayama ด้วย ก็ถือว่าเป็นการเที่ยวทะเลสาบที่ได้เห็นวิวแบบ 360 และเรายังสามารถมองเห็นทางด่วน Tomei Expressway กับสะพาน Hamanako ที่พาดข้ามผ่านทะเลสาบแห่งนี้อีกด้วย เส้นทางเดินเรือนี้นอกจากจะเหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวแล้ว ยังนิยมในหมู่นักวิ่งหรือนักปั่นจักรยานด้วยล่ะ
Info
Kanzanji Port, Lake Hamana Pleasure Cruise
Location: เมืองฮามามัตสึ (Hamamatsu), จังหวัดชิซูโอกะ
Hours: 9:00-16:00 น.
Holiday: –
Boat Fare: ผู้ใหญ่ 1,000 เยน, เด็ก 500 เยน
Website: www.hamanako-yuransen.com
2.6 ชมเสาโทริอิกลางน้ำ Benten cho Torii, Totoumi Hakkei “Benten-no-Sekisho”
ถ้าเอ่ยถึงเกาะเบ็นเท็นจิมะ (Benten-Jima Island) ก็ต้องนึกถึงเสาโทริอิที่ตั้งอยู่กลางน้ำ (Benten cho Torii) ในทะเลสาบฮามานะ ทะเลสาบแห่งนี้เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงอันเป็นผลกระทบจากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในอดีตที่ทำให้ทะเลสาบน้ำจืดกลายมาเป็นทะเลสาบน้ำกร่อย ซึ่งนี่ก็ทำให้ทะเลสาบฮามานะกลายมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจในหมู่คนญี่ปุ่นด้วยกันเองรวมไปถึงนักท่องเที่ยวที่มาเยือน
วันนี้เราจะพาไปชมบรรยากาศยามบ่าย ณ ริมทะเลสาบกัน ซึ่งวิวที่เป็นไฮไลท์ก็คือเสาโทริอิสีแดงที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่กลางทะเลสาบ บริเวณที่เรามากันนี้มีชื่อเรียกว่า Bentenjima Kaihin Park พื้นที่ตรงนี้เป็นชายหาดและสวนสาธารณะที่นักท่องเที่ยวหรือแม้แต่คนญี่ปุ่นเองก็นิยมมาพักผ่อนหย่อนใจ บ้างก็มานั่งตกปลากันในช่วงฤดูร้อน บริเวณนี้ถือว่าเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจยอดนิยม เพราะมีกิจกรรมทางน้ำต่างๆ ให้ทำมากมาย เช่น ล่องเรือยอร์ช พาราเซล วินเซิร์ฟ เวคบอร์ด และกิจกรรมอื่นๆ
เราเคยถามคนญี่ปุ่นว่าทำไมเสาโทริอิถึงมาตั้งอยู่กลางน้ำ คนญี่ปุ่นบอกว่าไม่รู้! อาจจะทำเพื่อเป็นแลนด์มาร์คก็ได้ล่ะมั้ง ซึ่งถ้าคนญี่ปุ่นไม่รู้แล้วเราจะรอดไหมนะ
เสาโทริอิสีแดงสูง 18 ฟุตต้นนี้มีชื่อว่า Benten cho Torii ตั้งอยู่บริเวณเนินทรายของเกาะเบ็นเท็นจิมะมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1968 แต่ไม่มีศาลเจ้าตั้งอยู่ด้านใน เสาโทริอิต้นนี้ก็เลยไม่เหมือนกับเสาโทริอิต้นอื่นๆ
การชมเสาโทริอิสามารถทำได้ 2 วิธี ดังนี้
- นั่งเรือเพื่อไปชมเสาโทริอิแบบระยะประชิด แต่จะมีบริการเรือเฉพาะในช่วงเดือนเมษายนถึงสิงหาคมเท่านั้น (ค่าเรือ 1,000 เยน)
- ชมเสาโทริอิจากชายฝั่ง วิธีนี้ก็จะเหมือนที่เรามาชมกันนี่ล่ะ นั่งชิลล์ๆ ริมชายฝั่ง ดูน้ำดูฟ้า ดูผู้คนไปเรื่อยๆ ปิดท้ายด้วยรอชมพระอาทิตย์ตก นั่งทำตัวเป็นนางเอกเอ็มวีมุมนี้ก็สวยดีเหมือนกันนะ
Info
Benten cho Torii, Totoumi Hakkei “Benten-no-Sekisho”
Location: เมืองฮามามัตสึ (Hamamatsu), จังหวัดชิซูโอกะ
Hours: 24 ชั่วโมง
Nearest Station: สถานีเบ็นเท็นจิมะ (Bentenjima Station)
Access: นั่งรถไฟไปลงที่สถานี Bentenjima แล้วเดินต่อ 250 เมตร
2.7 แวะชมพิพิธภัณฑ์ Suzuki Museum ต้นกำเนิดรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ในญี่ปุ่น
ฮามามัตสึถือเป็นเมืองต้นกำเนิดรถยนต์ของญี่ปุ่น วันนี้พวกเราได้มีโอกาสไปชมพิพิธภัณฑ์ของ Suzuki ซึ่งเป็นที่ที่รวบรวมรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ที่ผลิตออกมาตั้งแต่ยุคอดีตจนถึงปัจจุบัน มีการแสดงขั้นตอนของการผลิตรถยนต์ ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าสนใจมาก ดังนั้นถ้ามีโอกาสก็อย่าลืมแวะไปชมกันนะ
สามารถชมคลิปได้ที่ www.youtu.be/cAkku3Am5oU
Suzuki มีประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่า 100 ปี บริษัทยานยนต์แห่งนี้ก่อตั้งโดยคุณซึซึกิ มิจิโอะ (Michio Suzuki) ในปี ค.ศ. 1909 แรกเริ่มเดิมที Suzuki ไม่ได้เริ่มต้นจากการผลิตมอเตอร์ไซค์หรือรถยนต์อย่างที่หลายๆ คนเข้าใจ แต่ Suzuki เริ่มต้นธุรกิจจากการทอผ้ามาก่อน โดยมีการผลิตผ้าที่มีลายทั้งแบบแนวตั้งและแนวนอน ซึ่งเป็นแนวคิดในการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อความต้องการของผู้บริโภคและเพื่อให้สอดคล้องกับการใช้งานจริง เราจึงเห็นได้ว่าภายในพิพิธภัณฑ์มีเครื่องทอผ้าหลากหลายรุ่นวางโชว์เอาไว้ให้ชมด้วย
จุดเปลี่ยนของธุรกิจเกิดขึ้นในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อความต้องการผ้าในตลาดลดน้อยลง ทาง Suzuki ก็ได้เริ่มมองหาตลาดใหม่ นั่นก็คือธุรกิจยานยนต์ Suzuki เริ่มผลิตมอเตอร์ไซค์รุ่นแรกที่หน้าตาคล้ายกับจักรยาน แต่ติดเครื่องที่มากับเครื่องยนต์ 36 ซีซีที่มีชื่อรุ่นว่า Power Free มอเตอร์ไซค์รุ่นนี้เปิดตัวในปี ค.ศ. 1952 และขายดิบขายดีจนทำให้ต้องผลิตออกมาจำหน่ายถึง 6,000 คันต่อเดือน และนี่ก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นธุรกิจยานยนต์ของ Suzuki นั่นเอง
ถ้วยรางวัลนี้เป็นของ Rinsaku Yamashita ที่ชนะอันดับ 2 ในการแข่งขัน Mt. Fuji Climbing Race เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม ค.ศ. 1954 เขาได้ใช้มอเตอร์ไซค์ Colleda Co รุ่น 90 ซีซีในการแข่งขันครั้งนี้ นี่จึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นของวิวัฒนาการตลาดมอเตอร์ไซค์ของ Suzuki นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
Diamond free DF เป็นมอเตอร์ไซค์ที่สองพี่น้อง Shoji และ Yuji Takahashi ใช้เดินทางรอบโลกเป็นเวลา 2 ปี มีระยะทางการเดินทางทั้งหมด 47,000 กิโลเมตร พวกเขาได้เริ่มออกเดินทางด้วยมอเตอร์ไซค์รุ่นนี้ในวันที่ 1 มีนาคม ค.ศ. 1956 โดยเดินทางจากท่าเรือโกเบไปยังกรุงเทพฯ และประเทศอื่นๆ อีก 32 ประเทศ รวมถึงปารีสในประเทศฝรั่งเศสด้วย ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าตื่นตาตื่นใจมากๆ ในยุคนั้น
ภายในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้เราจะได้เห็นมอเตอร์ไซค์หลากหลายรุ่น ซึ่งบางรุ่นก็ไม่คุ้นตา มอเตอร์ไซค์ที่ผลิตในยุคแรกๆ จะเล็กและบาง เครื่องยนต์น้อย แต่พอยุคสมัยเปลี่ยนไปก็มีการพัฒนาปรับปรุง จนทำให้มอเตอร์ไซค์มีเครื่องที่ใหญ่ขึ้นหลายร้อยซีซี สำหรับใครที่ชื่นชอบรถแข่ง ที่นี่ก็มีรถแข่งในยุคก่อนๆ ให้ได้ชมกันอีกด้วย
ทางฝั่งรถยนต์ก็มีด้วยนะ ภาพลักษณ์ของรถยนต์ Suzuki ในสมัยก่อนจะเป็นรถยนต์ขนาดเล็ก เป็นที่ชื่นชอบของผู้หญิง แต่ต่อมาก็ได้มีการพัฒนาออกแบบขยายตลาดให้กว้างขึ้น โดยมีทั้งเป็นรถแข่งและรถสำหรับทำกิจกรรม Outdoor เช่น Wagon R ที่สามารถใส่อุปกรณ์กีฬา จักรยาน หรืออุปกรณ์กางเต็นท์ไว้ในรถได้ ทำให้กลุ่มผู้ชายหันมาชื่นชอบรถยนต์ Suzuki กันมากขึ้น
รถยนต์ที่ได้รับการกล่าวขานมากที่สุดอีกรุ่นหนึ่งก็คือ Suzuki Swift รถยนต์ขนาดเล็กกะทัดรัดที่มีการผลิตออกมาหลากหลายรุ่น รถยนต์ Suzuki Swift เริ่มผลิตในปี ค.ศ. 2000 จากที่ขายภายในญี่ปุ่นช่วงแรก ปัจจุบันรถรุ่นนี้ได้กระจายการขายไปทั่วโลก และยังมีโรงงานผลิตอยู่ที่เมืองไทยอีกด้วย
นอกจากนี้ก็ยังมีบูธที่แนะนำประเทศไทยให้คนญี่ปุ่นได้รู้จัก มีการถาม-ตอบความรู้รอบตัวเกี่ยวกับเมืองไทย สำหรับคนญี่ปุ่นที่ชื่นชอบเมืองไทยก็คงจะชอบโซนนี้มากๆ เพราะการตอบคำถามในแต่ละครั้งได้ทำให้รู้สึกภูมิใจ รู้สึกว่าฉันก็เป็นคนหนึ่งที่รู้จักเมืองไทยเป็นอย่างดี สำหรับเราที่เป็นคนไทยพอผ่านไปเห็นก็อดยิ้มไม่ได้ พลางคิดว่าเมืองไทยนี่ล่ะบ้านฉันเอง
บริเวณชั้น 2 ของพิพิธภัณฑ์จะมีโซนที่เรียกว่า Enshu Monozukuri ซึ่งเมืองฮามามัตสึก็อยู่ในพื้นที่ Enshu ด้วยเช่นกัน พื้นที่ Enshu นี้เป็นโซนที่บอกเล่าถึงต้นกำเนิดของสินค้าชื่อดังระดับโลกหลายๆ แบรนด์ รวมถึงสินค้าของประเทศญี่ปุ่นที่สร้างความภาคภูมิใจให้แก่ชาวเมือง ได้แก่ เครื่องดนตรี Yamaha เปียโน Kawai รถยนต์ Toyota รถยนต์ Suzuki และรถยนต์ Honda เรียกได้ว่าเป็นแหล่งรวมเหล่าเทพที่สร้างชื่อเสียงให้แก่ท้องถิ่นและเมืองฮามามัตสึนั่นเอง
ส่วนใครที่เป็นแฟนคลับรถ Suzuki Hustler ก็มีให้ชมด้วยนะ รถ Suzuki Hustler เป็นรุ่นฮอตฮิตของเหล่าวัยรุ่นสาย Outdoor สายเดินป่าตั้งแคมป์ เป็นรุ่นที่กำลังมาแรง มีสีสันสดใส โซนจัดแสดงรถรุ่นนี้จะอยู่บริเวณชั้นล่างของพิพิธภัณฑ์ เราได้เข้าไปชมอย่างใกล้ชิดเลยล่ะ นอกจากนี้เขายังมีราคาของรถบอกไว้ด้วย ราคาจะอยู่ที่คันละ 1,746,000 เยน หรือประมาณ 6 แสนบาทเท่านั้น
การมาเดินที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังเดินในงานมอเตอร์โชว์เลย เพียงแต่ที่นี่จะพิเศษกว่าตรงที่ให้ความรู้ทางประวัติศาสตร์หรือเรื่องราวที่เราไม่เคยทราบมาก่อนด้วย
Info
Suzuki Museum
Location: เมืองฮามามัตสึ (Hamamatsu), จังหวัดชิซูโอกะ
Hours: 9:30-16:30 น.
Holiday: –
Entrance Fee: เข้าชมฟรี (ต้องจองคิวล่วงหน้า)
Nearest Station: สถานีทากาซึกะ (Takatsuka Station)
Access: นั่งรถไฟไปลงที่สถานีทากาซึกะ แล้วเดินต่ออีก 800 เมตรก็จะถึงพิพิธภัณฑ์
Website: www.suzuki-rekishikan.jp/english
จบกันไปแล้วสำหรับทริปเที่ยวเมืองฮามามัตสึแบบรวบรัด 2 วัน 1 คืน ไม่น่าเชื่อเลยว่าเมืองเล็กๆ เมืองนี้จะอัดแน่นไปด้วยสถานที่น่าสนใจหลากหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็นด้านวัฒนธรรม การเที่ยวชมธรรมชาติ พิพิธภัณฑ์ หรืออาหารเลิศรส
ถ้าไม่ได้มาเยือนฮามามัตสึ เราก็คงไม่รู้เลยว่าเมืองนี้มีเสน่ห์และน่าสนใจมากขนาดไหน ดังนั้นถ้าใครมีโอกาสได้มาเที่ยวญี่ปุ่นและอยากสัมผัสบรรยากาศของเมืองรองที่ไม่เคยเป็นสองรองใคร เราขอฝาก “เมืองฮามามัตสึ” ไว้ในอ้อมใจด้วยนะ แล้วทุกคนจะหลงรักเมืองเล็กๆ แห่งนี้อย่างแน่นอน
ที่มา: www.fromjapan.info/th