ยากินิกุในบรรยากาศญี่ปุ่นยุคเก่าที่ Yakiniku Joeng

Yakiniku Joeng ร้านปิ้งย่างสไตล์ญี่ปุ่นในซอยธนิยะ ที่โดดเด่นด้วยเนื้อคุณภาพดีหลากหลายชนิดให้เลือกสั่ง อิ่มอร่อยในบรรยากาศสไตล์ญี่ปุ่นยุคเก่า พร้อมที่นั่งรับรองหลายสไตล์ทั้งโต๊ะเดี่ยว และห้องส่วนตัว

“ย่านธนิยะ” อีกหนึ่งแหล่งรวมร้านอาหารญี่ปุ่นหลากประเภทไม่ว่าจะเดินไปมุมไหนต้องเจอร้านอาหารญี่ปุ่นสักร้าน รวมถึงร้านปิ้งย่างสไตล์ญี่ปุ่นหรือที่เรารู้จักกันในชื่อ “ยากินิกุ” ด้วย ก่อนจะเข้าไปดูในร้านเราขอเวลาสักนิดมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับยากินิกุกันสักหน่อย หลายคนอาจเคยได้ยินมาบ้างแล้วแต่หลายคนคงยังสงสัยอยู่ 

ยากินิกุ (Yakiniku) คือ การกินปิ้งย่างแบบญี่ปุ่น ซึ่งร้านจะเสิร์ฟเนื้อวัวเป็นหลักแต่ก็จะมีเนื้อสัตว์อื่นๆ ด้วยจัดเตรียมไว้สำหรับคนที่ไม่รับประทานเนื้อ ส่วนใหญ่แล้วจะนิยมปิ้งย่างบนตะแกรงที่ได้ความร้อนจากเตาถ่านโดยตรง มีทั้งเตาแบบหลุมหรือไม่ก็เตาตั้งโต๊ะทรงสูง ร้านยากินิกุถือว่าเป็นที่ชื่นชอบของคนญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก และเมื่อวัฒนธรรมการกินยากินิกุเผยแพร่เข้ามาในประเทศไทย คนไทยที่ชื่นชอบอาหารญี่ปุ่นอยู่แล้วยิ่งเทใจทั้งดวง แถมยังเป็นร้านที่อยู่ในโอกาสพิเศษของใครหลายๆ คนอีกด้วย  

อย่างร้านนี้มีพื้นที่ทั้งหมด 2 ชั้น มีทั้งโต๊ะเดี่ยวและห้องส่วนตัว แบ่งสัดส่วนชัดเจน เฟอร์นิเจอร์และการตกแต่งส่วนใหญ่ใช้ไม้เป็นองค์ประกอบหลัก จึงให้ความรู้สึกอบอุ่น ผ่อนคลาย คล้ายนั่งกินอาหารอยู่ที่บ้าน เป็นเหตุผลหนึ่งที่ลูกค้าประจำหลายคนติดใจและกลับมาซ้ำอยู่ตลอด อีกหนึ่งความโดดเด่นของร้านที่ทำให้สังเกตเห็นง่ายคือหน้าร้านจะตกแต่งด้วยผนังไม้สีน้ำตาล ล้อมกรอบบานกระจกใสด้วยซี่ไม้ไล่ระดับสลับสูงต่ำ พร้อมป้ายชื่อร้านตัวโตที่ประดับอยู่ด้านบน เมื่อเห็นแล้วเลี้ยวเข้าร้านได้เลย

บรรยากาศในห้องส่วนตัวบริเวณชั้นล่าง

บรรยากาศโต๊ะเดี่ยวบริเวณชั้นบน

บรรยากาศห้องส่วนตัวบริเวณชั้นบน

คุณโจ-เจ้าของร้าน เล่าว่าลูกค้าส่วนใหญ่ของที่นี่เป็นคนญี่ปุ่น ทั้งขาจรและขาประจำ บ้างกลับไปที่ญี่ปุ่นแล้วกลับมาเที่ยวประเทศไทยอีกครั้งก็ต้องแวะมารับประทาน ด้วยความอร่อยที่ส่งต่อกันแบบปากต่อปากทำให้การันตีความอร่อยและรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์แบบญี่ปุ่นได้เฉียบขาด เรียกว่าได้รสชาติแบบญี่ปุ่นขนานแท้ รักษามาตรฐานของร้านตั้งแต่เริ่มแรกจนถึงตอนนี้ได้อย่างมั่นคง ทั้งยังเพิ่มความใส่ใจและพิถีพิถันในวัตถุดิบที่ผ่านการคัดสรรมาอย่างดีที่สุด

อย่างเนื้อที่เราอยากแนะนำในวันนี้ถ้าอยากลองความนุ่มละมุนลิ้น และได้ความรู้สึกละลายในปากยังไงก็ต้องสั่ง กับจานแรกกับ Jyo Karubi เนื้อซี่โครงสันในลายสวย ไขมันที่แทรกระหว่างเนื้อเว้นระยะสวยงาม  ถือเป็นเนื้อยอดฮิตในหมู่คนญี่ปุ่น เคล็ดลับความอร่อยคือไม่ควรย่างนานเพราะจะทำให้เนื้อแข็งและเหนียว หมดความอร่อย ต่อกับ Jyo Harami เนื้อส่วนท้องที่ได้ชื่อเรื่องความชุ่มฉ่ำ ส่วนนี้ไขมันจะน้อยกว่า Jyo Karubi เหมาะสำหรับคนที่อยากกินปิ้งย่างและดูแลสุขภาพไปพร้อมกัน

Jyo Karubi (420 บาท)

Jyo Harami (350 บาท)

จานต่อไปคือ Toro Karubi เนื้อซี่โครงสันกลางในบริเวณท้อง เนื้อสีแดงเข้มตัดกับชั้นไขมันสีขาวอย่างสวยงาม ต่อกับ Jyo Shio Harami เนื้อส่วนท้องหรือฮารามิเกลือหั่นเต๋าสวยงามโรยเกลือมานิดหน่อยพอเพิ่มรสชาติ 

Toro Karubi (330 บาท)

Jyo Shio Harami (350 บาท)

ต่อกับ Tokujyo Karubi เนื้อสันหลังวากิวสีชมพูสวย อีกหนึ่งเมนูโปรดปรานของหลายๆ คน ด้วยความนุ่มของเนื้อที่นุ่มลิ้น ย่างให้สุกกำลังดีก็พร้อมละลายในปากแน่นอน สุดท้ายคือ Wagyu Sirloin เนื้อวากิวสันนอกชิ้นโตลายสวย ไขมันแทรกกำลังดีเชียวล่ะ 

Tokujyo Karubi (590 บาท)

Wagyu Sirloin (1,200 บาท)

แอบกระซิบบอกเคล็ดลับความอร่อยอีกนิดหน่อย เวลาที่ทุกคนสั่งเนื้อให้สั่งมาแบบพอดีๆ ก่อนนะ หมดจานแล้วค่อยสั่งใหม่เพราะหากสั่งครั้งเดียวมาเยอะๆ เนื้อจะตากลมจนแห้งและแน่นอนว่าจะไม่อร่อยแน่ๆ และสิ่งสำคัญที่สุดคือ การย่าง! เพราะเนื้อบางชนิดจะอร่อยมากเมื่อย่างในระดับที่กำลังพอดี แต่จะเหนียวมากหรือหมดอร่อยไปเลยหากย่างนานเกินไป เช่น ส่วนที่ติดมันต่างๆ อย่าง คารูบิ ฮารามิ ที่ไม่ควรย่างให้สุกเสียทีเดียวเพราะเนื้อจะเหนียวเกินไป ลองสังเกตดูว่าหากมีน้ำมันของเนื้อออกมาให้กลับเนื้อและนับ 1-10 ในใจ ก่อนคีบออกมาแล้วส่งเข้าปากเลยได้เลยล่ะ และทั้งหมดนี่คือความอร่อยของ ร้านยากินิกุ โจเอง อีกหนึ่งร้านยากินิกุบรรยากาศดีในย่านธนิยะที่รอให้ทุกคนไปสัมผัสกัน