Kasai Rinkai Koen

มีสวนแห่งหนึ่ง เป็นสวนขนาดใหญ่ตั้งอยู่ใจกลางโตเกียว ในสวนมีทั้งพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ ทะเล ต้นสน และมีชิงช้าสวรรค์ที่ใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของโตเกียว แถมตอนกลางคืนยังมองเห็นพลุจากดิสนีย์แลนด์ที่อยู่ลิบๆ ได้อีกด้วย

สวนแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1989 ถือเป็นสวนที่ใหญ่ที่สุดในเขต Central Tokyo ด้วยพื้นที่กว่าแปดแสนตารางเมตร  ตำแหน่งที่ตั้งคืออยู่ตรงข้ามโตเกียวดิสนีย์แลนด์ โดยมีแม่น้ำเอโดกะวะ (Edogawa) ที่ดูใหญ่ยักษ์จนเหมือนมีทะเลกั้นตรงกลาง เหตุที่ดูใหญ่มาก เพราะเป็นสุดทางของแม่น้ำที่กำลังไหลลงสู่ทะเลนั่นเอง สวนแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นพื้นที่สำหรับสงวนรักษาพันธุ์พืชและสัตว์แถวอ่าวโตเกียว โดยอุทิศพื้นที่ถึงเกือบหนึ่งในสามให้เป็นพื้นที่สำหรับนกน้ำและนกทะเลพันธุ์ต่างๆ ในโซนที่เรียกว่า Sea Bird Sanctuary เป็นที่ถูกอกถูกใจสำหรับคนรักนก เพราะสามารถเดินเล่นได้อย่างเสรี และยังสามารถพกกล้องมาส่องได้ด้วย ยกเว้นในเขตห้ามเข้าและหาดทรายจำลอง East Beach ที่สงวนไว้สำหรับนกเท่านั้น

เราเป็นกลุ่มนักเรียนไทยที่โชคดีเหลือหลายที่ได้มาอยู่ส่วนนี้ของโตเกียว ซึ่งจริงๆ แล้วค่อนไปทางจิบะมากกว่า เราเรียนกันที่โรงเรียน Toyo Language School โรงเรียนสอนภาษาเล็กๆ แต่คับคุณภาพ อยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ดี เพียงสามสิบนาทีก็เข้าเมืองได้ บริเวณโรงเรียนและหอพักแวดล้อมไปด้วยชุมชนที่น่ารัก ร้านขายของต่างๆ รวมถึง Villain Vanguard คนพลุกพล่านแบบกำลังดี ไม่วุ่นวายเท่าโตเกียว โดยรอบเต็มไปด้วยสวนสาธารณะจำนวนมาก เป็นย่านหนึ่งที่น่าอยู่มากในโตเกียว สถานีรถไฟใต้ดินที่ใกล้สุดคือสายสีฟ้า สถานี Nishi Kasai ใช้เวลาเดินราวสิบนาที

 

 

ตั้งแต่ครั้งแรกที่รุ่นพี่ที่โรงเรียนพาไปให้รู้จักสวนแห่งนี้ ฉันมักจะย้อนกลับไปสวนแห่งนี้เสมอๆ ครั้งแรกนั้นเนื่องจากเรามีสมาชิกกันมาก บางคนก็ไม่มีจักรยาน (ฉันและอีกหลายคนที่เป็นนักเรียนระยะสั้น) เราจึงเดินเท้ากันไป จากโรงเรียนเดินไปถึงสวน Kasai Rinkai Koen แห่งนี้ ใช้เวลาประมาณยี่สิบนาที บางทีฉันก็จะยืมจักรยานมาจากรุ่นพี่ หากปั่นจักรยานมา จะใช้เวลาประมาณสิบนาที หนทางไม่ง่าย แต่ก็ไม่ยากเกินไปต่อการจดจำ

ขึ้นสะพานสักสามครั้งก็ถึงพอดี ในวันนั้นเราทั้งหมดไปเป็นกลุ่มใหญ่ เดินฝ่าอากาศที่หนาวเย็น แต่ยังไม่หนาวจนทรมาน เดินผ่านเรือเป็ดกลางน้ำ เดินข้ามสะพานขนาดใหญ่ซึ่งข้างล่างเป็นทางรถวิ่ง เมื่อเดินมาจวนจะถึง สิ่งแรกที่ปรากฏต่อสายตาพวกเราก็คือ ชิงช้าสวรรค์ขนาดยักษ์ ถึงกับทำให้ต้องร้องว้าวกันเลย

จำได้ว่าวันนั้นฉันใส่กางเกงลายสก็อตเอวสูงตัวหนา มันเป็นเรื่องจริงไหม ที่จะสังเกตดูว่าใครชอบเรา เวลาถ่ายรูปเขามักจะมายืนข้างๆ เรา พวกเราทั้งหมดเดินกันอยู่ในสวน รุ่นพี่เล่าเรื่องให้ได้ยินว่า เนี่ย บางครั้งเราก็จะเจอคู่รักชาวญี่ปุ่นมาพลอดรักกันในสวน เพราะสวนแห่งนี้เปิด 24 ชั่วโมง… เป็นอันเข้าใจ…

 

 

เราทั้งหมดมาทันเวลาจุดพลุพอดี ที่เราเห็นพลุอยู่ลิบๆ นั่นคือดิสนีย์แลนด์ ที่อีกไม่กี่วัน โรงเรียนจะพาเราทั้งหมดไปทัศนศึกษากัน สิ่งที่ดีเกี่ยวกับย่านโรงเรียนและบ้านที่ฉันอยู่ก็คือ อากาศเย็นสดชื่นบริสุทธิ์อยู่เสมอ อากาศสะอาดมาก จนแค่ได้อยู่ที่นั่นก็มีความสุข

ครั้งที่สองฉันไปสวนแห่งนี้กับเพื่อนอีกคน ไปกันสองคนเท่านั้น เราขึ้นชิงช้าสวรรค์ด้วยกัน การขึ้นชิงช้าสวรรค์กับเธอคนนี้มันดีจัง คิดไม่ถึงมาก่อนว่าการขึ้นชิงช้าสวรรค์กับใครสักคนจะให้ความรู้สึกที่ดีขนาดนี้ เราไปกันได้เวลาพอดี คือพระอาทิตย์ยังไม่ตก เราจึงได้เห็นทั้งแผ่นดินและแผ่นน้ำตั้งแต่ตอนที่ยังมีแสงสว่าง จนถึงเมื่อพระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว

“อยากรู้ว่าเธอเป็นคนเช่นไร อยากรู้ เธอมาหมอกร้ายก็หายไป อยากรู้ทิศทางที่ทำนั้นเพื่อใคร… ให้คำตอบกับฉัน…”

 

Kasai Rinkai Koen

 

เมื่อฉันย้อนกลับไปในอีกหลายปีให้หลัง ฉันพาเพื่อนสนิทอีกคนไปยังสวนแห่งนี้ด้วย เพื่อนนำกล้องอย่างดีไป แถมยังเป็นคนที่ถ่ายรูปสวย เราจึงมีรูปสวยๆ กลับมา เราขึ้นชิงช้าสวรรค์ในเวลาประมาณบ่ายสี่โมง แสงที่ได้จึงสวยมาก เราเห็นเด็กน้อยวิ่งเล่นในทุ่งหญ้า ดอกไม้ฤดูใบไม้ผลิยังคงผลิบานเช่นเคย ไม่ว่าจะหมุนเวียนไปกี่ปี ญี่ปุ่นมักให้ความรู้สึกแบบนั้น

ญี่ปุ่นไม่เปลี่ยนแปลงเร็วเท่าเกาหลี ที่พบว่าพอกลับไปอีกทีอะไรๆ ก็เปลี่ยนไปเสียแล้ว ดังนั้นญี่ปุ่นอาจเป็นประเทศที่เหมาะกับการเดินย้อนรำลึกความทรงจำก็ได้ T^T  ดอกไม้สีเหลือง สีแดง ที่ฉันเคยมาถ่ายกับเธอคนนั้นก็ยังเบ่งบานเต็มแปลงอยู่เหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย ครอบครัวยังคงพาลูกมาเที่ยวเล่น ปิกนิก คนรักพากันมาหย่อนใจ เราเดินไปจนถึงสะพานที่ทอดออกไปในทะเล หรือหาดทรายจำลองที่เรียกว่า West Beach ที่หาดแห่งนี้รุ่นพี่ของฉันคนหนึ่งก็ยังเคยใช้เป็นโลเคชั่นถ่ายภาพยนตร์ด้วย ฉันรู้สึกขอบคุณเพื่อนที่มาด้วยกันในวันนี้ ทำให้อะไรๆ ไม่เศร้าจนเกินไป 🙂

 

Kasai Rinkai Park

 

เคยไหมที่เวลาเราอ่านหนังสือ อ่านการ์ตูน ดูซีรีส์ หรือภาพยนตร์อะไรมาก่อนแล้วเกิดประทับใจมากๆ จนเราอยากไปตามรอยสถานที่นั้นๆ ที่ปรากฏในเรื่อง แต่ของฉันกลับเตรงกันข้าม การ์ตูนเรื่อง Honey and Clover ซึ่งเขียนโดย Chica Umino ลายเส้นสวยหวานน่ารัก มุกตลกมาเต็มทั้งเรื่อง แต่เมื่อถึงคราวต้องจริงจัง ปัญหาความรักของวัยรุ่น หรือเรื่องความฝันในชีวิต ก็ถ่ายทอดเรื่องราวออกมาได้อย่างน่าประทับใจ  มันจึงเป็นการ์ตูนที่เมื่อฉันหยิบขึ้นมาอ่านทีไรก็อุ่นใจ โดนใจ มีความรู้สึกร่วมกับตัวละครทุกตัวเสียทุกครั้งไป อาจเพื่อทดแทนภาพฝันของตัวเองที่จริงๆ อยากเรียนคณะสถาปัตย์หรืออะไรอาร์ทๆ อยากมีเพื่อนแบบนี้ อยากเล่นอะไรบ้าๆ บอๆ กับเพื่อนแบบนี้  การ์ตูนเรื่องนี้แสดงภาพความสัมพันธ์อันอบอุ่นระหว่างเพื่อนนักศึกษาสาขาต่างๆ จากมหาลัยศิลปะ

มีอยู่ตอนหนึ่งที่เด็กๆ เหล่านี้จัดทริปท่องเที่ยวกันรวมถึงอาจารย์ที่สนิทด้วยหนึ่งคน พวกเขานั่งเรือออกจากท่าในเมืองโตเกียว ก่อนจะผ่านมาที่สวนนี้ ได้แวะลงนั่งชิงช้าสวรรค์ หน้าปกเล่มสี่ที่เป็นรูปชิงช้าสวรรค์อันนี้ ตอนแรกฉันก็คิดว่าคุ้นๆ แต่พออ่านไปอ่านมาพบว่า มันคือชิงช้าสวรรค์และสวนที่ฉันรักจากความทรงจำจริงๆ จึงรู้สึกยิ่งรักการ์ตูนเล่มนี้เข้าไปอีก… ในเรื่อง เพื่อนๆ ให้ยามาดะนั่งกับมายามะซะงั้น… บทสนทนาที่เกิดขึ้นในชิงช้าสวรรค์มักเป็นความลับ… 🙂  

 

Kasai Rinkai Koen ในยามเย็น

 

ถ้าอยู่ในที่แคบๆ กับคนที่เราชอบ เรามักภาวนาให้เวลาผ่านไปช้าๆ แต่ถ้าเป็นคนที่ไม่ชอบ เราคงรู้สึกอึดอัด อยากให้มันจบลงเร็วๆ ก่อนที่พวกเขาในการ์ตูนจะนั่งเรือกลับ ท่ามกลางสายลมอันเย็นเยือกของเดือนกุมภาพันธ์ พร้อมเห็นวิวแสงไฟตอนกลางคืนของเรนโบว์บริดจ์ มีอยู่ครั้งหนึ่งเมื่อฉันไปเที่ยวและไปเยี่ยมน้องสาวอยู่ที่โตเกียว ก็พยายามหาทริปนั่งเรือแบบนี้ พบว่ามันมีอยู่จริงโดย Tokyo Mizube Cruising Line การ์ตูนไม่ได้กุเรื่องขึ้นมานะจ๊ะ เพียงแต่ไม่ได้มีทุกวัน มีเรือออกจากหลายท่า บางวันก็มีวิ่งรอบใหญ่ บางวันเรือก็วิ่งระยะสั้นๆ หากอยากนั่งจึงต้องเช็คให้ดีก่อน นอกจากการมาทางรถไฟที่ลงยังสถานี Kasai Ringai Koen แล้ว (สถานีชื่อเดียวกับชื่อสวนเลย) ฉันพบว่ามันก็เป็นวิธีที่น่าสนใจอยู่เหมือนกันที่จะมายังสวนแห่งนี้

 

Kasai Rinkai Koen ในฤดูใบไม้ผลิ

 

ในฤดูใบไม้ผลิ ที่แห่งนี้ยังเป็นสถานที่ดูซากุระที่งดงาม เพราะขนาดสวนที่ใหญ่มาก จนเราอาจต้องรู้สึกเซอร์ไพรส์ว่า มีมุม ซอก หลืบ และทางเดินลับในสวนให้เราได้ค้นหามากขนาดนี้เลยหรือ เดินๆ ไปเราก็อาจจะเจอดงซากุระที่ซ่อนอยู่ หรือกระท่อมไม้เล็กๆ เอาไว้ให้นั่งส่องนกเป็ดน้ำและนกชนิดต่างๆ ในบึง ที่อพยพหนีหนาวมาด้วย นอกจากนี้ยังมีตึก Observation Building เผื่อไว้หลบลมหนาวและนั่งสังเกตการณ์ดูวิว ฉันกับเพื่อนเคยเอาหนังสือมาอ่านกันที่นี่ นับว่าไม่เลวเลย นอกจากนี้ในสวนยังมีลานสำหรับปิ้งบาร์บีคิวสำหรับคนที่ชอบกิจกรรมประเภทนี้โดยเฉพาะ

 

พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ Tokyo Sealife Aquarium

Tokyo Sealife Aquarium

 

อีกหนึ่งกิจกรรมที่เราสามารถทำได้ที่นี่ก็คือ การเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ Tokyo Sealife Aquarium แม้จะมาสวนนี้เกินสิบครั้งแล้ว แต่ฉันยังไม่เคยเข้าไปสักครั้ง ล่าสุดฉันจึงลองเข้าดู ค่าเข้าแค่ 700 เยน หรือประมาณสองร้อยกว่าบาท แต่มีสัตว์จำนวนมาก มีเพนกวินตัวเล็กๆ ทำท่าทางน่ารักให้ได้ดูเพลินๆ ฉันยืนดูปลาตัวเล็กๆ ที่ว่ายวนด้วยกันเป็นฝูงอย่างเพลินตา มีปลาดาวให้เราได้จับเล่น (แต่ต้องล้างมือก่อนจับ) มีแมงกะพรุนให้ดูได้เรื่อยๆ ไม่เบื่อ ตามจังหวะการหายใจของมัน เป็นที่ที่แนะนำให้มานะ เพราะว่าดีเกินคาด เปิดตั้งแต่เวลา 9:30 ถึง 17:00 (เข้าได้จนถึง16:00) ปิดทุกวันพุธ (หรือวันพฤหัสบดีถัดมา หากวันพุธนั้นเป็นวันหยุดแห่งชาติ) นอกจากนี้ยังปิดทุกๆ วันที่ 29 ธันวาคม ไปจนถึงวันที่ 1 มกราคม

 

 

เธอบอกฉันว่า ไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ริมทะเลกันเถอะ เอาอย่างนั้นหรอ เอาก็เอา หลังจากนั่งเล่นกันที่รีสอร์ทของเรา (ซึ่งก็คือสวนเล็กๆ ริมโรงเรียน) จนเกือบเช้าแล้ว ก่อนหน้านั้นเราเดินเที่ยวในเมืองกันทั้งวันจนเหนื่อย ทั้งชิบูย่า รปปงหงิ แคทสตรีท ฮาราจูกุ ฯลฯ เป็นการใช้เวลาส่งท้ายด้วยกันก่อนฉันจะกลับไทย พอเราเดินไปที่สวนด้วยกันฟ้าก็เริ่มสว่าง… ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณตีห้า ฉันง่วงและเหนื่อยจนกระทั่งตาแทบปิด จึงเอามือไปควงแขนเธอโดยพลการ เกาะเธอเอาไว้ เธอดูมีความสุข และเมื่อเราเดินไปถึงสวนแห่งนี้ เราหยุดกันตรงที่ก้อนหินและต้นสนริมทะเล กลายเป็นว่าฉันเหนื่อยจนสลบหลับไปต่อหน้าต่อตาเธอ เธอคงจะเอือมใช่ไหม ทำไมขี้เซาแบบนี้ จนกระทั่งพระอาทิตย์ขึ้น ไม่มีโอกาสได้เห็น เธอคงรอสักพักจนปลุกฉันขึ้นมาแล้วบอกว่า กลับไปนอนที่บ้านกันเถอะ อย่านอนตรงนี้เลย มันไม่ดี ฉันขอโทษจริงๆนะ ที่ฉันทำแผนดูพระอาทิตย์ขึ้นพังทลาย เพราะฉันมักจะหลับใส่เธอเสมอเลย

 

ที่ Kasai Rinkai Koen ในแต่ละฤดูกาลจะมีดอกไม้คอยเบ่งบานแตกต่างกันออกไป

 

บางครั้งสวนแห่งนี้ก็จะมีคนมาถ่ายแมกกาซีนเพราะวิวชิงช้าสวรรค์กลางสวนดอกไม้ที่สวยงาม ในแต่ละฤดูกาลจะมีดอกไม้คอยเบ่งบานแตกต่างกันออกไป เช่น ดอกเรพซีด (Rapeseed) สีเหลืองอร่าม บานตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคมไปจนถึงเมษายน ดอกป๊อบปี้ (Poppy) กลีบบางสีแดงสด ตั้งแต่กลางเดือนพฤษภาคมไปจนถึงเดือนมิถุนายน ดอกคอสมอส (Cosmos) กลีบบางสีขาว ชมพูอ่อน และบานเย็น ช่วงปลายเดือนสิงหาคมจนถึงเดือนตุลาคม ดอกนาร์ซิสซัส (Narcissus) สีขาว ช่วงปลายเดือนธันวาคมไปจนถึงกุมภาพันธ์

หากยังนึกไม่ออกว่าวันหยุดครั้งหน้าจะไปที่ใด (คนที่อยู่ในโตเกียว) หรือว่าจะไปเที่ยวไหนดีระหว่างมาย่านโตเกียว จิบะ เราขอแนะนำสวนแห่งนี้ ทุ่งโล่ง… วิวทะเล… และให้บรรยากาศเหมือนรีสอร์ต ไว้ในอ้อมใจ ให้คุณได้สรรค์สร้างความทรงจำส่วนตัวที่แสนงาม

 

Info: การเดินทาง
โดย
รถไฟ: จาก Tokyo Station โดยสาร JR Keiyo Line ไปลงที่ Kasai Rinkai Koen Station ใช้เวลา 10-15 นาที ค่าใช้จ่าย 210 เยน (รถไฟสาย JR Keiyo ห่างจากแพลตฟอร์มอื่นๆ ในสถานีโตเกียว 10 นาที)
โดยเรือ: มีเรือเมล์บริการเชื่อมต่อระหว่างสวนคาไซริงไคกับ Odaiba และ Ryogoku

 

LIKE & SHARE

ชอบเรื่องนี้จนต้องบอกต่อ