11:30-15:00 น., 17:00-22:00 น.
หลังจากเปิดให้บริการมาแล้วทั้งที่ทองหล่อและอโศก Sushi Juban (ซูชิ จูบัน) ก็ได้ขยายความสุขให้เหล่าคนรักซูชิได้อร่อยกันทั่วถึงกว่าเดิมด้วยสาขาใหม่ลำดับที่ 3 ณ ย่านฮิปล่าสุดของกรุงเทพฯ อย่างสะพานควาย
โดยโลเคชั่นของร้านตั้งอยู่ในซอยอินทามระ 3 เร้นกายอย่างเงียบๆ ในบ้านหลังใหญ่ฉาบด้วยสีโทนเบจ พื้นที่กว้างทั้งโซนด้านนอกและภายใน ใครต้องการความเป็นส่วนตัวสามารถสำรองห้องไพรเวทของร้านที่มีให้จับจองถึง 5 ห้อง แต่ถ้าชอบนั่งชมอิริยาบถเชฟระหว่างมื้อโอมากาเสะมากกว่า สามารถเชื้อเชิญตนเองไปที่เคาน์เตอร์บาร์ยาวจุได้กว่า 14 ที่นั่ง ถึงจะตอบโจทย์ที่สุด
ถ้าว่ากันด้วยสไตล์โอมากาเสะสาขานี้จะแตกต่างกับ Sushi Juban ที่อโศกและทองหล่อตรงที่เขานำเสนอซูชิแนวผสมผสานระหว่างเอโดมาเอะ โอซาก้า พร้อมกับแต่งเติมเสริมรสชาติจนถึงเทคนิคใหม่ๆ เข้ามาเพื่อให้ซูชิแต่ละคำนั้นมีความร่วมสมัย ส่วนราคาก็เรียกได้ว่าคุ้มแสนคุ้มเมื่อเทียบกับคุณภาพของวัตถุดิบ ขณะที่ผู้รังสรรค์มื้ออร่อยนี้ยังเป็นเชฟประสบการณ์แน่นกว่า 30 ปี ส่งตรงจากประเทศญี่ปุ่น
อย่างคอร์สโอมากาเสะมื้อกลางวันที่เราได้ไปชิมมาคราวนี้ราคาจะอยู่ที่ 980++ บาท เชฟเสิร์ฟไล่เรียงตั้งแต่จานเรียกน้ำย่อยสร้างความสดชื่นอย่าง Salad ที่ในชามประกอบไปด้วยสาหร่ายแดง สาหร่ายเขียว สาหร่ายวากาเมะ พร้อมแครอทและหัวไชเท้าหั่นฝอยเพิ่มความกรุบกรอบ จับคู่กับน้ำสลัดแบบโฮมเมดที่เชฟปรุงขึ้น
สองคำต่อมาคือ Maguro และ Shima-Aji Sashimi ซาชิมิส่วนอากามิของมากุโร่โดยเชฟออกแบบให้กินคู่กับซอสโชยุกระเทียมและต้นหอมไทยซอย ต่ออีกคำด้วยปลาชิมะอาจิที่ก่อนเสิร์ฟเชฟบีบเลม่อนลงไปเล็กน้อยก่อนจะขูดทับด้วยเกลือหิมาลายันสีชมพู
มาเข้าสู่ซูชิรายการแรกของคอร์ส Akami Sushi ที่เราว่าคำนี้รสชาติถูกปากคนไทยได้ไม่ยากกับซูชิส่วนเนื้อแดงของฮอนมากุโร่ท็อปด้วยซอสรายุให้รสเผ็ดเล็กๆ แสมเค็ม ถือเป็นคำที่เราต้องทดความเซอร์ไพรส์ไว้ในใจและอยากรู้ว่าคำต่อๆ ไปเชฟจะสร้างสรรค์อะไรมาให้เราได้ว้าวอีกบ้าง
รอเพียงไม่นาน Aori Ika Sushi ก็มาเสิร์ฟ ปลาหมึกหอมที่เชฟเอาไปสับก่อนจะปั้นวางบนข้าวเป็นซูชิ เบิร์นไฟที่ผิวพอให้ขึ้นสี แล้วจบท้ายด้วยทรัฟเฟิลออยล์กับเกลือหิมาลายันสีชมพู ระหว่างปรุงคำนี้เชฟเล่าให้เราฟังว่าอาโอริอิกะจะอร่อยมากถ้ากินในฤดูใบไม้ผลิกับฤดูร้อน เพราะนอกจากเนื้อแน่นหวานจนอยากจะเคี้ยวซึบซับรสชาติไปเรื่อยๆ เขายังได้รับสายสะพายเป็นปลาหมึกที่อร่อยที่สุดสายพันธุ์หนึ่งของญี่ปุ่นอีกด้วย
อีกหนึ่งความดีงามประจำคอร์สต้องยกให้คำนี้ Ikura Sushi พิเศษกว่าครั้งอื่นๆ ตรงที่เวอร์ชั่นนี้เชฟพันข้าวด้วยเบตตาระคอมบุดองแทนสาหร่ายพอมาบวกกับอิคุระดองโชยุเข้าไป จากซูชิที่เรากินได้ทั่วไปก็ฟีลสเปเชียลขึ้นมาเลยทีเดียว
เสิร์ฟมาแบบไม่มีขาดตอนกับ Saba Oshizushi ซาบะดองซูชิสไตล์คันไซ ฟากของข้าวเชฟได้เอาข้าวซูชิไปคลุกกับขิงดองสับ ใบโอบะสับ อีกทั้งงาขาว อัดกับพิมพ์แล้วกดออกมาได้เป็นทรงสี่เหลี่ยม ท็อปด้วยซาบะดองที่เชฟมีการแสดงเล็กๆ ด้วยเอาถ่านร้อนๆ มาจี่ให้หนังกรอบ ก่อนแต่งหน้าด้วยเปลือกยูซุส่งกลิ่นหอม ครบถ้วนทุกความอร่อยในคำเดียว
Sawara Sushi คำนี้ก็เด่น ปลาอินทรีญี่ปุ่นบั้งแล้วเบิร์นไฟส่งกลิ่นหอมไปทั่วร้าน ดีไซน์มาให้กินคู่กับหัวไชเท้าคลุกยูซุโคโช อร่อยจนอยากกินเพิ่มอีกหลายๆ คำ
คิวถัดมาคือ Torotaku Dog with Crispy Rice โทโร่สับคลุกกับหัวไชเท้าดองแนะนำให้กินพร้อมต้นหอมสับ วาซาบิดอง และข้าวญี่ปุ่นทอดกรอบ เพื่อความอูมามิ
ส่วน Madai Yaki คือจานย่างหนึ่งเดียวในคอร์ส ปลามาไดผ่านการหมักกับโชยุ มิริน และสาเก ราว 30 นาที ย่างไฟจนได้เนื้อสัมผัสที่พอดิบพอดี จานนี้เชฟแนะนำให้บีบเลม่อนก่อนกินถึงจะเป๊ะที่สุด
มาแบบติดๆ กันคือ Shako กั้งแก้วเนื้อเด้งหวานวางมาบนข้าวผนวกความอร่อยเข้าด้วยกันด้วยบาฟุนอูนิ วาซาบิสด และไข่แดงฝนเพิ่มความนัว
ตามด้วยซูชิปลาเนื้อขาว Smoked Hamachi Sushi คำนี้เชฟเพิ่มมิติทางกลิ่นโดยการรมควันด้วยไม้แอปเปิ้ล ก่อนจะยื่นให้เราพร้อมกับกระเทียมแผ่นทอดกรอบ ต้นหอมสับ และหัวไช้เท้าบดผสมพริกญี่ปุ่น (Momiji Oroshi)
ขณะที่เต้าหู้ทอดในซอสเทมปุระ Agedashi Tofu ก็เข้ามาทำให้รสชาติของคอร์สนี้สมดุลเพื่อปูทางสู่ 2 รายการสุดท้ายอย่าง Tamago ได้อารมณ์เครมบรูเล่ และ Miso Soup รสนวลก่อนย้ายไปที่ของหวาน
ของหวานในคอร์สนี้เสิร์ฟเป็น Daifuku สอดไส้องุ่นเขียวลอกเปลือกและเพิ่มอรรถรสด้วยถั่วแดงเข้าไปอีกชั้น ประกบกันเป็นเบอร์เกอร์ด้วยโมนากะ (Monaka) ขนมญี่ปุ่นที่ทำมาจากโมจิ
นอกจากคอร์สที่บังเมชิได้ชิม Sushi Juban สาขาพญาไทยังมีโอมากาเสะอีกหลายราคาให้เลือกทั้งมื้อกลางวันและดินเนอร์ รวมถึงคอร์สแบบพรีเมียมที่ได้เชฟ Shunpei Takizawa บินตรงจากร้าน Sushi Ginza Onodera เมืองลอสแอนเจลิสดีกรีมิชลิน 2 ดาว มาปั้นเสิร์ฟให้แบบคำต่อคำ ใครที่กำลังมองหาโอมากาเสะดีๆ สักมื้อให้รางวัลตัวเอง เราว่าซูชิ จูบันคืออีกหนึ่งร้านโอมากาเสะในกรุงเทพฯ ที่ควรค่าแก่การไปลองสักครั้ง