หากเราพูดถึงร้านเสริมสวย เพียงแค่ลองนึกภาพ กลิ่นของน้ำยาสระผม เตียงสระ ห้องขนาดเล็กบ้าง ใหญ่บ้าง เต็มไปด้วยเก้าอี้หน้ากระจกบานสูง เครื่องอบไอน้ำครอบศีรษะที่กำลังพ่นละอองเล็กๆ เสียงกรรไกรเสียดสีบนเส้นผม เสียงไดร์กำลังเป่าลมให้ผมปลิวพริ้วสวย หรือบรรดาผลิตภัณฑ์ทำผมหลากหลายแบบวางตั้งเรียงรายบนชั้นรอเวลาหยิบนำมาใช้ ในบางครั้ง ร้านก็อาจกลายเป็นพื้นที่เล็กๆ ให้นั่งพูดคุยกับช่างเสริมสวยกันอย่างออกรส นี่อาจเป็นนิยามของร้านที่ใครหลายคนเคยคุ้น

หากแต่วันนี้ เราลองเปลี่ยนบรรยากาศ จากห้องขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ กลายเป็นบ้านไม้สองชั้นสีขาวติดกระจกใสบานโต จนเรามองเห็นผู้คนที่อยู่ภายในบ้านกำลังง่วนอยู่กับสิ่งตรงหน้าบ้าง กำลังเดินขึ้นลงระหว่างชั้นบ้าง เมื่อผลักประตูกระจกโครงเหล็กบานใหญ่เข้าไป เสียงและกลิ่นอายของร้านเสริมสวยที่เรารู้จักก็กลับคืนมา เพียงแต่คราวนี้ บรรยากาศที่เราคุ้นเคยกลับมีบางอย่างดูเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย สัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่มากกว่าการเป็นเพียงร้านเสริมสวย

ผู้อยู่เบื้องหลังกลิ่นอายของร้านจนเราเคลิ้มไปกับสภาพแวดล้อมนี้คือ ตุ๊ก-สุณีย์ ซะคุมะ หญิงสาวร่างเล็กผู้เป็นหนึ่งในเจ้าของบ้านและร้านแห่งนี้ เดินเข้ามาต้อนรับเราด้วยรอยยิ้มสดใส น้ำเสียงนุ่นนวลชวนฟัง และแทนตัวเองว่า “พี่” ทุกครั้ง ชวนให้รู้สึกอบอุ่น เป็นกันเอง คุณตุ๊กพาเราเดินชมห้องหับพร้อมบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ทั่วบ้านไม้ ทั้งปลอดโปร่งและโล่งสบาย ชวนให้รู้สึกผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก นี่คือร้านเสริมสวยแน่หรือ

ไม่นานคุณตุ๊กก็พาเรามานั่งบริเวณมุมหนึ่งของบ้าน โดยที่เรายังมองเห็นทุกความเคลื่อนไหว ทุกกิจกรรม
ที่เกิดขึ้นภายในร้านเสริมสวยแห่งนี้ เธอบอกเราว่า “ไม่อยากให้ร้านเสริมสวยเป็นเพียงร้านเสริมสวย และอยากให้ช่างเสริมสวย ได้ใช้ทักษะความสามารถมากกว่าการเป็นเพียงช่างเสริมสวยทั่วไป” ด้วยความมุ่งมั่นอันแรงกล้านี้ ทำให้เราได้นั่งพูดคุยจนเวลาผ่านไปร่วมชั่วโมง ทำให้เราเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงความตั้งใจอันเต็มเปี่ยม ยิ่งเราได้รับรู้เรื่องราวเบื้องหลังก่อนกลายมาเป็นคุณตุ๊กในวันนี้  การพูดคุย ก็ดูจะออกรสยิ่งขึ้น จนไม่อยากให้ช่วงเวลานี้ผ่านไปเลย

 

 

Q. ตั้งใจบินไปเรียนด้านเสริมความงามถึงญี่ปุ่นเพื่อร้านนี้เลยหรือเปล่า

ไม่ค่ะ ความจริงแล้วพี่เรียนจบเอกภาษาญี่ปุ่น กว่าจะมาเป็นช่างเสริมสวย มันมีอะไรเกิดขึ้นในชีวิตเยอะมากค่ะ ตอนแรกพี่เรียนภาษาญี่ปุ่นที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แล้วก็ได้ทุนวิจัยรัฐบาลญี่ปุ่น มมบุโชไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยโตเกียวไกโกะกุโงะไดงะคุ (Tokyo University of Foreign Studies) จบมาก็มาทำงานแรกโดยมาเป็นอาจารย์ที่โรงเรียนสอนภาษาญี่ปุ่นภายใต้สังกัดของสถานทูตญี่ปุ่นที่ Japan Foundation และที่สมาคมส่งเสริมเทคโนโลยี (ไทย-ญี่ปุ่น) เลยค่ะ

หลังจากนั้นความที่ตัวเองมีครอบครัว มีลูก และมีประสบการณ์แปลการ์ตูนอยู่ตอนสมัยเรียนแล้วรุ่นพี่เห็นแววก็เลยชวนให้มาแปลการ์ตูน ชินจัง ซึ่งตรงกับคาแร็กเตอร์ของเรา แปลได้สักพักก็ได้มีโอกาสแปลให้กับช่อง 3 ด้วย มีเรื่อง จิบิ มารุโกะจัง กับละครญี่ปุ่นอื่นๆ ด้วยนะคะ ทำได้อยู่จนประมาณอายุ 30 ต้นๆ ก็ได้ทุนวิจัยภาษาญี่ปุ่น 1 ปี ของสถาบันวิจัยภาษาญี่ปุ่น แห่งประเทศญี่ปุ่น หลังจากนั้นก็ไม่ได้กลับเมืองไทยอีกเลยค่ะ

 

Q. แล้วอะไรคือจุดพลิกผันให้ก้าวเข้าสู่เส้นทางงานเสริมสวย

บอกแล้วห้ามหัวเราะนะคะ (ยิ้ม) คืออย่างนี้ค่ะ หลังจากที่พี่แต่งงาน มีลูก สามีพี่เขาเป็นลูกชายคนโต
เราก็เลยเป็นสะใภ้คนโต หากเข้าใจวัฒนธรรมญี่ปุ่น ก็จะรู้ว่าลูกชายคนโต ต้องคอยดูแลพ่อแม่ และด้วยความที่สามีอายุมากกว่าพี่ 19 ปี ตอนนั้นคุณพ่อคุณแม่ก็อายุ 70 แล้วค่ะ ช่วงนั้นคุณพ่อสามีตรวจพบมะเร็งลำไส้ใหญ่แล้วคุณแม่ก็ไม่ค่อยแข็งแรง ทั้งมีความดันและโรคหัวใจ พี่เลยต้องเข้ามาดูแลท่าน ที่ถามว่าทำไมถึงเข้ามาจับงานด้านเสริมสวยได้มาจากช่วงที่เราต้องพาคุณพ่อคุณแม่ไปโรงพยาบาลบ่อยๆ เข้าทีกันเป็นหลายอาทิตย์ถึงเดือน นานเข้าผมที่ไม่ได้ทั้งสระและตัดก็จำเป็นต้องทำอะไร เราก็เลย เอ๊ะ…น่าลอง (อาจเป็นที่ความชอบอยู่แล้ว) ก็เลยขออนุญาตโรงพยาบาลว่าจะขอตัดผมตรงนี้แหละค่ะ ที่สามีบอกว่าเราควรไปเรียนให้เป็นเรื่องเป็นราว ยามแก่เมื่อสามีไม่อยู่แล้วเราจะได้มีอาชีพทำได้ใช้ตลอดชีวิต (หัวเราะ)

การเรียนเซ็มมงในญี่ปุ่น หลังจากเรียนจบภายใน 2 ปีแล้ว เราจะต้องสอบเอาใบอนุญาตเพื่อนำมาประกอบวิชาชีพ สามีพี่นี่แหละเป็นคนแอบไปหาโรงเรียนให้ ซึ่งบางโรงเรียนพอเขารู้ว่าพี่เป็นคนไทย ก็จะไม่แนะนำให้สอบ เพราะไม่เคยมีประวัติของประเทศที่ไม่มีคันจิ อย่างประเทศไทยสอบได้มาก่อน แต่สามีก็ขอร้องโรงเรียนให้พี่ลองสอบดู โรงเรียนที่ยอมให้พี่สอบก็คือ วิทยาลัยเสริมสวยยะมะโนะ (Yamano College of Aesthetics) ซึ่งเป็นโรงเรียนเสริมสวยที่เก่าแก่มากของญี่ปุ่น พอเรียนจบพี่ก็ไปสอบจนได้ใบอนุญาตประกอบอาชีพของช่างเสริมสวย ขอเล่านิดหนึ่งว่าร้านเสริมสวย หากคุณไม่มีใบอนุญาต คุณจะจับของมีคมทุกชนิดไม่ได้เลยนะคะ ขนาดโกนคิ้ว ต่อขนตา เดี๋ยวนี้ยังต้องมีใบอนุญาตด้วย คนที่อยากจะเป็นช่างเสริมสวยจริงๆ ก็เลยจำเป็นที่จะต้องยอมเรียนในโรงเรียน 2 ปี ทั้งๆ ที่ภาคทฤษฎีที่ไม่เกี่ยวข้องและเอามาใช้ในงานเสริมสวยจริงเลย

 

 

Q. เรียนจบแล้วก็กลับมาเปิดร้าน Rikyu เลยใช่ไหม

ไม่ค่ะ ร้าน Rikyu เป็นสาขาลูกของร้าน boy Tokyo ที่ญี่ปุ่นค่ะ พี่เรียนตอนอายุ 36 ปี จบตอนอายุ 38 ปี หลังจากเรียนจบ ก็โชคดีที่ร้านใกล้ๆ บ้านที่ชื่อร้านเสริมสวยฮิมะวะริยอมรับคนต่างชาติอายุมากมีลูกมีครอบครัว มีพ่อแม่สามีที่ต้องดูแลแบบเราให้ทำงานด้วย พื่ทำอยู่กับเขาได้ 7 ปี คุณ โมงิ ร้าน boy Tokyo ก็ชวนให้มาเปิดร้าน Rikyu ที่เมืองไทย หลังจากนั้น ก็บินไปๆ มาๆ กรุงเทพฯญี่ปุ่นอยู่ทุกเดือน ช่วงแรกๆ เลย มาทำงานกันสองคนกับคุณซึจิ รุ่นพี่ใหญ่ และเป็นครูสอนงานของ boy Tokyo ญี่ปุ่นให้เราทุกอย่างก่อนมาเปิด Rikyu ตอนนั้นพนักงานคนไทยมีเพียงไม่กี่คน เป็นเด็กที่เรียนจบมหาวิทยาลัยกันแทบทุกคน แต่ไม่มีใครที่มีประสบการณ์เป็นช่างก่อน เรียกได้ว่าเด็กๆ มีความตั้งใจอยากมาเป็นช่างเสริมสวยกันจริงๆ อันนี้ต้องขอขอบคุณ คุณซึจิ ซึ่งได้มาช่วยสร้างพื้นฐานให้กับ Rikyu ทำให้พนักงานรุ่นแรกของเรามีพื้นฐานแน่นแบบ Boy ญี่ปุ่น 100% ค่ะ

 

Q. แล้วทำไมถึงเกิดร้าน Rikyu by boy Tokyo ในวันนี้ได้

เจ้าของร้านฮิมะวะริที่พี่ทำงานอยู่กับคุณโมงิ เจ้าของร้าน boy Tokyo เขารู้จักกันค่ะ ตีกอล์ฟด้วยกัน
แต่สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดร้านแห่งนี้ได้ก็คือความบังเอิญที่เพื่อนของพี่ คือคุณเล็ก-สายสุดา เชื้อวิวัฒน์ เขาอยากให้หลานชายและผู้ช่วยมาเรียนตัดและทำสีผมเพิ่มเติมที่ญี่ปุ่น เลยขอให้พี่ช่วยหาสถาบันดีๆ ให้ ตอนนั้นเขารู้แล้วว่าพี่เป็นช่างเสริมสวย เราก็เลยนำสิ่งที่คุณเล็กต้องการไปปรึกษากับเจ้าของร้านฮิมะวะริ เจ้าของร้านฮิมะวะริเองก็ตีกอล์ฟกับคุณโมงิอยู่ทุกสัปดาห์ เขาเลยแนะนำคุณโมงิให้รู้จัก ให้พี่ได้มีโอกาสเข้าไปพูดคุยเรื่องของคุณเล็ก ซึ่งคุณโมงิก็ตอบตกลงรับสอนให้ค่ะ แต่หลานชายกับผู้ช่วยของคุณเล็กพูดภาษาญี่ปุ่นไม่ได้ พี่เลยได้มาเป็นล่ามให้เขาอยู่ 3 เดือน หลังจากทั้งคู่กลับไปเมื่องไทยแล้ว คุณโมงิ ก็บอกให้พี่มาเรียนต่อกับ
boy Tokyo ได้อีก ซึ่งเป็นโอกาสที่หาไม่ได้เพราะคงไม่มีใครร้านไหนยอมให้คนภายนอกเข้าไปเรียนง่ายๆ จริงมั้ยคะ (หัวเราะ) ถ้าพี่ไม่ได้โอกาสตอนนั้นก็คงไม่มี Rikyu ตอนนี้ค่ะ

คุณ ‘โมงิ’ เป็นคนที่มีชื่อเสียงมากในวงการเสริมสวยที่ญี่ปุ่น เมื่อพูดถึงร้าน boy Tokyo คงไม่มีใครไม่รู้จัก ถ้าเป็นคนที่อยู่ในวงการเสริมสวย คุณโมงิเป็นอาร์ต ไดเรคเตอร์ ให้กับวิดัลซัสซูน สองคนแรกในเอเชียเลยนะค่ะ พวกเราชาว Rikyu จึงโชคดีอย่างมากที่ได้มีโอกาสเรียกการตัดจากคุณ โมงิ ซึงเป็นสุดยอดอาจารย์ของการตัดแห่งโลกเลยค่ะ

 

 

Q. ในส่วนของชื่อร้าน คำว่า Rikyu สื่อถึงอะไร

จริงๆ คำว่า Rikyu แปลว่า พระราชวัง ค่ะ แต่เป็นพระราชวังที่แยกตัวออกมาจากวังหลัก ให้ความรู้สึกเหมือนบ้านพักตากอากาศ ก่อนตั้งชื่อร้าน คุณโมงิเขาให้พนักงานของ boy Tokyo ช่วยกันคิดชื่อที่เหมาะสม แล้วให้แต่ละคนเปิดโหวต คนหนึ่งผู้เป็นเจ้าของชื่อนี้ให้เหตุผลว่า Rikyu คือ “แผ่นดินซึ่งแยกออกมาจากแผ่นดินแม่” เพื่อจะสื่อว่า เราเป็นสาขาที่แยกออกมาจากญี่ปุ่น

Rikyu เป็นร้านสาขาแรกในต่างประเทศที่คุณโมงิได้เลือกโดยที่ไม่เคยมีใครคาดคิดว่าจะเป็นเมืองไทยค่ะ

 

Q. อะไรคือเอกลักษณ์ของ Rikyu ที่คิดว่าไม่มีใครเหมือน

ที่ร้านมีคอนเซปท์ที่สำคัญมากคือเราเป็นร้านเสริมสวยก็จริงแต่จะไม่ให้พนักงานเป็นแค่ช่างเสริมสวยอย่างเดียวเท่านั้น พนักงานจะเปิดโอกาสให้ตัวเองไปท่องเที่ยว ดูหนัง ฟังเพลง เล่นกีฬา ดูนิทรรศการ ที่ตัวเองชอบและอะไรต่างๆ ที่ตัวเองสนใจ เพื่อเพิ่มพูนให้ตัวเองมีอะไรมากกว่างานเสริมสวยที่ทำอยู่

ส่วนในเรื่องของการทำงานในร้าน เราก็จะมีการทำงานที่แตกต่างจากร้านอื่นตรงที่เราจะสอนให้พนักงานมีการสเกตช์ภาพทรงที่จะทำก่อนจะลงมือตัดค่ะ คุณโมงิคิดค้นวิธีการตัดอันเป็นเอกลักษณ์ให้กับร้าน boy Tokyo อาทิเช่นเทคนิค Hazushi ซึ่งพนักงานในร้านทั้ง boy Tokyo และ Rikyu ต้องได้ฝึกกันทุกคนค่ะ

 

Q. เหตุใดจึงให้เริ่มจากการสเกตช์ทรงผม

การจะทำอะไรขึ้นมาสักอย่างหนึ่ง ประดิษฐ์อะไรสักอย่าง ไม่ว่าจะเป็นอะไร ร้านของเราจะต้องมีการสเกตช์ภาพขึ้นมาก่อน เพราะฉะนั้น การทำผมก็เหมือนกัน เราจะออกแบบทรงผม สไตล์ผม หนึ่งเลยต้องสเกตช์ภาพก่อน ทำโครงมันก่อน การสเกตช์ภาพเป็นเรื่องสำคัญของที่นี่ค่ะ แล้วเด็กๆ เมืองไทยส่วนใหญ่ไม่ค่อยชอบสเกตช์ภาพ เด็กบางคนที่จบมาเนี่ย โอเค…เรามีเด็กที่จบศิลปากร เขาเรียนทางด้านอาร์ต มีหัวด้านครีเอตอยู่แล้ว แต่เด็กบางคนที่อยากเป็นช่าง ไม่เคยเขียนรูปมาก่อน เราก็จะมีคอร์สสอน ร้าน boy Tokyo เขามีเป็นชมรมเลยนะคะ ชมรมสเกตช์ภาพ ท่องเที่ยว ทำอาหาร ดูหนัง ฟังเพลง หลายอย่างมาก

 

 

Q. แรงบันดาลใจการตกแต่งร้านมาจากไหน

ตอนที่กำลังหาทำเลเพื่อขยายร้าน มีสตาฟฟ์เขามาเห็นที่นี่แล้วมาบอกเราค่ะ บ้านหลังนี้เคยเป็นคาราโอเกะหรือร้านนวดแผนโบราณมาก่อน กำลังรื้ออยู่ ซึ่งมันเหลือโครงไม้เหลืออยู่ เชื่อไหมคะว่าโครงไม้ในนี้ บางจุดมีอายุกว่า 100 ปีเลยนะคะ (ยิ้ม) แล้วเผอิญตอนที่มาดูร้านกับคุณได เขาชวนพี่มาเปิดร้านที่นี่เลย คุณไดเป็นคนเลือกและออกแบบที่นี่เองทั้งหมดเลยค่ะ ถ้าสังเกตดีๆ ร้านนี้จะไม่มีสีอื่นยกเว้นสีขาวกับสีดำ อีกอย่างคือมีต้นไม้ ทุกอย่างเป็นธรรมชาติ เปิดโล่ง เข้ามาแล้วเราจะรู้สึกสบายค่ะ

ด้วยคอนเซปต์เราเป็นร้านเสริมสวยที่มากกว่าร้านเสริมสวย ตัวอุปกรณ์ภายในร้านจะเคลื่อนย้ายได้ เพื่อให้ซับพอร์ตกับทุกกิจกรรม ใช้เป็นที่สอน หรืออย่างบริเวณกำแพงขาวๆ เราก็ใช้เป็นจอใช้มอนิเตอร์ฉายไปที่ผนัง หรือว่าถ้ามีใครมาขอจัดนิทรรศการ ก็มีพื้นที่ชั้นสองให้เขาค่ะ ดูว่าเด็กอยากทำอะไร ชอบอะไร เราก็จะปรับพื้นที่ให้เอื้อต่อการเรียนรู้ของเขามากที่สุดค่ะ

 

Q. ตัวโพรดักส์ที่ใช้ เหมือนกับที่  boy Tokyo ทั้งหมดเลยหรือเปล่า

ส่วนหนึ่งเราจะเลือกผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในร้าน boy Tokyo ค่ะ อย่างแชมพู อุปกรณ์ตกแต่งทรงผม สีย้อมผม ทุกอย่างคือเบสจากญี่ปุ่น

แต่ด้วยความที่ลูกค้าเป็นลูกค้าคนไทย ลักษณะผมมีความแตกต่างจากญี่ปุ่นเยอะ บางอย่างเราจึงใช้
โพรดักส์ของเราที่ผลิตเองในประเทศ เพื่อให้เหมาะกับคนไทยด้วยค่ะ เราก็คิดสูตรกันเอง ซึ่งเราทำและใช้โพรดักส์เหล่านี้ตั้งแต่ร้านยังอยู่ที่ซอยสุขุมวิท 49 ค่ะ

 

“อาชีพนี้เป็นอาชีพวิเศษที่ทำให้คนมีความสุข
แล้วพอเขามีความสุข ก็จะนำพาให้ตัวเองปลื้มและมีความสุขไปด้วยค่ะ”

 

Q. เป้าหมายสูงสุดในชีวิตคืออะไร

เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม และ 5 กันยายนที่ผ่านมาพี่ได้มีโอกาสนำร้าน Rikyu และอาชีพช่างเสริมสวยไปแนะนำนักศึกษาที่กำลังจะจบและหางานทำที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และที่มหาวิทยาลัยลาดกระบังค่ะ งานนี้จริงๆ แล้ว
พี่คิดจะทำเมื่อ 2 ปีที่แล้วแต่ไม่มีโอกาส พี่อยากจะลบภาพพจน์และค่านิยมต่ออาชีพเสริมสวยในสังคมเมืองไทยและอยากจะจุดประกายให้เด็กที่กำลังจะจบและมองหางานทำ ให้มารู้จักและสนใจอาชีพเสริมสวยมากขึ้นและสิ่งที่พี่จะบอกเหนือสิ่งอื่นใดคือ อาชีพนี้เป็นอาชีพวิเศษที่ทำให้คนมีความสุข แล้วพอเขามีความสุข ก็จะนำพาให้ตัวเองปลื้มและมีความสุขไปด้วยค่ะ

 

_

Shop Info: Rikyu by boy Tokyo
Address: 45 Soi 24, Sukhumvit Rd.
Tel: 02-115-5778, 02-258-4544
Email: info@boyrikyu.com
Facebook: @boyrikyu
Opening Hours: Sun.-Thu. 9:30-18:00 Fri.-Sat. 9:30-19:00
Close: Wed.

 

LIKE & SHARE

ชอบเรื่องนี้จนต้องบอกต่อ