สารบัญ

“เราคิดงานแต่ละคอลเลคชั่นด้วยอารมณ์ตอนนั้น ด้วยแรงบันดาลใจที่มีตอนนั้น ด้วยเรื่องที่เราสนใจในตอนนั้น”

หลายคนอาจรู้จักคุณวี-ฮิโรกะ ลิมวิภูวัฒน์ ในฐานะภรรยาสาวของตั้ม-วิศุทธิ์ พรนิมิต นักวาดภาพประกอบชื่อดัง เจ้าของคาแรคเตอร์ “มะม่วง” แต่สำหรับวงการแฟชั่นเมืองไทยแล้ว เธอเป็นที่รู้จักในฐานะผู้ก่อตั้งแบรนด์ VL by VEE เสื้อผ้าสีสันสนุกสนานชวนฝันที่โด่งดังไปไกลถึงญี่ปุ่น

หญิงสาวลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่น เปิดประตูต้อนรับทีมงาน KIJI สู่บ้านสีขาวโปร่งสบายและเงียบสงบ ล้อมรอบไปด้วยต้นไม้เขียวชอุ่มเพื่อพูดคุยทำความรู้จักกับเธอ ดีไซเนอร์ผู้เป็นเจ้าของหนึ่งในแบรนด์แฟชั่นที่กำลังมาแรงที่ญี่ปุ่นในขณะนี้ พร้อมเล่าถึงที่มาที่ไปตั้งแต่เด็กจนมาถึงทุกวันนี้ให้เราฟัง

เราอดแปลกใจไม่ได้เพราะเธอเล่าว่าเกิดที่เมืองไทย แต่ไปอาศัยอยู่ที่ญี่ปุ่นจนถึง 7 ขวบ จึงกลับมาเรียนที่เมืองไทยอีกครั้ง แต่สำเนียงภาษาไทยของเธอกลับชัดแจ๋ว ไม่มีวี่แววความเป็นต่างชาติหลุดออกมาสักนิด ทั้งๆ ที่ใบหน้าของเธอออกไปทางญี่ปุ่นเสียด้วยซ้ำ เธอเติบโตและศึกษาในเมืองไทยจนถึงระดับปริญญาตรี จากคณะบริหารธุรกิจฯ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ก่อนจะกลับไปญี่ปุ่นอีกครั้งเพื่อเรียนต่อปริญญาโทในสาขา Textile Designs (สาขาเกี่ยวกับการออกแบบสิ่งทอ) ที่ Kobe Design University ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญที่นำไปสู่งานออกแบบแฟชั่นที่เธอกำลังทำอยู่ในขณะนี้

Q.จากนักศึกษาบริหารธุรกิจทำไมถึงหันมาเรียนออกแบบ

จริงๆ แล้วช่วงสอบเข้ามหาลัยตอนปริญญาตรี อยากเรียน Fine Art (วิจิตรศิลป์) มากกว่า อยากเข้าคณะจิตรกรรมฯ มหาวิทยาศิลปากรอะไรแบบนี้ แต่ที่บ้านเขาเป็นห่วง ก็เลยไปเรียนคณะบริหารฯ ของเอแบคแทน เพราะอย่างน้อยก็ได้ภาษาอังกฤษ ถ้าเรียนบริหารก็จะเอาไปใช้ประกอบอาชีพได้ง่ายดี แต่ระหว่างนั้นก็ยังชอบทำงานศิลปะ ชอบวาดรูป เราก็ไปเรียน Painting ไปเรียน Design ด้วยการ Take Course แล้วทำพอร์ต (Portfolio) เพื่อไปเรียนต่อปริญญาโท ซึ่งไม่ใช่ว่าจะเข้าไปเรียนได้เลย เขาให้ไปเป็นนักเรียนวิจัยอยู่ประมาณหนึ่งปี เพื่อทำพอร์ตด้านเท็กซ์ไทล์ (Textile : สิ่งทอ) เพราะเราไม่เคยเรียนมาก่อนเลย ตอนนั้นก็ฝึกย้อมผ้า ทอผ้า แล้วใช้งานด้าน Textile ไปสอบปริญญาโทอีกที

Q. ทำไมต้องเป็นสาขา Textile Designs ที่ Kobe Design University

ตอนนั้นพี่สาวเรียนอยู่ที่เกียวโต (Kyoto) คิดว่าอยู่ใกล้ๆ กันน่าจะดีกว่า ตอนเด็กเคยอยู่โตเกียว (Tokyo) แล้ว เลยอยากอยู่ฝั่งคันไซบ้าง เพราะไม่เคยใช้ชีวิตฝั่งนี้ อยากรู้ว่าเป็นอย่างไร ที่อยากเรียนที่ Kobe Design University เพราะว่าเขาออกแบบทุกอย่างดีมากเลยค่ะ พวกเอกสาร โบรชัวร์ แคตตาล็อก ทุกอย่างดีไซน์สวยมาก สวยกว่าที่อื่น เลยสนใจที่นี่มากว่าเป็นอย่างไร พอไปมหาวิทยาลัย ตึกทุกตึกดูเป็นโมเดิร์น ก็เลยชอบที่นี่และเข้าที่นี่

ส่วนที่เลือกสาขา Textile เป็นเพราะว่า จริงๆ ชอบวาดรูป แล้วสาขานี้มันใกล้เคียงในความรู้สึกเรา เวลาเรา Painting มันก็อยู่บนผ้าแคนวาส ก็เหมือนออกแบบ Textile ซึ่งดูจะสอดคล้องกับสิ่งที่เราชอบ แล้วเราเอาไปทำเป็นอุตสาหกรรมได้ เพราะ Textile เอาไปทำเสื้อผ้าก็ได้ ทำเป็นของอินทีเรีย (Interior : ตกแต่งภายใน) ก็ได้ มันดูเอาไปประยุกต์ได้กว้างขวาง ก็เลยเลือกสาขานี้

Q. จากการออกแบบสิ่งทอ พัฒนามาสู่ VL by VEE ได้อย่างไร

ช่วงที่เรียนเราชอบทำของกระจุกกระจิกขาย บางทีก็ทอผ้าเป็นกระเป๋าใบเล็กๆ ที่รองจาน ที่รองแก้ว หรืออะไรที่ขายง่าย เป็นงานอดิเรกของเรา บางทีก็สกรีนเสื้อขายเอง อะไรแบบนี้ค่ะ ทำไปทำมามันก็ขายได้เรื่อยๆ พอตัดสินใจกลับมาเมืองไทยก็เลยเปิดออนไลน์ช็อปกับเพื่อนที่ญี่ปุ่นทิ้งไว้ ชื่อทะมะริบะ (Tamariba) ตอนนี้ก็ยังมีอยู่

พอกลับมาก็ยังเน้นทำงานศิลปะเป็นหลัก หากมีเวลาว่างเราค่อยทำงานเสื้อผ้าขาย ทำไปทำมาเสื้อผ้ากลับขายดี เพราะความต้องการเสื้อผ้าของคนมีเยอะกว่า แถมยังผลิตได้ในปริมาณที่มากกว่า เลยเอาเวลาไปทำเสื้อผ้า ทำให้ไม่มีเวลาวาดรูปแล้ว เรารู้สึกว่ามันครึ่งๆ กลางๆ เราควรจะเลือกทำอะไรให้มันดีไปเลยสักอย่าง ก็เลยหันมาทำเสื้อผ้าก่อน ตอนนั้นก็เริ่มมาจากแกลเลอรีเล็กๆ ค่ะ เริ่มโชว์ครั้งแรกที่ ‘ยูโตะเระฮิโตะ (Utrecht)’ ในโตเกียว เป็นร้านหนังสืออินดี้ มีพื้นที่ให้ศิลปินมาแสดงงาน บางทีก็เป็นแบรนด์แฟชั่นเล็กๆ บางทีก็เป็นศิลปินทั่วไป ตอนนั้นเขาจัดเป็นกระท่อมเล็กๆ ที่ระเบียงร้าน เราชอบที่ตรงนั้นแหละ แล้วมันก็ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ

ตอนแรกที่เปิดก็ใช้ชื่อ VL เฉยๆ มาจากชื่อย่อของเราเนี่ยแหละค่ะ ทำขายในออนไลน์ช็อปและส่งร้านเสื้อผ้าที่รู้จักอะไรแบบนี้ พอปี 2011 ก็เริ่มทำเป็นคอลเลคชั่น ผลตอบรับก็ดีขึ้นเรื่อยๆ พอทำไปเรื่อยๆ มันก็กว้างขึ้น จนชื่อ VL สั้นเกินไปก็เลยเปลี่ยนเป็น VL by VEE ให้มันยาวขึ้น ตอนคอลเลคชั่น Spring/Summer แล้วก็เริ่มทำ Original Textile ด้วย เป็นผ้าออริจินอลของเราเอง  จากเมื่อก่อนเราจะทำเองคนเดียวทั้งหมด ไม่เคยส่งข่าวอะไรไปที่ไหนเลย ทางแกลเลอรีเขาจัดการให้ มันก็จะได้คนเฉพาะกลุ่ม ตั้งแต่ปี 2014 ก็เริ่มมีคนมาช่วยเป็นระบบมากขึ้น

Q. คอนเซ็ปต์ของ VL by VEE คืออะไร

ตอนเริ่มทำเราคิดไว้ง่ายๆ ว่าเป็น Relax and Charming เพราะไม่อยากจะจำกัดตัวเองว่าเราคืออะไร เราอยากจะเปิดกว้างเป็นอิสระไว้ แต่ก็คิดไว้ให้อยู่ภายใต้คอนเซปต์นี้ ไม่ว่าจะกลายเป็นสไตล์ไหนก็อยากให้มีความยืดหยุ่นกับเสื้อผ้า คำว่า Relax ไม่ใช่ว่าใส่แล้วสบายอย่างเดียว แต่หมายความว่า ไม่ต้องซีเรียสมากกับการแต่งตัว มันอาจจะเป็นชุดที่ไม่คุ้นเคย ไม่เคยใส่ แต่จะไม่ใช่อะไรที่ไม่กล้าเข้าไปยุ่ง ไม่ใช่แฟชั่นตึงๆ ที่แบบว่า “ฉันไม่ใช่แนวนี้ ไม่กล้าเข้าไปซื้อของ” เราก็เลยอยากเน้นที่อารมณ์ Relax ไว้เสมอ เพราะเสื้อผ้าคือสิ่งที่คนต้องใส่ทุกวัน ไม่ใช่ว่าแฟชั่นจ๋าแล้วต้องเป็นอะไรที่เกร็ง เข้าถึงยาก ไม่อยากให้เป็นแบบนั้น ซึ่งตอนนี้ก็ยังรักษาไว้อย่างนี้อยู่

Q. เนื่องจากมีขายทั้งในไทยและญี่ปุ่น ตอนออกแบบยากไหม ต้องคำนึงถึงคนทั้งสองประเทศเลยไหม

เราคำนึงถึงที่ญี่ปุ่นเป็นหลัก เพราะเราทำเป็นซีซั่น (Season : ฤดูกาล) อย่างคอลเลคชั่น Autumn/Winter เราก็นึกถึงอากาศที่นู่น เพราะเมืองไทยไม่มีอากาศหนาว พอนำงานมาวางที่สยามเราจะแอบปรับเปลี่ยนหน่อยเพื่อให้คนไทยซื้อได้ เช่น เปลี่ยนเป็นแขนสั้น เปลี่ยนผ้าให้บางลง แต่ร้านที่เมืองไทยก็มีลูกค้าญี่ปุ่นมากกว่า 50% เหมือนลูกค้าญี่ปุ่นที่มาเที่ยวเมืองไทยเขาก็จะแวะมาดู

Q. มีวิธีหาแรงบันดาลใจในการออกแบบอย่างไร

ไม่มีเฉพาะตายตัว ส่วนใหญ่เป็นสิ่งรอบตัวที่เราเจอตอนนั้น ซึ่งส่วนใหญ่รอบตัวเราก็จะเป็นแบบนี้ (ผายมือไปรอบๆ บ้าน) เป็นธรรมชาติ แมว หรือบางทีเราชอบฟังเพลงอะไร หรือไปดูหนังอะไรมา มันก็ทำให้ปิ๊งขึ้นมาว่าต่อไปทำคอลเลคชั่นนี้ดีกว่า

อย่างคอลเลคชั่น ‘SPACE PARTY’ ที่ผ่านมา เป็นอวกาศ เพราะตอนนั้นเราชอบดูสตาร์วอร์อะไรแบบนี้ (หัวเราะ) เราชอบหนังไซไฟโบราณ ชอบดูอีที ดูอะไรที่เป็นโปรดักชั่นแบบโบราณ แล้วตอนนั้นสตาร์วอร์ก็ออกมาพอดี พอชอบคาแรคเตอร์ในสตาร์วอร์ เราก็อิน แล้วก็เลยทำคอลเลคชั่นนี้

ถ้าเป็นคอลเลคชั่นตอนนี้จะชื่อ “Siesta” ก็จะรู้สึกเหมือนนอนกลางวันอยู่ในสวน ตอนนั้นสนใจสเปนมาก สนใจวัฒนธรรมเขา รู้สึกว่าอยากไปสเปนมากเลย แต่ไม่ได้ไปนะ (หัวเราะ) รู้สึกว่ามันต้องเป็นประเทศที่เข้ากับเราแน่เลย เหมือนเราก็เพ้อเรื่องสเปน แล้วก็ไปคุยกับคนสเปนที่ร้านเอล เมอคาโด้ (El Mercado) ที่คลองเตย ไปนั่งคุยให้เขาเล่าเรื่อง Siesta ให้ฟัง ว่าเป็นยังไง มันอารมณ์ไหน รู้สึกดีมากเลย เราชอบอารมณ์ที่เขาจะกลับบ้านมานอนกลางวัน กลับมากินข้าวกับครอบครัวใหญ่ ช่วงซัมเมอร์เขาก็จะปิดร้านทำให้เมืองเงียบหมดเลย กลับบ้านนอน เราก็เลยนึกถึงอารมณ์แบบนั้น

ลายเส้นวงกลมสีน้ำเงิน เป็นลายที่เล่นตอนเด็กๆ จาก Spirograph (ไม้บรรทัดเรขาคณิต) เราว่าลายมันเหมือนตะกร้า เรามีภาพในหัวว่ากลับบ้านมานอนกลางวัน บ้านเราก็จะมีต้นไม้ นอนใต้ต้นไม้ มีตะกร้าใส่ดอกไม้ อยากให้มันมีกราฟิกอยู่ในลายดอก มีอะไรที่กลมๆ อยู่ในนี้ แล้วเราก็ไม่อยากใช้คอมฯทำ ก็เลยวาดเองจริงๆ แล้วก็ถอดลายออกมา เราว่ามันเป็นวิธีแบบโบราณดี

แต่ละคอลเลคชั่นมันก็เหมือนเป็นบันทึกของเราว่าช่วงนี้ทำอะไร คิดอะไร เพราะว่าเราไม่ได้ออกแบบด้วยการมีข้อมูลว่าเทรนด์คืออะไร ไม่ได้วางแผนเป็นหลักการว่าทำอันนี้จะขายดี เราไม่มีข้อมูลแบบนี้ในหัว เราคิดงานแต่ละคอลเลคชั่นด้วยอารมณ์ตอนนั้น ด้วยแรงบันดาลใจที่มีตอนนั้น ด้วยเรื่องที่เราสนใจในตอนนั้น

Q. อะไรคือเอกลักษณ์ที่ทำให้คนดูแล้วรู้เลยว่านี่คือ VL by VEE

น่าจะเป็นที่ดีเทล ลูกเล่น วิธีใช้สี วิธีแมทช์สีที่มันสนุกสนานหรือดูแล้วแฮปปี้ มันจะไม่โมโนโครม (Monochrome : การใช้เพียงสีเดียว) บางทีมันก็เป็นเสื้อขาวทั้งตัว แต่มันก็จะมีลูกเล่นอยู่ในเสื้อที่ดูแล้วสนุก เอกลักษณ์ก็น่าจะเป็นความสนุกในการทำเสื้อผ้า ซึ่งมันก็สะท้อนออกมาในงานของเรา

Q. แฟชั่นของญี่ปุ่นกับไทยในสายตาคุณ เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไรบ้าง

ไม่ค่อยเหมือนกัน เพราะว่าคนญี่ปุ่นเขาจะมีวิธีเล่นซิลูเอท (Silhouette : โครงสร้างเสื้อผ้า) เสื้อผ้าเยอะกว่าคนไทย มีการใส่เสื้อผ้าที่มีซิลูเอทหลายแบบ มีการซ้อน สนุกกับเลเยอร์ สมมติว่าแบรนด์เสนอมาว่ามันเป็นเสื้อผ้าแนวแบบนี้นะ เขาก็สามารถเอาไปมิกซ์แอนด์แมทช์ได้เป็นอีกอย่างหนึ่งไปเลย เราคิดว่าเขามีไอเดียที่กว้างมากสำหรับเสื้อผ้า มีความวาไรตี้ในการใส่เสื้อผ้า ส่วนคนไทยด้วยอากาศที่ร้อน เขาก็จะไม่ใส่อะไรมากมาย ไม่ใส่อะไรที่ดูใหญ่ๆ รุ่มร่าม ไม่เอาลายซ้อนลาย ทบหลายชั้น หรืออาจจะมีแต่ว่าน้อย น่าจะอยู่ที่อากาศ (หัวเราะ)

Q. คนญี่ปุ่นรู้สึกอย่างไรกับเสื้อผ้าของ VL by VEE บ้าง

คนญี่ปุ่นเขาแฮปปี้มากเลยค่ะ เวลาที่ใส่เสื้อของเรา เวลาไปโชว์เสื้อแต่ละคอลเลคชั่น คนก็จะมาลองชุดกันเยอะมาก แล้วเวลาลองก็จะยิ้มแย้ม หมุนตัว เขาจะร่าเริงขึ้นเยอะมาก อันนี้เป็นเรื่องที่รู้สึกดีมากเลยค่ะ เพราะว่าตอนที่เราทำเสื้อผ้าเราทำด้วยความสนุกใช่ไหม เราทำด้วยความแฮปปี้ ไม่ได้ใส่ดาร์กเอเนอร์จี ( Dark Energy : พลังงานลบ) ลงไปในเสื้อผ้าเลย ก็หวังว่าคนใส่เขาจะรู้สึกอย่างนั้น แต่เราก็ไม่คิดว่าคนใส่เขาจะรู้สึกดีขนาดนั้นได้ มีคนชอบมาบอกเราว่าใส่แล้วมันก็สบายตัวและสบายใจด้วย นางแบบบางคนเราเห็นเขาหน้าเฉยๆ ตลอด เหมือนไม่เคยเห็นรอยยิ้มเวลาอยู่ข้างนอกหรือในสื่อ แต่บางทีเขามางานเรา แล้วเราเห็นเขายิ้มแย้ม เราก็แบบ เออดีเนอะ ประมาณนั้น รู้สึกว่าทุกคนจะแฮปปี้

Q. ความเป็นลูกครึ่งของเรา มีผลต่องานออกแบบด้วยหรือเปล่า

ก็น่าจะมีส่วนนะคะ ได้อยู่ในสองวัฒนธรรม ได้เห็นอะไรเยอะกว่าคนอื่นก็เป็นไปได้ ขึ้นอยู่กับหลายๆ อย่าง เรื่องมุมมองที่แตกต่างก็อาจจะมีส่วน เวลาเราขายในไทย เขาจะมองว่างานเราแนวญี่ปุ่น แต่พอขายไปที่ญี่ปุ่นเขาก็บอก “อ๋อ นี่เสื้อคนไทยเป็นแบบนี้” เขาไม่คิดว่าเราเป็นญี่ปุ่น ก็เลยมองว่ามันเป็นการผสมผสานกันที่ทำให้เราไม่เหมือนประเทศอะไรเลย

Q. คิดว่าที่จริงแล้วเราเป็นแบรนด์ไทยหรือแบรนด์ญี่ปุ่นมากกว่ากัน

เราเป็นแบรนด์ไทยค่ะ เพราะเราเป็นคนไทย (หัวเราะ) แต่ว่าคนที่ไม่รู้ว่าเราเป็นคนไทยก็เยอะเหมือนกัน เพราะว่าเสื้อผ้าเราก็เริ่มขายที่ญี่ปุ่นนะคะ จริงๆ เราก็เริ่มทุกอย่างที่นู่นแหละ

Q. อยากให้ฝากอะไรถึงคนที่อยากเรียนดีไซน์ หรือกำลังเรียนหน่อยค่ะ

ก็อยากให้โฟกัสค่ะ เพราะบางทีตอนเด็กๆ อาจจะยังไม่รู้ว่าอยากเป็นอะไร ทำอาชีพอะไร แต่ก็เลือกคณะเรียนไปแล้ว มันก็จะมึนๆ แต่ว่าถ้าเจอแล้วว่าอยากเรียนอะไร หรือเรียนไปแล้วอาจจะไม่ใช่ขึ้นมา อย่างตอนเราเรียนบริหารเราก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่เราเลย มันทรมานเหลือเกิน ทำยังไงให้เรียนจบ เรียนจบช้ามากเลย ได้แต่เรียนๆไป สุดท้ายทุกอย่างมันก็มีประโยชน์ในอนาคต แต่ว่าถ้าตัวเองตัดสินใจแล้วว่าอยากเป็นดีไซเนอร์ ก็ให้โฟกัสที่จุดนี้ เพราะทำๆ ไปมันก็มีขึ้นมีลงใช่ไหม พอมันลงมันก็ท้อ ทำให้อยากทิ้งไป แต่ว่าอย่าไปท้อ ต้องทำต่อไป พอมันผ่านช่วงนั้นไปได้ แล้วมันจะเวิร์ค

Q. เคยอยู่ทั้งโกเบและโตเกียว สองเมืองนี้ต่างกันอย่างไรบ้าง

ต่างกันมาก เราชอบโกเบ (Kobe) มากเลย เพราะว่าโกเบเป็นเมืองที่มีหลายวัฒนธรรมปนๆ กันอยู่ เป็นเมืองท่ามาก่อน สมัยก่อนจะมีฝรั่ง ทำให้บรรยากาศและอาคารโดยรอบมีความเป็นยุโรป คนก็มีความ Relax กว่า เรื่องของเรื่องคือโตเกียวมันยุ่งวุ่นวายมากจริงๆ ดูไม่มีสเปซ (Space : พื้นที่)ในการหายใจ แต่ถ้าไปเที่ยวก็โอเคนะ มีอะไรให้ดูเยอะมาก ทุกอย่างมันมีรายละเอียดปลีกย่อยเต็มไปหมดเลย สมมติถ้ามาเมืองไทย อยากดูเสื้อผ้าก็ต้องมาสยามใช่ไหม แต่ถ้าญี่ปุ่นมีที่สถานที่ไปเยอะมากเลย มีหลายแนว หลายแบบ ทั้งแบบเล็กๆ และใหญ่ๆ แบบนำเข้า มันมีความลึก มีอะไรให้ค้นหาเยอะ อันนั้นคงเป็นเสน่ห์ของโตเกียว

Q. อยากให้แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวในญี่ปุ่นให้กับผู้อ่านสักหนึ่งที่

ที่กินได้ไหม ไม่ค่อยได้เที่ยวเลย ทุกครั้งที่ไป เราจะทำงานทุกวันเลย เตรียมงานหนึ่งวัน แสดงงานเจ็ดวัน เก็บของอีกหนึ่งวัน วันรุ่งขึ้นก็กลับแล้ว (หัวเราะ) แต่รู้จักที่หนึ่งที่ไปบ่อยๆ คือสวนสาธารณะที่ชินจุกุ (Shinjuku Gyoen) เพราะว่าช่วงที่ไปมักจะเป็นช่วงซากุระบาน ถ้ามีเวลาก็จะไปที่นี่เพราะมันใกล้ ไปง่าย ไปเดินเล่นเฉยๆ แล้วก็มีร้านที่ชอบไปนั่งชื่อว่าคะสะ (Casa) เป็นคาเฟ่แบบย้อนยุค ฮอทเค้กร้านนี้อร่อย เราชอบอะไรเก่าๆ แล้วร้านนี้มันก็เก่าๆ บรรยากาศมันจะสลัวๆ ร้านเล็กมากเลยค่ะ ข้างในคนก็ไม่เยอะ สงบ เงียบ เหมือนได้พักผ่อน

Q. อยากฝากผลงานอะไรของตอนนี้บ้างไหม

ฝากคอลเลคชั่น Siesta: Spring/Summer 2017 ด้วยนะคะ (ยิ้ม)

—-

ติดตาม VL by VEE ได้ที่

ร้าน 7, 2nd fl.  (Sevensecondfloor) โรงหนังลิโด้ ชั้น 2 สยามสแควร์ซอย 3

02-654-6253  |  Line ID : vlbyvee
URL www.vlbyvee.com  |  FB : vlbyvee  |  IG : @vlbyvee

LIKE & SHARE

ชอบเรื่องนี้จนต้องบอกต่อ