ยังคงเป็นข้อถกเถียงไม่สิ้นสุด ถึงซากหินโบราณลึกลับใต้ท้องทะเลญี่ปุ่น ว่าใครกันแน่เป็นเจ้าของซากหินเหล่านี้ ด้วยขนาดใหญ่มหึมา อาจจะพอเรียกได้ว่า เป็นโบราณสถาน มหาวิหาร หรือ พีระมิด ก็สุดแล้วแต่ หลายทัศนะ หลายความคิดเห็น ว่านี่เป็นฝีมือของมนุษย์ เป็นผลงานอารยธรรมด้วยพลังอันแรงกล้าจากแรงศรัทธา หรือแท้จริงแล้ว ทั้งหมดนี่เป็นเพียงความงดงามแปลกตา ที่ถูกสรรสร้างขึ้นมาโดยธรรมชาติ

 

ขอบคุณภาพจาก https://goo.gl/hqjV3w

 

เรื่องของเรื่อง ต้องขอย้อนไปปี ค.ศ. 1985 เมื่อ คิฮะชิโระ อะระตะเกะ (Kihachiro Arateke) ครูสอนดำน้ำท้องถิ่นและเจ้าของกิจการโรงแรมเล็กๆ บนเกาะโยะนะกุนิ สุดแดนตะวันตกของญี่ปุ่น ใกล้หมู่เกาะริวกิว โอะกินะวะ กำลังมีความคิดที่จะหาแหล่งดำน้ำใหม่ๆ เพื่อต้อนรับฤดูกาลท่องเที่ยวที่ใกล้จะมาถึง บ่ายวันนั้นทะเลสงบ ไร้คลื่น ลึกลงไป 25 เมตรจากผิวน้ำ  อะระตะเกะก็ต้องตกตะลึง กับซากหินปูนหินทรายขนาดใหญ่ยักษ์ เรียงเป็นระดับชั้นลดหลั่นดูคล้ายพีระมิด บางส่วนของชั้นหินรับมุมพอดิบพอดี เหมือนมีใครจงใจมาวางไว้ บางพื้นที่เป็นช่องทางเดิน บันได  บางส่วนมีเส้นขอบ เป็นเส้นตรงชัดเจน ดูสมบูรณ์เกินกว่าธรรมชาติจะสร้างขึ้นได้

เป็นไปตามคาด ไม่นานโยะนะกุนิโบราณสถานใต้ท้องทะเลก็ดังไปทั่วโลก เหล่านักวิชาการ นักวิทยาศาสตร์ นักโบราณคดีจากทั่วโลก ต่างเดินทางมาพิสูจน์ หาข้อสรุปกับเรื่องราว “เมืองใต้น้ำ” ของญี่ปุ่น ที่น่าสนใจคือ ทุกคนต่างมีข้อสรุปตรงกันถึงอายุของชั้นหิน ที่น่าจะอยู่ในช่วงไอซ์เอจตอนปลายยุคน้ำแข็ง หรือเมื่อ 12,000 ปีที่แล้ว !

 

ขอบคุณภาพจาก https://goo.gl/mvcaqL

 

บ้าน่า! นั่นเท่ากับว่าโบราณสถานหินแห่งนี้ เก่าแก่กว่าอารยธรรมมนุษย์ ที่มีจุดเริ่มต้นเมื่อ 6,000 กว่าปีก่อน จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่ โยะนะกุนิ จะถูกสร้างขึ้นด้วยน้ำมือมนุษย์

 

ขอบคุณภาพจาก https://goo.gl/9fa132

 

ถึงอย่างไร ยังมีแนวคิดจากฝั่งที่สนับสนุนการสร้างของมนุษย์ อย่างมะซะอะกิ คิมุระ (Masaaki Kimura) นักธรณีวิทยาท้องทะเล หนึ่งในทีมสำรวจจากมหาวิทยาลัยริวกิว ได้แสดงความคิดเห็นว่า มีโอกาสเป็นไปได้ที่โยะนะกุนิ น่าจะเกิดจากฝีมือมนุษย์ คิมุระให้ความเห็นว่า สถาปัตยกรรมของโบราณสถานใต้ทะเลนี้
มีส่วนคล้ายคลึงและเชื่อมโยงกับบรรดาปราสาทหิน สุสานโบราณ ในแถบละแวกเกาะโยะนะกุนิ และหมู่เกาะใกล้เคียง และเมื่อได้ดำน้ำลงไปสังเกตด้วยตัวเอง ยังพบพื้นที่ที่เขาเชื่อว่าเป็นถนน ทางเดิน ชั้นกำแพง แม้กระทั่งสนามกีฬาขนาดใหญ่ บางจุดยังพบหินแกะสลัก และลวดลายที่ดูคล้ายตัวอักษร

 

ขอบคุณภาพจาก https://goo.gl/yhzTUA

 

ทางด้านฝั่งที่ไม่เห็นด้วยอย่าง โรเบิร์ต ช็อก (Robert Schoch) ศาสตราจารย์สาขาวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ มหาวิทยาลัยบอสตัน ให้ความเห็นแบบกัดจิกหน่อยๆ ไว้ว่า “มันเป็นความรู้ขั้นพื้นฐานด้านธรณีวิทยา วิชาเรื่องการศึกษาระดับชั้นหิน ว่าด้วยเรื่องหินทราย ที่มักจะแตกออกเป็นแผ่นๆ ทำให้เกิดขอบที่เรียบตรง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่เกิดรอยเลื่อนและเกิดธรณีแปรสัณฐานหรือการที่เปลือกโลก เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา” ส่วนเรื่องภาพถ่ายที่นำมาแสดงกัน “ช็อก” ยังบอกว่า ส่วนใหญ่มักเลือกใช้ภาพถ่ายที่ดูเหมือนสิ่งก่อสร้าง ทั้งที่จริงแล้ว ยังมีอีกหลายจุด ที่ดูแล้วก็เป็นเพียงซากหินรูปร่างแปลกตา จากกาลเวลาและการกัดเซาะเท่านั้นเอง

 

ขอบคุณภาพจาก https://goo.gl/yhzTUA

 

ดูแล้วยังคงเป็นเรื่องราวปริศนาที่ต้องถกเถียงกันต่อไป ว่าใครกันแน่เป็นผู้สร้างโบราณสถานใต้ทะเลแห่งนี้ จะเป็นฝีมือมนุษย์หรือธรรมชาติ คงต้องหาข้อมูลศึกษากันต่อไป แต่ที่น่าสังเกตคือ แม้จะโด่งดังมีชื่อเสียงระดับโลก แต่ทางรัฐบาลญี่ปุ่น หรือหน่วยงานภาครัฐท้องถิ่นโอะกินะวะ ก็ไม่ได้ส่งเสริมเป็นแหล่งท่องเที่ยว หรือยกย่องให้เป็นโบราณสถานที่มีความสำคัญแต่อย่างใด

แม้จะยังหาข้อสรุปไม่ได้ แต่ถึงอย่างไร Yonaguni Monument ก็ยังคงเป็นสิ่งมหัศจรรย์ เป็นสถานที่ลึกลับใต้ท้องทะเล ที่มีเสน่ห์น่าค้นหา เฝ้ารอการมาพิสูจน์จากเหล่านักวิทยาศาสตร์ นักโบราณคดี และเหล่านักดำน้ำจากทั่วทุกมุมโลก

 

TAGS

LIKE & SHARE

ชอบเรื่องนี้จนต้องบอกต่อ