อาซากุสะ (Asakusa) ย่านการค้าเก่าแก่ที่สำคัญของกรุงโตเกียว (Tokyo) เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงเรื่องบรรยากาศย้อนยุคราวกับหยุดเวลาไว้ในสมัยเอะโดะทั้งอาคารบ้านเรือน หน้าตาโบราณและอาหารการกินสูตรเฉพาะที่ได้รับการสืบทอดมากว่าร้อยปี อีกทั้งยังเป็นแหล่งรวมงานศิลปะอย่างการแสดงดั้งเดิมและงานหัตถกรรมที่แสดงถึงวัฒนธรรมอันงดงามของญี่ปุ่นได้เป็นอย่างดี มีสิ่งหนึ่งที่คนญี่ปุ่นถนัดมากกว่าชาติอื่นๆคือการนำรากฐานเก่าแก่ของประเทศตัวเองมาดัดแปลงและนำเสนอในรูปแบบใหม่เพื่อการค้าและการท่องเที่ยว เพื่อนักท่องเที่ยวสามารถซึมซับวัฒนธรรมญี่ปุ่นกลับไปได้อย่างกลมกลืนและลึกซึ้ง งานศิลปะและงานหัตถกรรมของญี่ปุ่นที่เราเห็นทั่วไปในย่านนี้จึงไม่ใช่มีไว้เพื่อค้าขายเพียงอย่างเดียว แต่หลากหลายผลิตภัณฑ์ต่างเปิดบ้านต้อนรับให้เหล่านักท่องเที่ยวได้เข้าไปดูเบื้องหลังการผลิตผลงานและนำมาสู่การเปิดเป็นสตูดิโอเวิร์กช็อปที่ย่อยขั้นตอนวิธีการทำอย่างง่ายๆ ให้เราได้มาเรียนรู้กันในครั้งนี้

          ในฉบับนี้เราจะพาคุณไปรู้จักเบื้องหลังขั้นตอนการผลิตงานหัตถกรรมดั้งเดิมของญี่ปุ่นที่หลายคนคงคุ้นตากันมาบ้าง และร่วมเวิรก์ช็อปแสนสนุกซึ่งทำให้งานศิลปะกลายเป็นเรื่องจับต้องได้ แถมยังได้ของที่ระลึกกลับบ้านอีกต่างหาก ก่อนจะปิดท้ายกันด้วยโฮสเทลแสนสบายที่ได้รับรางวัล Good Design Award 2016 เพราะเป็นสถานที่ที่เชื่อมโยงคนท้องถิ่นกับนักเดินทางจากทั่วโลกเข้าไว้ด้วยกัน

 

ASAKUSA STORY. EP.2 

3 STUDIO WORKSHOPS l สัมผัสประสบการณ์ใหม่ ด้วยเวิร์กช็อปสร้างสรรค์ในอาซากุสะ

          3 เวิร์กช็อปต่อไปนี้มาจากงานหัตถกรรมที่มีชื่อเสียงของประเทศญี่ปุ่น ได้รับการรักษาและสืบทอดมาอย่างยาวนาน ซึ่งระหว่างการเรียนจะมีผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำแนะนำโดยเฉพาะ แม้ทุกที่จะเปิดสอนเป็นภาษาญี่ปุ่นแต่ก็สามารถทำตามได้ง่ายถึงจะไม่รู้ภาษาญี่ปุ่นก็ตาม แต่เพื่อการรับรู้ข้อมูลที่ครบถ้วน การจ้างล่ามเพื่อแปลภาษาน่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในการทำกิจกรรมนี้ มาสนุกด้วยกันนะคะ

 

AMESHIN l น้ำตาลปั้น สไตล์ญี่ปุ่น

          แม้อะเมะชิง (Ameshin) เพิ่งเปิดให้บริการได้เพียง 3 ปี แต่กลับได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในโตเกียว มีการจัดอบรมเวิร์กช็อปอย่างต่อเนื่องทั้งชาวต่างชาติและชาวญี่ปุ่น ศิลปะการปั้นน้ำตาลที่เรียกว่าอะเมะซะอิกุ (Amezaiku) ไม่มีการสืบทอดอย่างเป็นกิจจะลักษณะอย่างศิลปะชนิดอื่น ด้วยเป็นความรู้ของชาวบ้านทั่วไปหรือที่เรียกกันว่า “ศิลปะข้างถนน” ผู้ที่สนใจจึงต้องหาวิธีฝึกเองหรือใช้วิธีบอกเล่ากันปากต่อปาก ไม่มีการบันทึกเป็นตำราถาวร เช่นเดียวกับเจ้าของอะเมะชิงที่ฝึกฝนด้วยตัวเองจนมีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ

          อะเมะซะอิกุเป็นหนึ่งในศิลปหัตถกรรมแบบญี่ปุ่นดั้งเดิมที่เกิดขึ้นในช่วงปลายของสมัยเอะโดะ (ค.ศ. 1600 – 1868) การปั้นน้ำตาลที่ใช้ความร้อนถึง 90 องศาเซลเซียส ขึ้นเป็นรูปร่างโดยการตัด ดึง และดัดด้วยมือเปล่า ก่อนจะใช้กรรไกรแบบญี่ปุ่นตัดแต่งและต้องทำให้เสร็จภายในเวลาเพียงไม่กี่นาทีหลังจากนำออกจากหม้อเนื่องจากน้ำตาลจะแข็งตัวและเย็นลงกลายเป็นลูกกวาดที่ติดอยู่บนไม้ซึ่งหน้าตาสวยเกินกว่าจะกินได้ลง

          นอกจากนี้ ที่นี่ยังมีช็อปอยบู่นชั้น 4 ของโตเกียว สกายทรี ทาวน์ (Tokyo Skytree Town) ด้วย แต่จะเปิดขายเฉพาะผลิตภัณฑ์เท่านั้น ส่วนสตูดิโอสำหรับเวิร์กช็อปตั้งอยู่ในย่านอาซากุสะนี้เขาเปิดให้เรามาลองปั้นกระต่ายน้อยน่ารักแต่จะออกมาหน้าตาตลกแค่ไหน มาดูกันค่ะ

HOW TO MAKE A CRAFT CANDY

① ปั้นน้ำตาลเป็นรูปทรงไข่ ให้ด้านแหลมอยู่ด้านบน แล้วใช้กรรไกรตัดส่วนแหลมในแนวตั้งเพื่อทำหู

② ดึงส่วนหูให้กางออกจากกัน บีบให้แบนเล็กน้อย จากนั้นจึงดึงส่วนที่อยู่ใต้หูทำให้เป็นรูปหน้า ส่วนที่เหลือคือลำตัว

③ ตัดส่วนฐานด้านหน้าเพื่อทำขาหน้า ดึงส่วนที่ตัดทั้งสองข้างให้ยืดออกแล้วบิดให้งอเหมือนขากระต่าย

④ ตัดส่วนฐานด้านหลังเพื่อทำขาหลัง ดึงยึดออกให้ยาว คล้ายเท้ากระต่ายกำลังกระโดด

⑤ ตัดส่วนก้นเพื่อทำหางแล้วยกขึ้น ปั้นให้กลม จากนั้นวาดหน้าตาก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย

รายละเอียดเวิร์กช็อป

ระยะเวลา: 60 นาที l จำนวนผู้เข้าเวิร์กช็อปที่รับสูงสุด: 15 คน l ราคา: 3,000 เยน/คน l website: www.ame-shin.com

 

GANSO SHOKUHIN SAMPLE-YA l ทำอาหารปลอมจากขี้ผึ้ง

          คนที่กินอาหารญี่ปุ่นบ่อยๆ คงจะคุ้นหน้าคุ้นตากันดีกับอาหารตัวอย่างหน้าตาน่ารับประทานที่ทำจากเรซิ่นในตู้กระจกที่ตั้งอยู่หน้าร้าน พอมาถึงญี่ปุ่น หลายคนคงรีบตรงไปที่ร้านขายอาหารตัวอย่างนี้เพื่อซื้อกลับมาเป็นของฝากเพื่อนๆ มีทั้งชิ้นเล็กๆ รูปร่างหน้าตาน่ารักสำหรับตั้งโชว์ แบบที่ใช้ประโยชน์ได้อย่างแม่เหล็ก และมีอีกหลากหลายแบบให้เลือกซื้อ

          หนึ่งในร้านที่มีชื่อเสียงของญี่ปุ่นคือ “เก็นโสะ โชะกุฮิง แซมเปิล-ยะ (Ganso Shokuhin Sample-ya)” เป็นร้านเก่าแก่ที่สุดเท่าที่มีการบันทึกไว้เพราะศิลปะการทำอาหารตัวอย่างนี้มีมาเนิ่นนานกว่านั้นอีก ในสมัยโบราณอาหารตัวอย่างเหล่านี้ทำขึ้นจากขี้ผึ้ง และเพิ่งเริ่มหันมาใช้เรซิ่นในช่วง 30 ปีให้หลังนี้เอง

          ชั้นหนึ่งของอาคารเปิดเป็นร้านขายผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปและชุด DIY สำหรับนำกลับไปทำเล่นที่บ้านได้ด้วย ด้านหน้าสุดของร้านเป็นมุมนิทรรศการขนาดย่อม โชว์เครื่องมืองานคราฟต์แบบโบราณและประวัติความเป็นมาของบริษัทที่ทำให้เรารู้ถึงจุดเริ่มต้นความนิยมของอาหารตัวอย่าง ตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ.1920 เมื่อคนต่างจังหวัดในญี่ปุ่นเริ่มย้ายไปอยู่ตามเมืองใหญ่ๆ อย่างโอซาก้า (Osaka) ทำให้มีร้านอาหารมากขึ้นตามไปด้วย และเพื่อให้คนจากหลายๆ ที่เข้าใจตรงกันว่าชื่อเมนูต่างๆ หน้าตาเป็นอย่างไร การคิดทำอาหารตัวอย่างขึ้นโชว์หน้าร้านจึงสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน โดยนอกจากจะต้องทำให้เหมือนของจริงแล้ว ยังต้องทำให้น่ากินมากๆ อีกด้วย

          ส่วนชั้นสองของอาคารเป็นสตูดิโอเวิร์กช็อปที่ให้เราได้ลองทำอาหารตัวอย่างแบบโบราณซึ่งทำขึ้นจากขี้ผึ้งผสมสี ในวันที่เราไปถึงคือเวิร์กช็อปเมนูเท็มปุระ (Tempura) ประกอบด้วยกุ้งทอด 1 ชิ้น ผักทอด 1 ชิ้น และกะหล่ำปลีครึ่งหัว คุณครูจะเริ่มต้นด้วยการทำให้ดูก่อนทีละชิ้นแล้วจึงให้เราทำเอง มาเริ่มทำไปพร้อมๆ กันนะคะ

HOW TO MAKE FOOD SAMPLES

① เริ่มต้นทำแป้งเท็มปุระ หยอดขี้ผึ้งลงในหม้อน้ำอุ่นที่ความสูงประมาณ 1 ฟุต เพื่อให้ขี้ผึ้งเป็นเม็ดและติดกันเป็นแพบางๆ

② นำกุ้งหรือผักวางลงด้านบนแล้วห่อเบาๆ เพราะขี้ผึ้งอุ่นๆ จะเสียรูปทรงได้ง่าย

③ นำเท็มปุระที่ห่อแล้วแช่น้ำเย็นเพื่อให้คงรูป

④ จากนั้นทำกะหล่ำปลีด้วยการตักขี้ผึ้งสีขาวราดลงบนน้ำอุ่นเบาๆ แล้วจึงตักขี้ผึ้งสีเขียวราดทับตามลงไปเพื่อทำ 2 ชั้นสี

⑤ ค่อยๆ ดึงขี้ผึ้งที่แข็งตัวลงด้านล่างช้าๆ จนถึงก้นหม้อแล้วดึงขึ้น ก็จะได้แผ่นขี้ผึ้งยาวๆที่ไล่สีเรียบร้อย

⑥ ม้วนแผ่นขี้ผึ้งเข้าด้วยก้น

⑦ แช่น้ำเย็นให้คงรูปแล้วตัดแบ่งครึ่ง ก็จะได้กะหล่ำปลีสวยงาม

รายละเอียดเวิร์กช็อป

รอบเวิร์กช็อป/วัน: 11:00 น., 14:00 น., และ 16:00 น. l ระยะเวลา: 70 นาที l จำนวนผู้เข้าเวิร์กช็อปที่รับสูงสุด: 16 คน l ราคา: 2,160 เยน/คน l website: www.ganso-sample.com

STUDIO ASAKUSA OJIMA l ศิลปะการเจียระไนแก้วจากยุคเอะโดะ

          โอะจมิะ (Ojima) เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1930 ได้รับการดูแลสืบทอดโดยช่างฝีมือดั้งเดิมมาตลอดจนถึงปัจจุบัน เปิดขายแก้วเจียระไนที่เรียกว่าเอะโดะ-คิริโกะ (Edo-kiriko) ศิลปะการตกแต่งแก้วนี้สร้างขึ้นในสมัยเอะโดะ (ค.ศ. 1600 – 1868) มีเอกลักษณ์คือลายเส้นเหลี่ยมคม รูปทรงเรขาคณิตที่ได้รับการเปรียบเทียบว่าเป็นดั่งรอยฟันจากดาบซามูไร และกลายเป็นศิลปะการตกแต่งแก้วที่เป็นเอกลักษณ์ของญี่ปุ่นนับแต่นั้นมา

          โอะจิมะมีหน้าร้านที่เปิดขายเฉพาะสินค้าใกล้กับวัดเซ็นโซจิ แต่สตูดิโอสำหรับเวิร์กช็อปนั้นอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก (ใช้เวลาเดินประมาณ 13 นาที) ในสตูดิโอเต็มไปด้วยเครื่องมือเจียระไนหลากหลายขนาด และมีเสียงเพลงเปิดคลอเบาๆ เพื่อสร้างสมาธิและความสุนทรีในการฝึกโดยต้องใช้ทั้งมือที่นิ่งและสายตาที่จดจ่อ แต่เราก็มีอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญคอยอธิบายทีละขั้นตอนอย่างใกล้ชิดด้วยความตั้งใจและคอยชี้แนะเวลาที่ทำผิดพลาดด้วย

HOW TO MAKE ART OUT OF GLASS

① ใช้ปากกาเมจิกร่างภาพที่ต้องการวาดลงบนแก้ว

② นำแก้วไปจ่อกับหัวเจียรตามรูปที่วาดไว้โดยเริ่มจากกดเบาๆ จนกะแรงกดได้พอดี

③ ลบรอยหมึก ทำความสะอาด เพียงเท่านี้ก็ได้แก้วลายสวยงามแล้ว

รายละเอียดเวิร์กช็อป

ระยะเวลา: 60 นาที l จำนวนผู้เข้าเวิร์กช็อปที่รับสูงสุด: 20 คน l ราคา: 4,500 เยน/คน l website: www.edokiriko.jp

 

BUNKA HOSTEL l ที่พักสมัยใหม่ในย่านเก่า

          ที่นี่ฉีกกฎความเป็นโฮสเทลทุกอย่างที่เราควรต้องเจอในโฮสเทลทั่วไป เพราะที่บุงกะ โฮสเทล (Bunka Hostel) ทั้งกว้างขวาง ปลอดโปร่ง สะอาด และมีความเป็นส่วนตัวมากๆ เมื่อเทียบกับที่อื่น บ่งบอกว่าทุกพื้นที่ในโฮสเทลนี้ผ่านการออกแบบอย่างพิถีพิถันในทุกๆจุด ตั้งแต่เตียงนอนสองชั้นที่ดีไซน์ให้แต่ละเตียงใช้ทางเข้าคนละทาง คนที่นอนชั้นล่างจึงไม่ถูกรบกวนจากคนชั้นบนทุกครั้งที่ปีนขึ้นเตียง และมีล็อกเกอร์ส่วนตัวพร้อมรหัสล็อกโดยไม่ต้องพกกุญแจมาเอง

          ในแตล่ะชั้นจะมีห้องน้ำสีขาวสะอาดตาในปริมาณมากพอให้ผู้เข้าพักผลัดกันใช้โดยไม่ต้องรอเลยสักครั้ง อีกทั้งยังมีอ่างล้างหน้าจำนวนมากพร้อมไดร์เป่าผม ถูกใจสาวๆ ทุกคนเป็นแน่ ที่สำคัญแตล่ะชั้นยังมีคีย์การ์ดเฉพาะของตัวเองก่อนเข้าห้องทำให้ปลอดภัยสำหรับผู้หญิงทุกคน

          บนชั้น 7 มีห้องพักส่วนตัวสำหรับ 4 ท่านที่มองเห็นวิวของวัดเซ็นโซจิซึ่งเป็นวิวที่หาได้ยากตามที่พักแบบโฮสเทลในโตเกียว ส่วนชั้น 1 เป็นร้านอาหารที่พร้อมเสิร์ฟอาหารเช้าสำหรับผู้เข้าพักในราคาเพียง 350 เยน ซึ่งร้านอาหารนี้จะเปิดให้บรกิารในช่วงกลางวันถึงกลางคืนแก่คนภายนอกด้วย โดยมีเมนูเด่นเป็นนาเบะรสชาตดั้งเดิมซึ่งเป็นที่นิยมของคนท้องถิ่นในย่านนี้ ทำให้พื้นที่นี้คือจุดเชื่อมโยงระหว่างคนท้องถิ่นที่มากินอาหารดั้งเดิมกับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาจากทั้วโลกได้เกิดการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมจนเป็นที่มาของรางวัล Good Design Award 2016 ในสาขา Regional/Community development and social contribution activities ที่บุงกะ โฮสเทลได้รับ

ราคาต่อคืนเริ่มต้นที่ 3,000 เยน/คน

bunkahostel.jp

LIKE & SHARE

ชอบเรื่องนี้จนต้องบอกต่อ