Shinkansen Green Car : ชินคันเซ็นชั้นนี้ดีกว่าชั้นปกติตรงไหนบ้าง
รถไฟความเร็วสูงชินคันเซ็น (Shinkansen) คือหนึ่งในตัวเลือกชั้นดีของการเดินทางระหว่างเมือง ด้วยความสะดวกรวดเร็ว ราคา ตรงเวลา และขั้นตอนไม่ยุ่งยาก โดยปัจจุบันมีถึง 3 ชั้นที่นั่งให้เลือก ได้แก่
01 Gran Class : ชั้นที่หรูหราที่สุด แพงที่สุด และใหม่ที่สุด (ประจำอยู่ในชินคันเซ็นสายใหม่ๆ ไม่กี่สาย) เปรียบได้กับชั้น First Class ของสายการบิน
02 Green Car : หรูหราและแพงรองลงมา เปรียบได้กับชั้น Business Class ของสายการบิน
03 Ordinary Car : ชั้นปกติทั่วไป อาจเปรียบได้กับชั้น Economy Class ของสายการบิน
บทความนี้เราขอเปรียบเทียบ Shinkansen Green Car กับ Shinkansen Ordinary Car กันก่อน หากอนาคตมีโอกาสได้นั่ง Gran Class จะมารีวิวให้ได้อ่านกันแน่นอน
หากซื้อตั๋ว JR Pass จะสามารถนั่งชินคันเซ็นได้ทุกประเภท ยกเว้นประเภทบริการแบบโนโซมิ (Nozomi) และมิซูโฮะ (Mizuho) ซึ่งเร็วที่สุดในสายที่ให้บริการ โดยทั่วไป JR Pass สำหรับตั๋วแบบ 7 วัน ชั้นหรู (Green Car) จะแพงกว่า ชั้นปกติ (Ordinary Car) ประมาณ 3,000 – 3,200 บาท อยู่ที่ว่าซื้อกับใครและอัตราค่าเงินด้วย ความคุ้มค่าขึ้นอยู่ว่านั่งมากน้อยแค่ไหน จุดนี้อาจแตกต่างกันไปแต่ละคน แต่ในเรื่องคุณภาพที่ได้รับ ชั้น Green Car ดีกว่าชั้นปกติแน่นอน แต่จุดไหนบ้างเราลองมาดูไปพร้อมๆ กัน
เบาะนั่ง
นี่น่าจะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการพิจารณาจ่ายเงินเพิ่มเพื่ออัพเกรดมา Green Car ซึ่งก็ไม่ทำให้ผิดหวังเลย! เบาะนั่งมีขนาดใหญ่กว่าชั้นปกติอย่างเห็นได้ชัด ทั้งความกว้าง ความสูง และที่วางแขน มาพร้อมลวดลายการดีไซน์ที่เรียบหรู โดยเฉพาะชินคันเซ็นรุ่นใหม่ๆ
ใหญ่กว้างขวาง นั่งสบาย
รวมถึง ความนุ่มของตัวเบาะ ใช้วัสดุที่ดีกว่า นั่งแล้วยวบลงไปมากกว่า ซึ่งเพิ่มความผ่อนคลายสบายได้เป็นอย่างดี
นั่งแล้วไม่อยากลุก ขึ้นแล้วไม่อยากลง
ในชินคันเซ็นรุ่นใหม่ๆ ตัวเบาะปรับได้ทั้งเอนหลังและเบาะรองขา เพียงกดปุ่มบริเวณที่วางแขน รวมถึงมีไฟเล็กๆ ให้กดอ่านหนังสือได้
ควบคุมทุกปุ่มได้ตรงข้างที่วางแขน
ไฟอ่านหนังสือ
ที่สำคัญ มีที่ชาร์จแบตด้วยนะครับ ขอแค่มีที่ชาร์จก็เล่นมือถือ พิมพ์งานทำอะไรได้ยาวๆ ไปอย่างไร้กังวล
ชาร์จมือถือ พลางกินไปได้สบาย
คลอบคลุมถึงการชาร์จได้กับอีกหลายอุปกรณ์
นอกจากตัวเบาะนั่งแล้ว ผังที่นั่งยังเป็นแบบ 2×2 ฝั่งละ 2 ที่นั่ง และที่นั่งทั้งหมดมีจำนวนน้อยกว่าชั้นปกติ
ที่นั่งแบบฝั่งละ 2×2
ขณะที่ชั้นปกติ Ordinary เป็นแบบ 3×2
และขณะที่ชั้น Gran Class เป็นแบบ 2×1
นั่นจึงมีพื้นที่มากขึ้น ทั้งพื้นที่ทางเดินหลัก และพื้นที่ระหว่างเบาะที่นั่งข้างหน้าเรา ทำให้นั่งหรือนอน เหยียดขาได้เต็มที่! เป็นความสุขระหว่างทางที่ไม่อยากให้ถึงจุดหมายเลย
กว้างขวาง เหยียดขาได้เต็มที่
ความเป็นส่วนตัวที่มากกว่า
ด้วยราคาที่แพงกว่า จำนวนที่นั่งน้อยกว่าและต้องสำรองที่นั่ง ทำให้ผู้โดยสารไม่เยอะเท่าชั้นปกติ ที่นั่งว่างเหลือเพียบ บรรยากาศในขบวนออกจะเงียบเหงาด้วยซ้ำ
บรรยากาศโล่งๆ
กลุ่มคนที่นั่งชั้น Green Car มักมีแต่นักท่องเที่ยวถือบัตร JR Pass และนักธุรกิจญี่ปุ่น ที่ก็มักนั่งหลับ หรือนั่งพิมพ์งานเงียบๆ กับสภาพแวดล้อมในขบวนคือจัดว่านั่งสมาธิยังได้
ในช่วงวันหยุดยาวของญี่ปุ่น แม้แต่ชินคันเซ็นเองก็คนแน่นมากๆ เช่น ครอบครัวพาเด็กเที่ยว เด็กเล็กร้องไห้เสียงดังวิ่งเล่นกันบ้างตามประสาเด็ก แต่นั่นคือเรื่องที่เกิดกับชั้นปกติ Ordinary
ชั้นปกติบางทีก็แน่นแบบนี้แหล่ะ
แต่สำหรับชั้น Green Car คนก็ยังถือว่าเยอะกว่าปกติอยู่ดี แต่ไม่ได้ถึงกับแน่นแออัด ยังพอมีที่นั่งว่าง และเสียงไม่ดังจนเกินไป ความเป็นส่วนตัวความเงียบสงบยังถือว่าสูง
เงียบสงบ
บริการต้อนรับ
เมื่อคุณขึ้นมานั่งในชั้น Green Car จะมีเจ้าหน้าที่รถไฟเดินมายิ้มแย้มทักทาย พร้อมเสิร์ฟ “ผ้าเย็น” โอชิโบริ (Oshibori) ให้คุณถึงที่นั่งและเป็นผ้าแบบรักษ์โลก cotton 100% รีไซเคิลได้
บริการนี้ช่วยสร้างความประทับใจและผ่อนคลาย เป็นการต้อนรับที่ทำให้ผู้โดยสารรู้สึกถึงความ “พิเศษ” เล็กๆ น้อยๆ อีกทั้งหากใครมือเลอะนิดหน่อย ก็ยังไม่ต้องไปห้องน้ำ สามารถใช้ผ้าเช็ดได้ทันทีและหม่ำข้าวกล่องรถไฟ (Ekiben) ต่อได้เลย
เช็ดมือแล้วหม่ำได้เลย
ที่วางสัมภาระพิเศษ
นอกจากที่วางชั้นระเบียงบนหัวที่นั่งแล้ว ยังมีจัดทำพื้นที่วางสัมภาระเพิ่มเติมด้วยนะครับ ซึ่งออกแบบอย่างดีจัดแบ่งได้เป็นระเบียบเรียบร้อย
ยังมีรายละเอียดปลีกย่อยอื่นๆ อีกมาก อาทิ ประตูห้องทางเข้า Green Car ดูตกแต่งสวยหรูกว่า
ประตูทางเข้าชั้น Green Car มีสัญลักษณ์บอก
พื้นเป็นแบบพรม สัมผัสแล้วนุ่มเท้า ช่วยให้นอนหลับได้สนิทขึ้น ขณะที่ Ordinary เป็นพื้นปกติธรรมดา รวมถึงใต้ที่นั่งของทางเดินหลัก มีการตกแต่งไฟเพื่อความสวยงามเพิ่มเติมด้วย
พื้นพรม พร้อมไฟตกแต่ง
เมื่อผู้โดยสารน้อยกว่า ห้องน้ำก็ว่างมากขึ้น แทบไม่ต้องรอนานๆ เลย รวมถึงเวลายืนรอบนชานชาลาก่อนเข้ารถไฟ ผู้โดยสารก็ไม่พลุกพล่าน ไม่มีแถวคิวยาวๆ
ห้องน้ำแทบจะว่างตลอด
ปวดปุ๊ป เข้าใช้ได้ทันที ออกแบบรองรับผู้พิการ
เมื่อผู้โดยสารน้อย แถวคิวก็ไม่ยาว
หรือแม้กระทั่งการได้พบเจอ บุคคลมีชื่อเสียงทั้งญี่ปุ่นและต่างชาติบนรถไฟ
Green Car คืออีกระดับหนึ่งของการเดินทาง แม้ต้องจ่ายแพงขึ้น แต่แลกมาด้วยคุณภาพต่างๆ ที่ดีขึ้นเช่นกัน ความสะดวกสบายเหล่านี้เชื่อเลยว่าจะเป็นประสบการณ์ที่น่าจดจำสำหรับทริปนั้นของคุณไปอีกนาน