Saphir ODORIKO : รถไฟด่วนดีไซน์หรู พร้อมห้องส่วนตัว วิ่งตรงจากโตเกียว สู่คาบสมุทรอิซุ จังหวัดชิซูโอกะ
เที่ยวอิซุ ชิซูโอกะ จากโตเกียวด้วย รถไฟด่วน Saphir ODORIKO 🚄
นอกจากรถไฟคอนเซ็ปต์เก๋อย่าง Joyful Trains แล้ว ทางการรถไฟญี่ปุ่นตะวันออก หรือ East Japan Railway Company (JR-EAST) ยังมีรถไฟท่องเที่ยวที่มอบประสบการณ์แสนพิเศษให้เหล่านักเดินทางอีกหลายขบวน หนึ่งในนั้นที่เราคัดสรรมาแนะนำกันในครั้งนี้มีชื่อว่า ซาฟีร์ โอโดริโกะ (Saphir ODORIKO) เป็นรถไฟด่วนดีไซน์หรูที่แล่นจากใจกลางกรุงโตเกียวสู่คาบสมุทรอิซุ (Izu Peninsula) ในจังหวัดชิซูโอกะ
คาบสมุทรอิซุ เป็นคาบสมุทรขนาดใหญ่ใกล้โตเกียวที่สามารถเที่ยวได้แบบไปเช้าเย็นกลับจากโตเกียวโดยนั่งรถไฟสายอิโต (Ito Line) ซึ่งแล่นเลาะริมอ่าวซางามิ (Sagami Bay) บริเวณนี้เต็มไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวและธรรมชาติที่สวยงามมากมายในทุกฤดูกาล ย้อนไปในสมัยเมจิพื้นที่แถบนี้เคยถูกเรียกว่า แคว้นอิซุ (Izu-no-kuni)
รายละเอียดเกี่ยวกับ Saphir ODORIKO
สำหรับรถไฟ Saphir ODORIKO ไม่เพียงแต่เชื่อมต่อโตเกียวกับคาบสมุทรอิซุให้เดินทางได้อย่างรวดเร็วและสะดวกสบาย แต่ยังมาพร้อมกับดีไซน์อันน่าทึ่งโดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากความสวยงามอันน่าอัศจรรย์ของทะเลและท้องฟ้าของอิซุ เปรียบเสมือนพลอยไพลินซึ่งในภาษาฝรั่งเศสเรียกว่า “Saphir” อันเป็นที่มาของชื่อรถไฟนั่นเอง
โดยปกติแล้ว Saphir ODORIKO จะให้บริการเพียงวันละ 1 รอบไป-กลับ โดยเริ่มจากสถานีโตเกียว (Tokyo Station) ไปสิ้นสุดที่สถานีอิซุคิวชิโมดะ (Izukyu-Shimoda Station) แต่ในวันเสาร์ วันหยุดนักขัตฤกษ์ และวันธรรมดาบางวันอาจมีเที่ยวพิเศษเพิ่มเติม โดยออกรถจากสถานีชินจูกุ (Shinjuku Station) และสิ้นสุดที่สถานีอิซุคิวชิโมดะเช่นกัน แนะนำให้ตรวจสอบตารางการเดินรถที่นี่
ภาพ: East Japan Railway Company
ขบวนรถไฟขนาด 8 ตู้โดยสารของ Saphir ODORIKO เป็นรถไฟชั้นพิเศษ (Green Car) ทั้งหมด พร้อมบริการ WiFi ฟรีให้เชื่อมต่อกับโลกอินเทอร์เน็ตได้ตลอดการเดินทาง รวมถึงมีห้องสุขาขนาดใหญ่ที่ออกแบบให้อำนวยความสะดวกต่อผู้ทุพพลภาพอีกด้วย สำหรับตู้โดยสารที่ 1 เป็นตู้ Premium Green มาพร้อมกับที่นั่งเดี่ยวแสนหรูหราราวกับเครื่องบินระดับเฟิร์สคลาส มีเต้าสำหรับเสียบปลั๊กให้พร้อมใช้ โอบล้อมด้วยหน้าต่างใสบานใหญ่ที่มองเห็นทิวทัศน์ได้เต็มตา เหมาะกับใครที่ตั้งใจจะเดินทางคนเดียว
ภาพ: East Japan Railway Company
ถัดมาตู้โดยสารที่ 2 กับ 3 เป็นหนึ่งในตู้ไฮไลท์ของ Saphir ODORIKO เพราะเป็นตู้โดยสารที่มีห้องส่วนตัว แบ่งออกเป็นห้องสำหรับ 1-4 คนและห้องสำหรับ 1-6 คน เหมาะกับมาเป็นครอบครัวหรือกลุ่มเพื่อน ที่สำคัญยังชมวิวสวยๆ ได้แบบเต็มอิ่ม เพราะโซฟาทั้งหมดหันหน้าออกไปทางหน้าต่าง และมีโต๊ะขนาดใหญ่สำหรับใช้รับประทานอาหารได้แบบสบายๆ
ภาพ: East Japan Railway Company
Cafeteria บนตู้โดยสารที่ 4 เป็นหนึ่งในพื้นที่แสนพิเศษที่ผู้โดยสารจะได้ดื่มด่ำอาหารและขนมหวานรังสรรค์โดยเชฟฮอนดะ ทัตสึยะ (Tetsuya Honda) จากร้าน Ristorante HONDA ที่ได้รับการแนะนำในมิชลินไกด์โตเกียว เช่น สปาเก็ตตีมะเขือเทศอิซุพร้อมน้ำดื่ม (1,250 เยน), เซ็ตทีรามิสุพร้อมน้ำอัดลม (1,200 เยน) แต่ต้องระวังว่าเมนูมีจำนวนจำกัด แนะนำให้จองล่วงหน้าผ่านระบบ SAPHIR Pay (รองรับเฉพาะสมาร์ทโฟน)
ภาพ: East Japan Railway Company
ตู้โดยสารที่ 5-8 ก็ยังคงเป็นตู้โดยสารพิเศษที่มีความหรูหรากว่ารถไฟทั่วไป โดยมีด้านหนึ่งเป็นที่นั่งคู่และอีกด้านหนึ่งเป็นที่นั่งเดี่ยว ผู้โดยสารสามารถเอนเบาะและปรับที่พักขาขึ้นมาเพิ่มความสบายได้ รวมถึงมีเต้าเสียบปลั๊กส่วนตัว ไม่ว่าจะนั่งตรงไหนก็สามารถชมทิวทัศน์ของอ่าวซางามิได้อย่างเต็มตา บริเวณจุดเชื่อมต่อแต่ละขบวนจะมีชั้นสำหรับวางกระเป๋าสัมภาระ สามารถตรวจสอบค่าโดยสารเพิ่มเติมในทุกตู้โดยสารได้ที่นี่
การจองตั๋วรถไฟ Saphir ODORIKO ทำได้หลายวิธี หากต้องการจองตั้งแต่ยังอยู่ที่ไทยสามารถจองผ่านเว็บไซต์ JR-EAST Train Reservation (เฉพาะตู้โดยสารที่ 1, 5-8) หรือถ้าตัวไปถึงญี่ปุ่นแล้วสามารถซื้อตั๋วได้ที่ตู้จำหน่ายตั๋วแบบระบุที่นั่ง หรือที่เคาน์เตอร์จำหน่ายตั๋วรถไฟของ JR (Midori-no-madoguchi) ที่นั่งทั้งหมดของรถไฟขบวนนี้เป็นชั้นพิเศษ ดังนั้นในการโดยสารจะต้องซื้อตั๋วโดยสารและตั๋วสำหรับชั้นพิเศษ แต่หากมี JR EAST PASS หรือ JR TOKYO Wide Pass จะสามารถใช้แทนในส่วนของตั๋วโดยสารได้ แต่จะต้องจ่ายในส่วนของตั๋วสำหรับชั้นพิเศษเช่นเดียวกัน
สถานที่ท่องเที่ยวที่ไปได้ด้วย Saphir ODORIKO
ภาพ: East Japan Railway Company
จากสถานีโตเกียวไปยังสถานีอิซุคิวชิโมดะจะแวะจอดทั้งหมด 10 สถานี ใช้เวลาเดินทางรวมประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง โดยประมาณ 1 ชั่วโมงสุดท้ายรถไฟจะแล่นเข้าสู่คาบสมุทรอิซุฝั่งตะวันออกโดยเคลื่อนตัวใกล้ทะเล ระหว่างที่นั่งจึงได้ชมวิวอ่าวซางามิอย่างจุใจ เราจึงอยากแนะนำ 6 สถานีรถไฟบนคาบสมุทรอิซุที่สามารถเดินทางด้วย Saphir ODORIKO พร้อมแนะนำจุดน่าสนใจใกล้เคียงให้ตามไปเที่ยวกัน
01 สถานีอาตามิ (Atami Station)
สถานีแรกบนคาบสมุทรอิซุที่ Saphir ODORIKO ไปถึงคือ สถานีอาตามิ ตั้งอยู่ในเขตเมืองอาตามิ (Atami) ที่ถือว่าเป็นจุดท่องเที่ยวยอดนิยมของจังหวัดชิซูโอกะ เปรียบเสมือนประตูบานแรกสู่คาบสมุทรอิซุ พื้นที่นี้เต็มไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย ไม่ว่าจะเป็นชายหาดอันสวยงาม บ่อออนเซ็นคุณภาพ แหล่งช็อปปิ้ง ฯลฯ อาจเรียกได้ว่าเป็นเมืองรีสอร์ทที่อยู่ใกล้โตเกียวที่สุด
ไม่ไกลจากสถานีเป็นที่ตั้งของย่านการค้าอาตามิกินซ่า (Atami Ginza Shopping District) ซึ่งเต็มไปด้วยร้านเก่าแก่ที่มีกลิ่นอายสมัยโชวะ ในขณะเดียวกันก็มีคาเฟ่และร้านอาหารสวยๆ ที่ตระเวนเก็บภาพสวยๆ กิน และอิ่มเอมกับบรรยากาศที่ชวนให้นึกถึงช่วงเวลาเก่าๆ หากค้างคืนละแวกนี้ยังจะได้พบกับทิวทัศน์แสงไฟยามค่ำคืนที่สวยงาม หรือถ้ามาช่วงหน้าร้อนจะได้ชมดอกไม้ไฟสุดตระการตาอีกด้วย
02 สถานีอิโต (Ito Station)
สถานีอิโต เรียกได้ว่าเป็นจุดเชื่อมต่อสำคัญของเมืองอิโต (Ito) เมืองท่องเที่ยวยอดนิยมบนคาบสมุทรอิซุ ที่นี่มีชื่อเสียงเรื่องดอกไม้ ทะเล และแหล่งน้ำพุร้อนธรรมชาติ ทำให้บริเวณใกล้ๆ สถานีจึงมีร้านค้า ร้านอาหาร และโรงแรมครบครันตามสไตล์หัวเมือง ในขณะเดียวกันก็อยู่ไม่ไกลจากทะเลจึงได้ฟีลเมืองตากอากาศ เหมาะกับคนที่อยากเที่ยวโซนต่างจังหวัดแต่ยังต้องการเข้าถึงร้านสะดวกซื้อหรือแหล่งช็อปปิ้งได้ทันใจ
หากมาเที่ยวในช่วงปลายกรกฎาคมถึงปลายสิงหาคมของทุกปีซึ่งตรงกับช่วงฤดูร้อนของญี่ปุ่น ณ บริเวณชายฝั่งทะเลของเมืองอิโตจะมีการจัดเทศกาลดอกไม้ไฟทะเลอิโตออนเซ็น (Ito Onsen Sea Fireworks Festival) โดยตั้งแต่เวลา 2 ทุ่มครึ่งเป็นต้นไปจะพบกับการจุดดอกไม้ไฟอย่างยิ่งใหญ่อลังการเหนือท้องทะเล อย่างปีก่อนๆ มีการจุดดอกไม้ไฟมากถึง 10,000 ลูกเลยด้วย
03 สถานีอิซุโคเก็น (Izu-Kogen Station)
ชื่อของสถานีอิซุโคเก็น หมายถึง ที่ราบสูงอิซุ (Izu Highland) หนึ่งในโซนธรรมชาติที่เต็มไปด้วยบ้านพักตากอากาศและลานตั้งแคมป์ และมีจุดเช็คอินเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นภูเขาโอมุโระ (Mt. Omuro) ชายฝั่งโจกาซากิ (Jogasaki Coast) หอประภาคารคาโดวากิ (Kadowaki Light House) สวนสัตว์อิซุชาโบเท็น (Izu Shaboten Zoo) ฯลฯ คนญี่ปุ่นนิยมมาเดินป่า ปิกนิก รวมถึงดำน้ำ เรียกได้ว่าเป็นย่านพักตากอากาศที่สมบูรณ์แบบมาก
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า หนูยักษ์คาปิบาร่าที่สวนสัตว์อิซุชาโบเท็นคือความน่ารักที่ดึงดูดผู้คนจากทั่วทุกมุมโลกให้มาเยือนคาบสมุทรอิซุ เห็นว่าคาปิบาร่าอาศัยอยู่ที่นี่มากว่า 40 ปีแล้ว หากมาเที่ยวช่วงกลางเดือนธันวาคมถึงต้นมกราคมจะได้ชมเหล่าคาปิบาร่าแช่ออนเซ็นที่ลอยผลยูซุอย่างสบายใจเฉิบท่ามกลางอากาศเย็นๆ
04 สถานีอิซุอาตางาวะ (Izu-Atagawa Station)
ทันทีที่เดินออกจากสถานีอิซุอาตางาวะก็จะพบกับเรียวกังและโรงแรมมากมายพร้อมไอควันที่บ่งบอกว่าย่านนี้คือแหล่งน้ำพุร้อนธรรมชาติ หากวาดฝันจะใช้วันหยุดไปกับการแช่ออนเซ็นดีๆ พลางชมทิวทัศน์ของทะเลที่นี่ถือว่าตอบโจทย์มาก อีกทั้งถ้ามาเที่ยวในช่วงฤดูใบไม้ผลิที่ซากุระผลิบานพร้อมอากาศเย็นๆ จะยิ่งรู้สึกผ่อนคลายเป็นทวีคูณ
นอกจากการแช่ออนเซ็นหรือชมซากุระแล้ว อย่าลืมแวะไปสักการะเทพีเบ็นไซเต็งที่มีชื่อว่า Oyukake Benzaiten หนึ่งในเทพแห่งโชคลาภที่ชาวบ้านให้ความเคารพนับถือ ว่ากันว่าหากนำเงินไปล้างน้ำร้อนที่ไหลมาจากคานใกล้ๆ จะทำให้ดวงโชคลาภดีขึ้นอีกด้วย ที่นี่เดินจากสถานีแค่ 2 นาทีเท่านั้น
05 สถานีอิซุอินาโตริ (Izu-Inatori Station)
สถานีอิซุอินาโตริตั้งอยู่ในย่านอินาโตริ (Inatori) ซึ่งเต็มไปด้วยไร่ผลไม้และบรรยากาศของหมู่บ้านชายทะเลที่ในอดีตเคยเป็นเมืองท่าอันมั่งคั่ง อีกทั้งเป็นแหล่งประมงปลาคินเมไดขึ้นชื่อ บริเวณริมทะเลมีโรงแรมหรูที่สามารถแช่ออนเซ็นพร้อมกับชมวิวทะเลสวยๆ ได้ เหมาะสำหรับคนที่อยากปล่อยใจพักผ่อนไปอย่างช้าๆ ในพื้นที่เงียบสงบ
เดินจากสถานีราว 10 นาทีจะพบกับศาลเจ้าซุซาโนโอะ (Susanoo Shrine) ที่มีการตกแต่งขั้นบันไดสูงชันกว่า 118 ขั้นด้วยตุ๊กตาฮินะและเครื่องประดับห้อยย้อยที่สวยงามและน่าตื่นตา จนได้รับเลือกให้เป็น 1 ใน 3 เครื่องประดับห้อยย้อยที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น สามารถชมได้ในช่วงปลายกุมภาพันธ์ถึงต้นมีนาคม และอีกหนึ่งกิจกรรมยอดฮิตนั่นการเก็บส้มสดจากไร่ ซึ่งมีให้เก็บตั้งแต่เดือนตุลาคมถึงพฤษภาคม สามารถนั่งแท็กซี่จากสถานีไปถึงที่ไร่ได้ใน 5 นาที
06 สถานีคาวาสึ (Kawazu Station)
ถ้ากำลังหาจุดชมซากุระที่ถ่ายรูปออกมาสวยจับใจ แนะนำให้มาลงที่สถานีคาวาสึในช่วงตั้งแต่กลางเดือนกุมภาพันธ์ เพราะใกล้ๆ นี้เป็นจุดชมดอกคาวาสึซากุระ (Kawazu-zakura) ซากุระสายพันธุ์บานไวที่มีชื่อเสียงมากและถูกค้นพบที่บริเวณนี้เป็นที่แรกในญี่ปุ่น
ในช่วงเทศกาลคาวาสึซากุระจะพบกับต้นคาวาสึซากุระบานสะพรั่งเรียงรายริมแม่น้ำคาวาสึกว่า 850 ต้น ซึ่งหากนับรวมต้นซากุระทั้งหมดในโซนนี้จะมีจำนวนมากถึงราว 8,000 ต้นเลยทีเดียว อีกทั้งยังมีทุ่งดอกคาโนล่าสีเหลืองเสริมทัพความสดใส มีร้านค้ามาตั้งในละแวกใกล้เคียง ตกกลางคืนยังมีจัดแสงไฟให้ชมบรรยากาศของซากุระยามค่ำคืนอันโรแมนติกอีกด้วย
07 สถานีอิซุคิวชิโมดะ (Izukyu-Shimoda Station)
มาถึงสถานีสุดสายที่ Saphir ODORIKO ให้บริการแล้วกับสถานีอิซุคิวชิโมดะ ที่นี่เป็นสถานีรถไฟที่อยู่ตอนใต้สุดของคาบสมุทรอิซุ ซึ่งอยู่ในเขตเมืองชิโมดะ (Shimoda) บริเวณริมทะเลมีสิ่งสวยงามน่าเช็คอินเป็นจำนวนมาก สามารถต่อรถกระเช้าขึ้นไปที่จุดชมวิวบนภูเขา หรือเดินสำรวจอาคารย้อนยุคตามตรอกซอกซอยที่ดูมีเสน่ห์ก็สนุกไม่แพ้กัน กิจกรรมที่ได้รับความนิยม เช่น เล่นน้ำทะเล สำรวจถ้ำ ตระเวนกินร้านดังประจำถิ่น ฯลฯ
สถานที่ที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาเที่ยวเมืองชิโมดะก็ต้อง พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำกลางทะเลชิโมดะ (Shimoda Floating Aquarium) ที่นี่เป็นพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำทรงกลมที่ลอยตัวอยู่กลางทะเลโดยใช้พื้นที่ของเวิ้งทะเล โชว์โลมาของที่นี่มีชื่อเสียงมากเพราะจะได้เห็นโลมาในระยะประชิดและแหวกว่ายอยู่ในน้ำทะเลจริงๆ
ภาพ: East Japan Railway Company
อ่านมาถึงตรงนี้ทุกคนคงจะรู้สึกใกล้ชิดกับคาบสมุทรอิซุมากขึ้น ถ้าเริ่มอยากไปเที่ยวอิซุ อย่าลืมหาโอกาสเดินทางด้วย รถไฟด่วน Saphir ODORIKO ให้ได้สักครั้ง เพราะนอกจากจะตรงยาวจากโตเกียวไปถึงใต้สุดของคาบสมุทรอิซุโดยไม่ต้องเปลี่ยนขบวนแล้ว ยังมอบประสบการณ์การนั่งรถไฟหรูที่ไม่เหมือนขบวนใดในโลกอีกด้วย รับรองว่าทริปเที่ยวอิซุจะยิ่งน่าประทับใจขึ้นอีกเป็นกอง