11:30-14:30 น., 17:30-23:00 น.
ห้องอาหารญี่ปุ่น Hishou (ฮิโช) มาในบรรยากาศดั้งเดิมโดดเด่นด้วยเคาน์เตอร์บาร์ทอดยาวที่เราสามารถเห็นลีลาของเชฟในการทอดเทมปุระพร้อมคีบมาวางตรงหน้าได้อย่างชัดเจน วันนี้คิจิขอแนะนำความอร่อยในเมนู Hishou Tempura (1,900++ บาท) ที่อยากบอกว่ามีความพิเศษในแบบที่หาจากที่ไหนไม่ได้เลยล่ะ
หลังจากก้าวเท้าเข้าไปในร้าน ความหรูหรา โอ่โถ่ง สีสันสบายตา และการทักทายที่สุภาพของพนักงานที่พร้อมบริการ คือความประทับใจแรกที่ร้านตั้งใจมอบให้ รวมทั้งการแบ่งที่นั่งเป็นสัดส่วนชัดเจน ทั้งโซนเคาน์เตอร์บาร์เทมปุระ บาร์เครื่องดื่ม โต๊ะเดี่ยว และห้องส่วนตัว(ต้องจองล่วงหน้า) ที่พร้อมให้บริการแบบครบครัน ยิ่งทำให้ตอบโจทย์ลูกค้าทุกกลุ่มทั้งครอบครัว กลุ่มเพื่อน หรือนักธุรกิจที่นัดมาคุยธุระสำคัญได้เป็นอย่างดี
อย่างที่บอกไว้ข้างต้นว่าเมนูที่เราจะนำเสนอในวันนี้คือ Hishou Tempura (1,900++ บาท) คือเมนูเทมปุระที่ลูกค้าสามารถออเดอร์กับเชฟได้ตลอดเวลา ความพิเศษอยู่ที่เชฟจะทอดเทมปุระให้เราชิ้นต่อชิ้น จากกระทะทอดเทมปุระนำเข้าจากญี่ปุ่น ด้วยกรรมวิธีการทอดที่ดีเยี่ยมทำให้มีความกรอบนอกฉ่ำในไม่อมน้ำมัน ด้วยวัตถุดิบที่ได้คุณภาพจัดมาพิเศษแบบสุดๆ ทั้ง กุ้งลายเสือ (Tiger Prawn), ปลาไหล (Conger Eel), ปูหิมะ (Snow Crab), ปลาทราย (Sand Borer), หอยเชลล์ (Scallop), ขาปูทาราบะ (Crab Stick), ปลาแซลมอน (Salmon), ขิงญี่ปุ่น (Japanese Ginger), อะโวคาโด (Avocado), ชิชิโต (Green Pepper), ชีสกามองแบร์ (Camembert Cheese) ,ซีฟู้ดและผักรวม (Mixed Vegetable & Seafood Tempura)
ซึ่งเมนูนี้สามารถสั่งบุฟเฟ่ต์เทมปุระในเมนู Aya Tempura (1,100++ บาท) ได้อีกด้วยนะ ซึ่งมีทั้ง กุ้ง (Shrimp), ปลาหมึกกล้วย (Squid), ปลาหมึกยักษ์ (Octopus), ปลาเนื้อขาว (White Fish), ปลาอาจิ (Horse Mackerel), ใบโอบะ (Oba Leaf), เห็ด (Mushroom), มะเขือม่วง (Eggplant), รากบัว (Lotus Root), หน่อไม้ฝรั่ง (Aspragus), ฟักทอง (Pumpkin), กระเจี๊ยบเขียว (Okra), มันหวาน (Sweet Potato), ข้าวโพดอ่อน (Baby Corn), ถั่วแขก (Green Beans), ลูกชิ้นชิกุวะ (Fish Paste), ไข่นกกระทา (Quail Eggs) และ ไอศกรีมทอด (Tempura Fried Ice Cream)
หากที่นั่งบริเวณเคาน์เตอร์บาร์มีคนจองจนเต็ม หรือลูกค้ามาเป็นกลุ่มใหญ่ สามารถเลือกนั่งโต๊ะเดี่ยวหรือในห้องส่วนตัวได้ อาจจะไม่ได้เห็นลีลาการทอดของเชฟที่ชัดเจนแต่เชื่อเถอะว่า เชฟจะเสิร์ฟเทมปุระร้อนๆ มาให้เราได้อร่อยไม่ต่างกันเลย ที่สำคัญไม่ต้องกลัวว่าหากทิ้งไว้นานแล้วเทมปุระจะเฉา เพราะทุกชิ้นผ่านการทอดมาอย่างดีโดยเชฟผู้เชี่ยวชาญและชำนาญในวิธีการทอดที่ทำให้ด้านนอกกรุบกรอบ แต่ด้านในยังชุ่มฉ่ำขั้นสุด!
แน่นอนว่าการกินเทมปุระแบบฉบับญี่ปุ่นแท้ๆ จะต้องกินคู่กับ “เกลือ” ทางร้านจึงมีเกลือญี่ปุ่นให้เลือกถึง 6 รสชาติ ทั้งรสธรรมชาติ รสวาซาบิ รสพริกไทยดำ รสบ๊วย รสส้มยูซุ และรสรากบัว ทางร้านมีช้อนจิ๋วให้มาด้วย ทำให้เราสามารถตักและควบคุมปริมาณของเกลือได้ดีกว่าคีบเทมปุระไปจิ้มทั้งชิ้น เพราะนั่นจะทำให้ได้รสเค็มเกินไป กลบรสชาติเอกลักษณ์ของเทมปุระจนหมดนั่นเอง
คั่นเมนูเทมปุระด้วย Side Dish ฉบับญี่ปุ่นกันหน่อย ในโซน “โอซูไซ” ที่ตั้งอยู่กลางร้าน มีเมนูเรียงรายพร้อมเสิร์ฟเมนูที่ปรุงสดใหม่และปรับเปลี่ยนไปทุกวัน ซึ่งหากรับประทานในเมนู Hishou Tempura สามารถเดินไปตักได้ไม่อั้น แถมยังละเมียดกับรสชาติอาหารและบรรยากาศได้แบบไม่จำกัดเวลาอีกด้วยนะ
หรือใครอยากมารับประทานเพียงแค่บุฟเฟ่ต์ Side Dish แบบฉบับญี่ปุ่น ทางร้านก็ยังมีเมนู Osouzai Buffet (580 บาท) ให้ตักได้ไม่อั้น ทั้งยังมีบุฟเฟ่ต์อาหารกลางวัน (480++ บาท) ตั้งแต่เวลา 11:30-14:30 น. ซึ่งสามารถเลือก Main Dish ได้พร้อมกับเดินไปตักอาหารโซนโอซูไซได้ไม่อั้นอีกด้วย ทั้งคุ้มค่าคุ้มราคาและได้คุณภาพที่ดีเยี่ยมขนาดนี้ ต้องมาลองกันให้ได้เชียวล่ะคุณ!