จ.-อา. 11:00-14:30 น., 17:30-22:00 น.
พร้อมเสิร์ฟความอร่อยระดับพรีเมียมในบรรยากาศญี่ปุ่นสุดคลาสสิกกับ Bonsai Japanese Restaurant ร้านอาหารญี่ปุ่นย่านหลังสวนที่ยกมาแบบครบถ้วนทั้งโอมากาเสะ เทปปันยากิ และนานาเมนูรสดั้งเดิมหลากชนิดโดยเชฟชาวญี่ปุ่นประสบการณ์แน่นกว่า 15 ปี
ชื่อของ “บอนไซ” ไม่เพียงแต่ทำหน้าที่เป็นนามของร้าน ความหมายโดยนัยยังสื่อถึงตัวตนของ Bonsai Japanese Restaurant อยู่ด้วย ไม่ว่าจะเป็นความละเมียดละไมในทุกๆ รายละเอียด ตั้งแต่วัตถุดิบที่ต้องสดใหม่ได้คุณภาพ ซึ่งทางร้านก็ได้นำเข้าปลาจากตลาดปลาโทโยสุ (Toyosu) สัปดาห์ละ 2 ครั้ง (ยังไม่นับรวมวัตถุดิบแต่ละฤดูกาลที่เชฟวาตานาเบะมักจะสรรหาแต่สิ่งที่ดีที่สุดมาให้ลูกค้าได้อร่อยอยู่เรื่อยๆ) อีกทั้งกระบวนการได้มาซึ่งอาหารแต่ละจานที่ล้วนแสดงถึงอัตลักษณ์แห่งรสชาติในแบบดั้งเดิม ตลอดจนศิลปะการจัดวางที่เชฟเองก็ได้ให้ความสำคัญเป็นอันต้นๆ ด้วยเช่นกัน
เมื่อเข้ามายังตัวร้านจะเห็นว่าที่นี่ตกแต่งให้ฟิลลิ่งญี่ปุ่นสไตล์คลาสสิก เน้นโทนสีธรรมชาติ มีภาพวาดบนผนังขนาดใหญ่เป็นจุดดึงดูดสายตา อีกทั้งการแบ่งโซนร้านก็เป็นสัดส่วน ตั้งแต่ห้องโอมากาเสะให้บริการต่อรอบได้สูงสุด 8 ที่นั่ง ห้องเทปปันยากิ ห้อง VIP ไปจนถึงโซนอะลาคาร์ทที่ให้เลือกว่าจะนั่งระหว่างเคาน์เตอร์บาร์หรือถ้ามากันเป็นกลุ่มทางร้านก็มีโต๊ะรับรองอยู่หลายขนาดด้วยกัน
ก็เหมือนกับการเลี้ยงบอนไซที่ต้องใช้ความใส่ใจเป็นพิเศษ อาหารทุกจานของเชฟนอกจากแสดงถึงเอกลักษณ์ของความเป็นอาหารญี่ปุ่น ซึ่งว่ากันด้วยเรื่องของรสชาติเชฟวาตานาเบะ คิโยมาสะ (Kiyomasa Watanabe) ก็ยังคงเดินตามวิถีดั้งเดิม อย่างคอร์สโอมากาเสะที่เสิร์ฟในแบบเอโดะมาเอะ (Edomae) หรือแม้แต่เมนูอะลาคาร์ทอื่นๆ ไม่ว่าจะมาจากครัวร้อนครัวเย็นก็ล้วนยึดตามคอนเซ็ปต์ได้อย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง
ตามที่คิจิได้เกริ่นไปในตอนต้นว่าที่นี่มีคอร์สโอมากาเสะให้บริการ โดยเริ่มจาก Kaiseki ราคาเริ่มต้นต่อคอร์สอยู่ที่ 1,000++ บาท สิ่งที่แตกต่างจากคอร์สโอมากาเสะอื่นๆ ในร้านก็คือเป็นคอร์สที่ให้บริการเฉพาะช่วงกลางวัน ไม่ต้องสำรองล่วงหน้า หมายถึงว่า Walk-in เข้ามาก็สามารถกินได้เลย ส่วนอีก 2 คอร์ส อันได้แก่ Sakura และ Omakase นั้น 3,000++ บาท และ 4,200++ บาทคือราคาต่อท่าน เสิร์ฟด้วยใจทั้งช่วงกลางวันและเย็น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องสำรองล่วงหน้าก่อนราวๆ 2 วัน
สำหรับเมนูอะลาคาร์ทก็เรียกได้ว่ามีครบถ้วนทุกจานญี่ปุ่น อย่างคราวนี้ที่คิจิคัดสรรมาแนะนำก็มี Haru Sashimi Set ชุดซาชิมิที่แทบจะยกทะเลมาใว้ในชาม ซึ่งก็มีให้เลือกสรรรับประทานตั้งแต่ฮิราเมะ, อากามิ, แซลมอน, อามะเอบิ และโฮตาเตะ
ส่วนซูชิโรล Salmon Ebi Tempura Roll นี่ก็ไม่ควรพลาด เพราะนอกจากจะมีกุ้งเทมปุระตัวโตๆ เป็นไฮไลท์รอบนอกยังห่อด้วยข้าวซูชิและแซลมอนเบิร์นไฟส่งกลิ่นหอม ก่อนจะท็อปหน้าด้วยโทบิโกะ ซอสเทอริยากิ และเกล็ดเทมปุระทอดกรอบ
เซ็ตอาหารกลางวันที่นี่ก็มีให้ฝากท้อง โดยเฉพาะ Sashimi Sushi Set และ Kurobuta Steak Set นั้นจะขายดีเป็นพิเศษ ด้วยเพราะหนึ่งคือคุ้มค่า อย่างชุดซูชิ 7 คำที่เคียงมาพร้อมซาชิมิ 3 อย่าง รวมถึงซุปมิโซะ สลัด และผลไม้ตามฤดูกาล เห็นอย่างนี้คืออิ่มไปได้ถึงเย็น ด้านชุดสเต็กหมูคุโรบูตะนี่บอกได้เลยว่าอร่อยถูกปากประชากรหมู่มาก ชิ้นหมูส่วนสันคอที่หั่นเสิร์ฟมาก็ลงตัว บวกกับซอส 3 ชนิด ข้าวญี่ปุ่นหุงใหม่ๆ ซุปมิโซะ สลัด ตลอดจนผลไม้ล้างปาก นับว่าเป็นอีกหนึ่งมื้อคุณภาพที่สัมผัสได้ง่ายๆ หากมายังร้านแห่งนี้