อ.-ส. 18:00-23:00 น. (หยุดทุกวันออาทิตย์และวันจันทร์)
Tenshino ร้านอาหารญี่ปุ่นที่ได้หยอดเอากลิ่นอายของฝรั่งเศสเข้ามาผสมผสานได้อย่างกลมกล่อม ด้านวัตถุดิบก็คัดสรรมาแต่ระดับไฟน์ไดนิ่งทั้งจากประเทศญี่ปุ่นและฝรั่งเศส หรือแม้แต่พาร์ทการตกแต่งเองเท็นชิโนะก็ใส่ใจในทุกรายละเอียด ชนิดที่ว่าทุกมุมของร้านคุณจะหาไม่ได้จากร้านอาหารญี่ปุ่นที่ไหนในกรุงเทพฯ แน่นอน
หากจะให้อธิบายถึงลุคองค์รวมของเท็นชิโนะคงต้องขอจำกัดความนิยามด้วยชื่อว่าเป็นแนว “Bohemian Chic” ไม่ว่าจะด้วยสีสันที่ทางร้านได้หยิบมาใช้ แชนเดอร์เรียหลายมู้ดแอนด์โทน วอลเปเปอร์ที่ก็ล้วนนำเข้ามาทั้งหมด หรือแม้แต่ภาพเขียนหญิงสาวสไตล์ร่วมสมัยตั้งขนาบผนังก็เป็นฝีแปรงจากชาวปารีเซียงแท้ๆ จวบจนถึงเฟอร์นิเจอร์สไตล์วินเทจเสริมให้ตัวร้านคงไว้ซึ่งบรรยากาศคลาสสิกทั้งโก้เก๋ ที่ลูกค้าบางรายถึงกับออกปากว่าเหมือนตัวเองได้ชมงานของเวส แอนเดอร์สัน (Wes Anderson) ระหว่างดื่มด่ำกับอาหารก็ไม่ปาน
แม้จะไม่ใช่ร้านอาหารญี่ปุ่นแบบเทรดิชั่นนอลจ๋าอีกทั้งเสิร์ฟมาในสไตล์เจแปนนิสอินโนเวทีฟ แต่ถ้าลูกค้านึกอยากออเดอร์เมนูซูชิหรือซาชิมิขึ้นมาเท็นชิโนะก็มีพร้อมเสิร์ฟได้อย่างไม่มีติดขัด ด้านอินกรีเดียนท์ทางร้านก็คัดสรรมาแต่ของที่มีคุณภาพ เช่นปลา เท็นชิโนะก็ส่งตรงมาจากตลาดปลาโทโยสุ 3 วัน/สัปดาห์ หรืออย่างเมนู Tempura Oyster แทนที่จะใช้หอยนางรมฟิน เดอ แคลร์ (Fine de Claire) ทางร้านก็เลือกใช้พันธุ์เมอซิเออร์ ฌอง ปอล (Monsieur Jean-Paul Oyster) จากฝรั่งเศสที่หายากทั้งเทกซ์เจอร์ละมุนกว่าแทน ไปจนถึงส่วนประกอบเล็กๆ น้อยๆ (แต่เท็นชิโนะเห็นว่าสำคัญ) บางชนิด เชฟก็เลือกใช้สิ่งที่ดีที่สุด ดังเช่นพริกที่โรยอยู่ด้านบนของเมนู Hokkaido Uni Fettuccine ก็เป็นพริกป่นเอสเพอแลต (Espelette Pepper) ที่ถูกเคลมว่าเป็นพริกที่แพงที่สุดในโลก
ส่วนความดีงามทั้ง 6 เมนูที่คิจิได้ไปลองชิมมาก็ล้วนน่าบอกต่อแทบทั้งสิ้น เริ่มจากจานเรียกน้ำย่อย Tuna Ceviche ที่เชฟได้นำปลาทูน่าอิมพอร์ตจากประเทศญี่ปุ่นมาปรุงในแบบเซบิเช่ก่อนจะท็อปด้วยสาเกเจลลี่แผ่นบาง อิคุระเม็ดโต พร้อมกับที่เชฟได้ฝนผิวส้มยูซุลงทั่วจาน เพื่อมอบกลิ่นหอมเอกลักษณ์เป็นการปิดท้าย
หรือถ้าใครอยากได้สตาร์ทเตอร์รสชาติเบาๆ กินคล่องๆ คิจิก็อยากให้ลองสั่งเป็น Daikon Crab Cake ซึ่งความพิเศษของจานนี้อยู่ตรงที่เนื้อสัมผัสของโมจิหัวไชเท้าเนื้อปูที่เชฟได้นำไปทอด ที่นอกจากสีสันจะน่ารับประทานเทกซ์เจอร์ของเขาก็ยังเคี้ยวสนุก อีกอย่างคือตัวซุปที่เสิร์ฟมาด้วยกันก็รสชาติละมุนละไม เหมาะกับเป็นเมนูรองท้องที่ใครได้ชิมเป็นอันต้องติดใจกันทุกราย
ดำเนินความอร่อยมาถึงเมนคอร์สด้วยเมนู Wagyu Beef Suki ที่แค่ลายหินอ่อนของวากิวจากคาโกชิม่าก็เด็ดขาดซะจนไม่ต้องสาธยายให้มากความ แถมน้ำซุปสาเกก็อร่อยเกินหน้าเกินตา ยิ่งถ้าได้ซดน้ำเคล้ากับผักนิ่มๆ ในชุดนะ บอกเลยว่าฟินจนหยดสุดท้ายแน่นอน
ต่อเนื่องด้วย Iberico Pluma หมูเนื้อนุ่มนำเข้าจากประเทศสเปน ถูกหมักอีกทั้งกริลล์มาอย่างพอเหมาะ ที่พอกินคู่กับซอสสูตรเฉพาะของเขาและไข่ออนเซ็น ทั้งจานที่เห็นบอกเลยว่าใช้เวลาในการละเลียดชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น
2 เมนูปิดท้ายเห็นจะไม้พ้นของหวาน ซึ่งคิจิขอยกมาแนะนำทั้ง Yuzu Tiramisu ที่เหมาะแก่การสั่งมาล้างปากหลังจากดื่มด่ำกับของคาวเสร็จ และ Azuki-Matcha Mochi โมจิชาร์โคลใส้ถั่วแดงหวานกำลังดีในซอสมัทฉะ ไม่ว่าจะเนื้อสัมผัสหรือเรื่องของรสชาติ ส่วนตัวคิจิว่าทางร้านทำออกมาได้ลงตัวทั้งคู่เลย