10:00-21:00 น.
มั่นใจว่าคอบุฟเฟ่ต์จะต้องตาลุกวาวถ้าได้รู้ว่า Sachinomi Sushi (ซาชิโนมิ ซูชิ) เขามีโปรโมชั่นเสิร์ฟซูชิและซาชิมิแบบไม่อั้นกว่า 150 รายการ ซึ่งนั่นรวมถึงหน้าซูชิที่เจ้าอื่นๆ มักจะไม่เอามาใส่ในไลน์บุฟเฟ่ต์กันอย่างโอโทโร่ ปลาอิโตโยริ และอุนิ
Sachinomi Sushi ตั้งอยู่บนชั้น 5 ห้างสรรพสินค้า Central Plaza พระราม 3 โดดเด่นด้วยหน้าร้านติดเมนูบุฟเฟ่ต์ไซส์ยักษ์อวดบรรดารายการซูชิที่มีให้เลือกสั่งแบบล้นหลาม ภายในร้านตกแต่งได้บรรยากาศญี่ปุ่นร่วมสมัย ใส่รายละเอียดงานไม้ต่างๆ ตั้งแต่ผนังดีเทลเก๋ ระแนงฉลุลาย ณ โซนครัวเย็นบริเวณกลางร้านที่คุณปิติ ศรีแสงนามได้ไอเดียมาจากสำนักงานสถาปนิกแห่งหนึ่งในโตเกียว ตลอดจนเฟอร์นิเจอร์ที่ก็ล้วนเป็นไม้แทบทั้งหมด ประกอบกับไฟส้มที่เราเห็นด้วยว่ามันช่วยเรียกน้ำย่อยได้เป็นอย่างดีจริงๆ
ในส่วนของอาหารทางร้านบริการทั้งแบบอะลาคาร์ทและบุฟเฟ่ต์ ใครใคร่อยากคีบแบบไม่ยั้งก็เลือกเลยว่าจะหยุดที่ราคาไหน จะพอแค่นี้กับ 699+ บาท หรือไปให้สุดที่ราคา 1,599+ บาท ก็ไม่มีใครว่าผิด เหมือนกับคราวนี้คิจิขอโฟกัสไปที่ความพรีเมียมขั้นสุด ด้วยเพราะศิโรราบให้กับเมนูซูชิที่มีให้เลือกจิ้มสั่งกว่า 150 รายการ โดยเฉพาะกับโอโทโร่และอุนิที่จะสั่งมาฟินเท่าไหร่ก็ได้ตามใจอยาก อีกทั้งจานหลักอีกนับสิบอย่างซาชิมิแซลมอน ข้าวหน้าอุนิและอิคุระ หัวปลาแซลมอนต้มซีอิ๊ว ซาชิมิหอยนางรม และกุ้งเทมปุระ เป็นต้น
มาว่ากันด้วยรายการที่ลูกค้าสั่งบ่อยๆ โต๊ะไหนโต๊ะนั้นไม่มีพลาด เริ่มจาก แซลมอนซาชิมิ ที่ทางร้านนำเข้านอร์วีเจียนแซลมอนจากฟาร์มที่ผ่านการรับรองจากองค์การอนามัยโลก (WHO) พร้อมกันนั้นทางฟาร์มยังการันตีถึงความสดด้วยคำเคลมโดนๆ ว่าก่อนแซลมอนจะมาอยู่บนจาน 36 ชั่วโมงที่แล้วยังว่ายอยู่ในกระชังกลางมหาสมุทรในน้ำอุณหภูมิเย็นจัดลึกราวๆ 900-1,400 เมตรนั่นเอง
หอยนางรมซาชิมิ ก็ได้รับความนิยมไม่แพ้กันกับแซลมอน โดยเชฟจะเหยาะซอสพอนสึมาพร้อมกับหัวไชเท้าขูดให้ได้กินด้วยกัน สำหรับหอยนางรมนั้นต้นทางมาจากเมืองทงยอง (Tongyeong) ประเทศเกาหลีใต้ ข้อดีของเขาก็คือไซส์พอดีสำหรับหนึ่งคำ รสสัมผัสฉ่ำ ทั้งเทกซ์เจอร์ก็ให้ความกรุบกรอบสู้ฟัน รับประกันว่าคุณภาพดีแน่นอน
เป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ของร้านที่คิจิขอยืนกรานว่าไม่สั่งไม่ได้กับ 3 ส่วนอร่อยของมากุโร่นั่นก็คือ โอโทโร่ ชูโทโร่ และอากามิ โดยในหนึ่งเสิร์ฟเชฟจะจัดมาเป็นเซ็ต 4 คำ (อากามิ 2 คำ ชูโทโร่และโอโทโร่อย่างละคำ) ให้คอบุฟเฟ่ต์ได้ไต่ระดับความฟินก่อนที่จะไปต่ออีกสเต็ปด้วยอากะอุนิแบบไม่ยั้ง
ความสุข 90 นาทีคงไม่ Happy Endings แน่ ถ้าไม่ได้สั่งซูชิหน้ายอดนิยมของ Sachinomi Sush i มากินปิดท้าย ไล่ไปตั้งแต่ ปลาอิโตโยริ (Itoyori) ที่เชฟแล่มาแบบพอดีคำ เคาะเกลือสีชมพูหิมาลายันลงบนผิวปลาเล็กน้อย บีบมะนาว และเสริมด้วยต้นหอมญี่ปุ่นหั่นฝอยด้านบน ซูชิวากิวออสเตรเลียน เบิร์นไฟด้วยทอร์ชให้พอสะดุ้งก่อนราดซอสสูตรเฉพาะแล้วเสิร์ฟพร้อมต้นหอมญี่ปุ่นหั่นฝอย ถัดมาคือ ซูชิหอยปีกนก (Hokkigai) ที่ทางร้านนำเข้าวัตถุดิบจากประเทศแคนาดา อีกทั้ง Rainbow Roll นี่ก็ไม่ควรพลาดด้วยท็อปหน้าซาชิมิ 3 อย่างก็คือแซลมอน มากุโร่ และกุ้ง
ซูชิหอยแครง (Akagai) เนื้อสัมผัสเด้งกรอบ ส่วน ซูชิอุนางิ (Unagi) ทางร้านก็ทำออกมาได้เต็มรสชาติในแบบปลาไหลย่างซอส หรือใครที่ไม่ถนัดกินปลาดิบทางร้านก็มีซูชิชนิดเบิร์นไฟที่ผิวปลาเบาๆ เสิร์ฟเช่นกัน อย่าง อากามิ แซลมอน กุ้ง และ โฮตาเตะ พาร์ทของโรลก็มีคำที่น่าสนใจ เช่น Dragon Roll โดดเด่นที่ปลาไหลย่างผิวเงาวับ Sakura Roll กับแซลมอนส่วนท้องสัมผัสนุ่มลิ้น และท้ายสุดคือ Forest Maki ที่ต้องกินคู่กับเดรสซิ่งถึงจะครบถ้วนสมบูรณ์
และอย่างที่บอกไปว่าในไลน์ของบุฟเฟ่ต์ยังมีเมนูจริงๆ จังๆ นอกเหนือไปจากซูชิ ซึ่งแน่นอนว่าจานฮอตฮิตติดชาร์ตหนีไม่พ้น หัวปลาต้มซีอิ๊ว เมนูที่สั่งมาครั้งไหนก็อร่อยเกินห้ามใจ อ้อ! สำหรับหัวปลาแซลมอนของที่นี่เนื้อจะเยอะกว่าเจ้าอื่นๆ เขาตรงที่ทางร้านไม่ได้ตัดเฉพาะส่วนของหัวปลามาปรุงแต่ยังตัดเลยมาที่ส่วนเนื้อให้ลูกค้าได้แคะเนื้อปลาหวานๆ กันเพลินๆ อีกด้วย