ใครๆ ก็คงเคยกินเจ้าขนมแท่งบิสกิตยาวๆ จุ่มด้วยช็อกโกแลตและมีอีกเกือบ 50 รสชาติ ใช่แล้วครับ เรากำลังพูดถึง Pocky ขนมที่ได้รับความนิยมมากไปทั่วโลกและเป็นของโปรดของใครหลายๆ คน เป็นของกินเล่นในยามว่างที่กินได้เพลินมากเลยละครับ รวมถึงยังหาซื้อได้ง่าย อร่อยได้ทุกที่ทุกเวลากันเลยละ แต่ทุกคนรู้กันไหมครับว่า Pocky นั้นมีวันของตัวเองด้วยน้า และก็ใช้ชื่อวันกันตรงๆ ว่า Pocky Day กันเลย อยากรู้เหตุผลที่ต้องมีใช่ไหมละตามมาอ่านกันเลย เราจะเล่าให้ฟังนะ

 

ขอบคุณภาพจาก https://goo.gl/GVjqy5

 

โดยแรกเริ่มเดิมทีนั้น Pocky Day ไม่ได้ถือกำเนิดขึ้นที่ญี่ปุ่น ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของ Pocky นะครับ โดยมีที่มาจากการที่ประเทศเกาหลีใต้นั้นมีขนมที่คล้ายๆ Pocky อยู่ครับ แต่ใช้ชื่อว่า Pepero ซึ่งเป็นที่นิยมมากในเกาหลีใต้ จนกระทั่งวันที่ 11 พฤศจิกายน ค.ศ. 1994 (11-11-1994) มีกลุ่มนักเรียนหญิงในย่าน Yeongnam ได้เป็นผู้ริเริ่มวัฒนธรรมการแจกเจ้าขนมแท่งบิสกิตนี้ให้กับนักเรียกคนอื่นๆ รวมถึงมีขอพรกันว่าให้ตัวเองนั้นสูงยาวเข่าดีเหมือนรูปร่างของ Pepero โดยหลังจากเวลาผ่านไป ทาง Lotte ซึ่งเป็นผู้ผลิต Pepero ได้เห็นว่า เอ๊ะ! แปลกใจจัง นะทำไมทุกวันที่ 11 เดือน 11 ของทุกปี ยอดขายขนมของเราถึงได้
ปัง ปัง ปัง! แบบนี้นะ จึงได้เริ่มค้นคว้าข้อมูลและเริ่มต้นตั้งวันที่ 11 เดือน 11 ของทุกปี เป็นวัน Pepero day อย่างเป็นทางการเพื่อผลประโยชน์ทางการตลาดและการเพิ่มยอดขายของผลิตภัณฑ์ครับ

กลับมากันที่ญี่ปุ่นครับ ทางบริษัท Glico ซึ่งเป็นผู้คิดค้นและผลิตขนม Pocky นั้นได้ทราบข่าวถึงวัน Peporo ในเกาหลี จึงเกิดปิ๊งไอเดียการที่จะเป็นแผนการเพิ่มยอดขายให้กับ Pocky จึงได้เริ่มปล่อยโฆษณาในปี ค.ศ. 1999 โดยเป็นการเริ่มต้นอย่างเป็นทางการว่าให้ทุกวันที่ 11 พฤศจิกายน เป็นวัน Pocky day โดยทางบริษัท Glico ออกมาประกาศว่า เรายึดการนับตามสไตล์ของเราเองด้วยนะ ซึ่งปี ค.ศ. 1999 จะตรงกับปีเฮเซย์ที่ 11 ของญี่ปุ่น ดังนั้น วันที่ประกาศอย่างเป็นทางการ พอเขียนแล้วจะได้ 11.11.11 รูปร่างของตัวเลขจะยาวๆ เหมือนกับแท่งขนม Pocky 6 แท่งวางเรียงกันเลยนะ วะ วะ ว้าว กุ๊กกิ๊ก มุ้งมิ้ง สมเป็นประเทศญี่ปุ่นเลยนะครับเนี่ย จากวันนั้นเป็นต้นมา ทุกวันที่ 11 เดือน 11 ของทุกปีในญี่ปุ่นจึงมีธรรมเนียมปฏิบัติ ให้วัยรุ่นและนักเรียนแบ่งปัน Pocky ให้แก่กัน รวมถึงมีการจัดงานและกิจกรรมคาวาอี้ต่างๆ มาตลอดระยะเวลา 18 ปี

 

ขอบคุณภาพจาก https://goo.gl/6DwT9E
ขอบคุณภาพจาก https://goo.gl/JCzEYs

 

LIKE & SHARE

ชอบเรื่องนี้จนต้องบอกต่อ